ความคิดเห็นที่ 1 ในกรณีที่ผู้กู้เสียชีวิต บริษัทประกันฯ จะดำเนินการอย่างไร?           คำถามนี้อาจเป็นคำถามที่ไม่มีใครอยากอ่านนัก  แต่หากเกิดกรณีนี้ขึ้นมาแล้ว  หลังจากที่ได้รับเรื่อง  บริษัทประกันฯ จะตรวจสอบถึงการเสียชีวิต จากนั้นก็จะจ่ายเช็คออกมาในนามธนาคารที่ได้ทำเรื่องกู้ไว้  เพื่อปิดยอดหนี้ที่เหลือในทันที  และบ้านก็จะโอนกรรมสิทธิ์ไปยังครอบครัวของผู้กู้ทันที  โดยปกติแล้วหลังจากการปิดยอดที่ธนาคารจะมีเงินเหลืออีกนิดหน่อยคืนมาให้ทางครอบครัวผู้กู้ด้วย  เพราะทางบริษัทประกัน  จะคิดเผื่ออัตราเงินเฟ้ออะไรเผื่อไว้ด้วย  หากกรณีดอกเบี้ยขึ้นมากๆ ก็อาจไม่เหลือในส่วนนี้ หากเราปิดบัญชีก่อนกำหนด  เราสามารถขอค่าเบี้ยที่เหลือคืนได้มั้ย?            หากเราสามารถปิดบัญชีก่อนกำหนด  หรือคำถามที่เห็นในกระทู้อื่นๆ คือ รีไฟแนนท์และคิดว่าที่ใหม่ก็น่าจะให้เราทำด้วย เราสามารถขอเวนคืนค่าเบี้ยที่เหลือได้หรือไม่  คำตอบคือได้ทุกกรณี  แต่ค่าเบี้ยที่เวนคืนได้อาจน้อยมากจนคุณตกใจ  หากอยากทราบว่าเราจะได้เงินคืนเท่าไร  ก็พลิกดูที่หลังกรมธรรม์ได้เลยค่ะ   โดยปกติแล้วค่าเบี้ยประกันของผู้ชายจะสูงกว่าเบี้ยประกันของผู้หญิง  เพราะอายุเฉลี่ยของคนไทยผู้หญิงอายุยืนกว่าผู้ชายค่ะ ทำให้ท่านที่จะทำประกัน  สามารถพลิกแพลงอะไรได้บ้าง  เช่น  บางบ้านจะให้คุณผู้ชายกู้คนเดียว  ก็อาจเปลี่ยนเป็นกู้ร่วมหากคุณผู้หญิงมีรายได้  เราสามารถแบ่งสัดส่วนให้ผู้หญิงทำประกันมากกว่า เช่น กู้ 1,000,000 ยอดทำประกันตามสเตปก็จะเป็น 1,000,000 เราอาจให้คุณผู้หญิงทำประกันในวงเงิน 800,000 คุณผู้ชายทำ 200,000 เพื่อจะได้ประหยัดค่าเบี้ยในส่วนนี้  แต่ยังจะได้ความคุ้มครองที่เหมือนเดิมคือ 1,000,000         แต่แนะนำว่าให้พิจารณาให้รอบคอบนะคะ  บางบ้านสามีเงินเดือนเยอะ ภรรยาเงินเดือนน้อย  ทำแบบที่ยกตัวอย่างไป  พอเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา  เงินที่ได้มา 200,000 บวกกับเงินเดือนของภรรยาที่ถือว่าน้อย  อาจจะมีปัญหากระทบกับการผ่อนบ้านที่เหลือค่ะ  ลองเอาตัวอย่างที่ยกให้ดูไป  พิจารณาเอาตามความเหมาะสมด้วยนะคะ  เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของตัวท่านค่ะ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 02:00:41

ความคิดเห็นที่ 2 หากเราปิดบัญชีเงินกู้ก่อนกำหนด ..    1. เราสามารถขอเวนคืนเงินค่าเบี้ยที่เหลือกลับมา  หรือ    2. รับความคุ้มครองจนสิ้นสุดสัญญาที่ได้ทำไว้ตอนต้น ตอนนี้นึกไม่ออกแล้วว่าควรแนะนำเรื่องอะไรเพิ่ม  หากท่านใดมีข้อสงสัยก็ตั้งคำถามมาละกันนะคะ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 02:10:35

ความคิดเห็นที่ 3 ผมทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ ประมาณ 258,000 บาท  วงเงินกู้ 3,158,000 ผมดูหลังกรมธรรม์ระบุว่า  ปีที่ 0 ได้ประมาณ 63.4 %                                       ปีที่1  ได้ประมาณ 59.7 % อยากทราบว่า ถ้าเราทำไม่ถึงปี นับเป็นปีที่ 0 หรือปีที่ 1   และใช้เวลาในดำเนินการกี่วันถึงได้รับเงินครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : รังสีลิขิต เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 02:56:20

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วถ้าเป็นกรณีทำประกันชีวิตแบบจ่ายรายปี แบบสะสมทรัพย์? จะดีกว่าหรือเปล่าค่ะ เพราะว่าทาง ธอส.ไม่ได้บังคับให้ทำประกันชีวิต ส่วนตัวเองคิดว่าน่าจะทำ แต่ก็ไม่อยากทำแบบคุ้มครองวงเงินกู้ เนื่องจากเห้นว่ายอดเงินที่จ่ายสูงมากกับระยะเวลาที่คุ้มครอง แค่ 5ปี 10ปี รวมทั้งวงเงินที่จะคืนกลับกรณีเสียชีวิตก็ลดลงในแต่ละปีด้วย ก็เลยตัดสินใจทำแบบสะสมทรัพย์ แต่เลือกวงเงินที่ได้รับกลับให้ครอบคลุมยอดหนี้ที่กู้มาแทนอ่ะ รวมทั้งหวังผลการลดหย่อนภาษีด้วยค่ะ ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือเปล่า จากคุณ : NuHring เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 03:48:08

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณมากครับ จากคุณ : เหมง เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 07:56:52

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณค่ะ ขอโหวตและเก็บเข้าคลังด้วยนะคะ จากคุณ : lalalee เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 08:41:29

ความคิดเห็นที่ 7 ผมไม่เคยคิดทำกับธนาคารพร้อมกับเงินกู้เลยครับ แต่ผมจะไปทำประกันชีวิตข้างนอกต่างหากมากกว่า (เหมือน คหฺ4) เนื่องจาก 1. หากเบี้ยประกันชีวิตเกิน 1 แสน เราสามารถไปหักภาษีได้ปีเดียว คือปีที่จ่ายเบี้ย. ขณะที่ทำข้างนอก เราสามารถแบ่งจากรายปีได้. ทำให้สามารถใช้สิทธิภาษีได้เต็มที่. ยิ่งถ้าใครมีค่าเบี้ยอยู่ก่อนแล้ว ยิ่งหักได้น้อยลง 2. ปกติ ธนาคารจะบวกค่าเบี้ยเข้าไปในวงเงินกู้ เช่น กู้ 1ล้าน บวกเบี้ย 1แสน เราจะได้วงเงินกู้ 1.1ล้าน. นั่นหมายความว่า เราต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยให้กับค่าเบี้ยประกันอีกต่างหาก. กลายเป็นค่าเบี้ยที่แท้จริง เท่ากับ ค่าเบี้ย + ดอกเบี้ยเงินกู้ 3. การทำข้างนอก สามารถบริหารกรมธรรม์ได้ง่ายกว่า การทำกับธนาคารจะเป็นกรมธรรม์เดียว หากใช้หนี้หมดแล้ว แต่ต้องการใช้เงิน การเวนคืนจะต้องทำทั้งกรมธรรม์ ทำให้ได้เงินคืนนิดเดียว. หากทำข้างนอก ผมจะแยกทำเป็นหลายๆ กรมธรรม์. หากจำเป็นต้องเวนคืน จะได้สามารถเวนคืนบางกรมธรรม์ได้เท่าที่จำเป็น เงินหายไม่มาก 4. การทำกรมธรรม์ข้างนอก เราสามารถเลือกอันที่มีโปรฯได้ ยังสามารถพ่วงอันอื่น เช่น ประกันอุบัติเหตุได้อีกด้วย โดยสรุป ผมทำกรมธรรม์คุ้มครองครับ แต่ทำต่างหากข้างนอกครับ จากคุณ : Tee (TBDLTee) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 09:01:04

ความคิดเห็นที่ 8 ยอดกู้ 1.45 ล้าน ถ้าทำประกันจะอยู่ที่ประมาณเท่าไรครับ ระยะเวลากู้ 30 ปี จากคุณ : ao_oa@23 เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 09:14:48

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับ เราตายเมื่อไรไม่รู้ แต่คนที่อยู่ข้างหลังอย่าเดือดร้อน เรื่องทำประกันพ่วงกับแบงก์ หรือทำแยกเป็นรายปีน่าสนใจครับ กรณีหลังเป็นทางเลือกทำได้หากวงเงินกู้ไม่สูง ยิ่งมาก ถ้าคุ้มครองตามวงเงินกู้เลย เบี้ยซื้อแยกทุกปี บางท่านอาจไม่ไหวแน่ หากสามารถชำระเบี้ยครั้งเดียวเป็นเงินสดก็ดีที่สุด จะซื้อประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองเงินกู้ควรเตรียมเงินไว้ล่วงหน้าดีที่สุด (อีกแล้ว) อีกอย่างประกันชีวิตต่างหาก พิจารณาจากวงเงินค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ฯลฯ ด้วย จึงมีวัตถุประสงค์ต่างกันออกไปในรายละเอียด และไม่สามารถได้วงเงินคุ้มครองที่สามารถปิดบัญชีเงินกู้ได้เสมอไป เพราะกู้ๆกันตั้งแต่ล้านไปจนถึง 3-4-5 ล้านบาท หรือกว่านั้น คนที่หักลดหย่อนเบี้ยประกันได้เต็มพิกัดหนึ่งแสนต่อปี รายได้ต่อเดือนประมาณ 1 แสนบาทขึ้นครับ เราท่านมีไม่มากนะครับ เบี้ยปีละแสนทุกปี ตกเดือนละเกือบหมื่น มันจะตายก่อนตายเสียก่อน จากคุณ : Double07 เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 10:41:44

ความคิดเห็นที่ 10 คุณรังสีลิขิต : จากที่บอกมา ก็คำนวนแล้วเฉลี่ยเอาก็ได้ค่ะ ว่าส่วนต่าง 1 ปีอยู่ที่เท่าไหร่                   ก็เอา 12 หาร แล้วก็ประมาณค่าเอา  แต่ถ้าจะทราบตัวเลขที่คืนแบบแน่                   นอนเลยก็ต้องขอแนะนำให้โทรเข้าคอลเซนเตอร์ของบริษัทฯ นั้นๆ เลย                   ค่ะ  เค้าจะบอกเราได้เลยว่าแน่นอนที่เท่าไหร่  หลังจากการขายแล้วจะไม่                   เกี่ยวกับธนาคารแล้วค่ะ  เราโทรตรงไปที่ บ.ที่รับประกันเราได้เลย                     ส่วนเรื่องระยะเวลาที่ทำเรื่องคืน  ก็คงต้องตอบตามจริงว่าไม่เร็วแน่นอน                   ค่ะ  เดือนนึงได้เราก็ว่าเก่งแล้วนะ แต่ก็คงแล้วแต่ที่ด้วยค่ะ คุณ NuHring : เป็นคำถามที่ดีค่ะ  อันนี้ขึ้นกับความเหมาะสมของแต่ละคนด้วยค่ะ  ถ้า                    เทียบค่าเบี้ยแบบนี้กับเบี้ยประกันสะสมทรัพย์แล้ว  เบี้ยตัวนี้ถือว่าไม่                    แพง  เพราะว่ามันเป็นความคุ้มครองที่ลดลงก็จริง  แต่จะเฉลี่ยกันไป                    ด้วย  เช่น หากปีแรก เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมา  เงินหลักแสนที่เรา                    เสียไปจะทำให้ได้หลักล้านของเค้ามาแทน ก็เลยต้องเฉลี่ยกันไปกับปี                    ท้าย ๆ ด้วย  (เล่าความรู้สึกส่วนตัว  ตอนแรกเราก็คิดเหมือนท่านอืนๆ                    คือ ไม่เห็นน่าทำเท่าไหร่ เพราะเป็นเบี้ยทิ้ง  แต่พอผ่านไป เราได้เห็นเคส                    ลูกค้าที่เข้ามาเคลม ทำให้ได้เห็นความเป็นจริงค่ะ ว่าอะไรมันก็เกิดขึ้น                    ได้ ถึงแม้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นก็ตาม  ณ. ตอนที่เราทำงาน  ประกัน                    ตัวนี้ไม่ได้สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประกันนะคะ เพราะหักกลบลบกัน                    แล้วไม่เหลือค่ะ  เพราะเดิมให้ลูกค้าเลือกได้ค่ะว่าจะทำหรือไม่ทำ  ส่วน                    ใหญ่จะเลือกไม่ทำเพราะภาระตอนกู้ก็มากอยู่แล้ว) จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 15:01:28

ความคิดเห็นที่ 11 ขอเอาคำถามคุณ NuHring มาตอบต่อในนี้นะคะ เราสามารถทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ แทนแบบคุ้มครองวงเงินกู้ได้หรือไม่?        จริงๆ แล้วคือได้นะคะ  เพราะว่าขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละท่านว่า จะบริหารให้เงินของเราเองทำงานกันอย่างไร  อย่างที่คุณ Tee #7 ยกตัวอย่างมาก็ถูกต้องค่ะ  แต่ต้องเลือกประเภทของประกันให้เหมาะสมกันด้วยค่ะ  เพราะถ้าเลือกแบบไม่เหมาะสมกัน  ความคุ้มครองก็จะไม่สามารถมาชดเชยหรือทดแทนกันได้ ตามที่คุณ Double07 #9 ออกความเห็น และยังต้องมีภาระต้องตามมาส่งเบี้ยทุกปีด้วยค่ะ         ตามจริงแล้ว  เบี้ยประกันสะสมทรัพย์ที่สามารถแบ่งจ่ายเป็นรายเดือน  ราย 3, 6เดือนนั้น  จะมีอัตราดอกเบี้ยเพิ่มจากรายปีนะคะ  แต่ว่านิดหน่อยค่ะไม่ได้มากมายอะไรค่ะ   แก้ไขเมื่อ 26 มิ.ย. 54 15:49:50 จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 15:29:24

ความคิดเห็นที่ 12 คุณ ao_oa@23 : ขอติดเป็นพรุ่งนี้ตอบนะคะ  เพราะว่าไม่ได้ทำงานนานแล้ว  ต้องรอ                        โทรถามเพื่อนให้พรุ่งนี้ค่ะ จะหลังไมค์ไปทิ้งไว้ให้                               เบี้ยที่จะให้ก็เอาไว้ประมาณนะคะ  เพราะว่าแต่ละที่จะไม่เท่ากัน                         หรอกค่ะ  แต่ไม่น่าหนีกันเท่าไหร่ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 15:47:25

ความคิดเห็นที่ 13 กระทู้มีประโยชน์มากเลยคะ ขอเกาะติดอ่านเป็นความรู้นะคะ จากคุณ : amides เขียนเมื่อ : 26 มิ.ย. 54 21:38:13

ความคิดเห็นที่ 14 เจ๋งมากครับ อ่านเพลินเลย.. จากคุณ : แจ่วบอง เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 00:08:55

ความคิดเห็นที่ 15 _/\_ จากคุณ : areewan เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 09:12:19

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้และข้อมูลดีๆ กำลังจะยื่นกู้ภายใน 2 อาทิตย์ วันนี้เพิ่งไปคุยเรื่องการทำประกันตัวนี้อยู่พอดี ... ทางแบงค์ก็แจ้งว่าถ้าเราปิดบัญชีไปก่อน ก็สามารถเรียกเงินค่าเบี้ยประกันคืนได้ แต่ไม่ได้บอกเลยว่า จะเรียกคืนได้เท่าไหร่ ... ฝากขอข้อมูลเรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ราคาบ้านประมาณ 7.5 ล้านบาท แต่กะไว้ว่าจะยื่นกู้ยอด 4 ล้านบาท ระยะเวลา 20 ปี ทางธนาคารคิดค่าเบี้ยคุ้มครองเงินกู้ตลอดระยะเวลา 20 ปี = 347920 บาท จากคุณ : Kay Man เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 17:25:08

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ คุณLady Melon มากครับ โทรเข้าบริษัทซัมซุงประกันภัย รอจนรอไม่ไหว ไม่รับสักที จากคุณ : รังสีลิขิต เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 17:53:41

ความคิดเห็นที่ 18 คุณรังสีลิขิต : สู้ สู้ค่ะ สงสัยจะใช้กลยุทธ์ให้รอสายนาน จนลูกค้าถอดใจ (",) ล้อเล่นนะคะ จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 18:02:50

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ Kay Man : ต้องรอดูที่ตารางเวนคืนกรมธรรม์ค่ะ ตอนนำเสนอเราน่าจะให้แต่ค่าเบี้ยกับตารางความคุ้มครองมาดูก่อนเท่านั้นค่ะ  เบื้องต้นถ้าทำก็ตรวจสอบก่อนว่าตลอดสัญญาความคุ้มครองครอบคลุมกับยอดที่เรากู้รึป่าว  เห็นในกระทู้เก่าเคยมีเคสบอกว่าหลังปีที่ 3 กรมธรรม์ของเค้าความคุ้มครองไม่ครอบคลุมยอดกู้ ณ เวลานั้นค่ะ  เป็นเพราะสมัยนี้ธนาคารต่างๆแข่งกันออกแบบสารพัดสินเชื่อออกมาเพื่อดึงดูดใจลูกค้า แต่ตัวประกันมีแค่แบบเดียวไม่ได้ทำรองรับสารพัดกลยุทธ์ของธนาคารด้วย จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตรวจสอบผลประโยชน์ของเราเองด้วยค่ะ ( อาจมีบางท่าน เจอค่าเบี้ยเข้าไปถึงกับมึนจนลืมดูรายละเอียดด้านในกรมธรรม์เลยก็เป็นได้ ) แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 54 18:24:18 จากคุณ : Lady Melon (Lady Melon) เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 18:22:14