 |
เรื่องมีอยู่ว่า.. ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2546 เราได้กู้เงินสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งหนึ่ง สมมติว่าชื่อ ธนาคาร ก. เราก็ส่งเงินค่างวดไปเรื่อยๆ.. ได้ใบเสร็จมาก็เก็บไว้.. ดูเงินต้นลดไปทีละเล็กละน้อย.. ผ่อนไปผ่อนมา..จนกระทั่งเดือนพค ปี 2554 เราได้ไปเดินงาน money expo ถึงได้เริ่มมีความคิดว่า จะ refinance เพื่อประหยัดดอกเบี้ยดีกว่า..
ลองเอาดอกเบี้ยโปรโมชั่นในงานแต่ละแบงค์ มาเทียบดูว่าจะประหยัดดอกเบี้ยเท่าไหร่ เทียบกับของที่กู้อยู่ ซึ่งในใบเสร็จรับเงินกู้ เป็น MLR -1 (คือใบเสร็จจะแสดงว่า MLR = 7.75 และ อีกบรรทัดแสดงว่า อัตราที่คิดเรา คือ 6.75 )
คำนวนแล้ว ก็เห็นว่าคุ้มอยู่ที่จะ refinance เลยเริ่มจัดเตรียมเอกสารยื่นแบงค์ใหม่
ทีนี้การจะ refinance .. เอกสารที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ ก็คือ สำเนาสัญญาเงินกู้ฉบับปัจจุบัน ซึ่งพอเอาอ่านดู พบว่าอัตราดอกเบี้ยเป็น ปีแรก 3% ปีที่สอง 3.5% ปีที่สามเป็นต้นไป MLR - 1.5
อ้าว...ทำไมใบเสร็จมันเป็น MLR 1 ล่ะ.. เราดูอะไรผิดกันแน่..
เราเลยลองเอาใบเสร็จเก่าๆ มาย้อนดู ก็เป็น MLR -1 จริงๆด้วย เราก็เลยลองคำนวนตารางเงินกู้ย้อนไปดูว่าที่คิดดอกเบี้ยเราเป็น MLR ลบอะไรกันแน่.. ปรากฎว่าเป็น MLR 1 จริงๆ...
วันรุ่งขึ้นเราก็โทรไปหาธนาคารสาขาที่เรามีบัญชีเงินกู้ ซึ่งต้องย้อนความไปก่อนว่า ประมาณปี 2548 ธนาคาร ก. ที่เราทำสัญญาเงินกู้ถูกควบรวม กลายเป็น ธนาคาร ข ต่อมาธนาคาร ข สาขาที่มีบัญชีเราอยู่ ก็ปิดตัว บัญชีเงินกู้ของเราเลยถูกโอนมาที่ ธนาคาร ข อีกสาขาหนึ่ง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ ธนาคาร ข สาขาล่าสุด จะไม่รู้เรื่องประวัติตั้งแต่ตอนกู้ เพราะถูกโอนมาสองต่อแล้ว
เราอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังรายละเอียด.. ซึ่งโชคดีมากที่เจอเจ้าหน้าที่ที่ดีมากๆ เราส่งสำเนาเงินกู้ให้ทางแบงค์ดูเพื่อยืนยัน ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าเค้าต้องค้นเอกสารที่สำนักงานใหญ่ เพราะสัญญานี้มีตั้งแต่เป็นธนาคาร ก.
วันต่อมา ผู้จัดการสาขาก็โทรมาคุยกับเรา.. ซึ่งเค้าก็มาใหม่เหมือนกัน เลยไม่รู้เรื่องที่เกิดตอนควบกิจการ ว่ามันอาจจะมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยหรือเปล่า เราก็บอกว่า ถ้ามีการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย ก็ต้องมีการเรียกเราไปเซ็นต์สัญญาเงินกู้ใหม่ จะมาบอกว่าส่งจดหมายแจ้งมาข้างเดียว (ไม่มีลงทะเบียน) ไม่ได้.. เราก็บอกอีกว่าถ้ามีหลักฐานอะไรที่บ่งบอกว่าเรารับรู้อัตราใหม่ให้เอามาแสดง ไม่งั้นเราไม่ยอมแน่นอน.. (โชคดีที่เราเป็นอดีตเจ้าหน้าที่สินเชื่อ เลยพอรู้หลักการอะไรอยู่บ้าง).. ไม่งั้นวันหลังแบงค์คิดอยากเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเป็น MLR + 1 ก็เปลี่ยนได้ข้างเดียวเลยเหรอ
แต่ยังไงก็ตาม ธนาคารหาเอกสารอ้างอิงเรื่องเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยนี้ไม่เจอค่ะ
เวลาผ่านไปสามสัปดาห์ ระหว่างนั้น เราโทรตามเป็นระยะ ซึ่งเจ้าหน้าที่สาขาบอกว่าส่งเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่มีใครโทรมาจากสำนักงานใหญ่เลย..
ในที่สุด... เจ้าหน้าที่สาขาก็โทรมาบอกว่า ธนาคารจะปรับเงินต้นให้เราประมาณ 50000 บาท เพราะว่าคิดดอกเบี้ยเราเกินไป (ณ วันนี้ เรายังไม่ได้ลองคำนวนใหม่ว่าจำนวนเงินที่ถูกต้องเป็นเท่าไหร่กันแน่) คือเค้าไม่ได้พูดแบบยอมรับหรอกว่าทำผิด แต่พูดว่า แบงก์อนุมัติ ให้ปรับเงินต้น เราเลยถามตรงๆว่า ตกลงใส่ดอกเบี้ยในระบบผิดใช่ไหม เค้าก็ประมาณว่า ค่ะ
นอกจากนี้เค้าก็จะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็น MLR 1.5 ให้ตามสัญญา...
ที่เรามาเขียนในนี้ ไม่ได้มีเจตนาจะประจานธนาคารแต่อย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่ที่สาขา ดีมากๆ..ติดตามเรื่องให้เราเป็นระยะ
แต่เรามาเขียนเพื่อเตือนเพื่อนๆที่กู้สินเชื่อบ้าน ว่าให้หมั่นตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยที่แบงค์คิดจริงๆ กับดอกเบี้ยตามสัญญา ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นเราควรติดตามอัตรา MLR ของแบงค์ที่เรากู้ แล้วลองคำนวนว่าแบงค์หักต้น หักดอกถูกต้องหรือเปล่า
ขนาดเรา ซึ่งยอดเงินกู้ไม่มาก และเราก็จ่ายค่างวดมากกว่าปรกติ ดอกเบี้ยที่ถูกคิดเกินไปก็ตกปีละ 10,000 บาท เป็นเงินไม่น้อยเลยนะ
จากคุณ |
:
payoonb
|
เขียนเมื่อ |
:
27 มิ.ย. 54 23:13:37
|
|
|
|  |