ความคิดเห็นที่ 1 นิติกรรมอำพราง !?! จากคุณ : ลั่นทมเขาหลวง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 08:42:51

ความคิดเห็นที่ 2 โครงการถังแตก ชงใครซักคนมาซื้อก่อน เพื่อเอาเงินขายออกมาหมุน พอคุณมาซื้อ เงินก็ต้องจ่ายกลับไปที่คนๆนั้น เดาล้วนๆครับ จากคุณ : SSERIES001 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 08:48:09

ความคิดเห็นที่ 3 เห็นด้วยกับ #2 กรณีนี้ คนที่เสียประโยชน์มากที่สุดก็คือ โครงการ เพราะเท่ากับมีค่าโอนเกิดขึ้น 2 ครั้ง แม้ว่าจะผลักภาระให้ผู้ซื้อ (จขกท) ได้บางส่วน แต่การต้องมีค่าโอนเกิดขึ้น 2 ครั้ง ก็ทำให้ต้นทุนทางโครงการสูงขึ้นมาก กรณีจขกท คิดว่า ไม่มีอะไรแตกต่างค่ะ ยกเว้นโดยนิตินัย จะเปรียบเสมือนซื้อบ้านมือสอง จากคุณ : ม่วยถ่าว เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 09:09:03

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าบอกเล่าแบบลอยๆ แบบนี้ตอบไม่ได้ 100% หรอกว่าโดนโครงการหักหลังเป็นบ้านมือสองหรือไม่ มันต้องดูองค์ประกอบของโฉนดหลายๆอย่างครับ จากคุณ : Bug Gerd เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 09:38:42

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อให้ทำอะไรต่อท้ายสัญญา ทางโครงการก็ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะ เป็นแค่ตัวแทนขาย.... จากคุณ : arch เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 09:39:57 A:110.168.75.209 X: TicketID:115165

ความคิดเห็นที่ 6 นาย ก นั่นแหละเป็นเจ้าของโครงการค่ะ ไปค้นเอกสารของบ้านเรามาดูหน่อยซิ.. v v โฉนดที่ดินด้านหลัง (สารบัญจดทะเบียน)   ก่อนโอนก็เป็นชื่อลูกสาวเจ้าของโครงการ (ประเภทการจดทะเบียน - ขาย) > ถัดมาเป็นชื่อสามีเราค่ะ (ประเภทการจดทะเบียน - จำนอง) > ผู้รับสัญญาคือธอส. เหมือนกันรึเปล่าคะ ของเราเป็นแบบนี้ค่ะบ้านใหม่กับโครงการเล็กๆตจว. จากคุณ : jiradet เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 10:01:08

ความคิดเห็นที่ 7 Vote ka เผื่อกระทู้ติดลมบน จะได้มีคนมาช่วยตอบเยอะๆ จากคุณ : SSL เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 10:02:54

ความคิดเห็นที่ 8 เข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมครับ 1.โครงการที่ผมซื้อเจ้าของเป็นบริษัทมหาชน(บริษัท A) และสำเนาโฉนดด้านหลัง(ซึ่งแนบอยู่ในชุดสัญญาซื้อขาย)ก็ระบุชื่อบริษัท A เป้นเจ้าของ โดยมีภาระผูกพันคือติดจำนองอยู่กับธนาคารผู้ให้สินเชื่อโครงการ 2.เหตุการณ์วันที่ 18 มิ.ย. 54 ที่บริษัท A ขายให้นายก. ผมดูหลักฐานมาจากสำเนาโฉนดชุดล่าสุดที่ผมได้เห็นในวันนัดโอนกรรมสิทธิ ณ สำนักงานที่ดิน ซึ่งปรากฎชื่อ นาย ก. เป้นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลอดภาระผูกพันจากธนาคารแล้วด้วย 3.ล่าสุดผมได้โทรแจ้งผู้จัดการฝ่ายขายของโครงการ เพื่อขอยกเลิกสัญญาและขอเงินจองคืนโดยเร็ว ผู้จัดการฝ่ายขายแจ้งว่าให้ผมทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร และโครงการจะคืนเงินให้ภายใน 30 วันตามเงื่อนไขในสัญญา(หลังจากวางสาย ผมเปิดสัญญาดูแล้ว ไม่มีข้อความระบุว่าโครงการจะต้องคืนเงินภายใน 30 วัน !!!) ขอขอบคุณทุกคน ช่วยๆกันตอบหน่อยนะครับ ตอนนี้ผมชักเริ่มเครียดแล้วสิ จากคุณ : monkeyshi เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 10:51:46

ความคิดเห็นที่ 9 เอาประเด็นหลักๆของการซื้อบ้านนะครับ คุณซื้อบ้านใหม่จากโครงการ เป็นบ้านใหม่จริงๆ ไม่ใช่บ้านมือสอง คุณคงตรวจสอบได้ ตรวจรับบ้าน สภาพบ้านเป็นที่พอใจของผู้ซื้อ คุณพอใจบ้านหลังนี้ และต้องการบ้านหลังนี้ ส่วนนิติกรรมผมว่าไม่ใช่ประเด็นสำคัญของการซื้อบ้าน ขอให้สุดท้ายโอนให้เราอย่างถูกต้องตามกฏหมายก็พอ ที่ดินจะโอนกี่ครั้งไม่มีผลกระทบต่อมูลค่าเหมือนรถยนต์ครับ แต่ถ้าคุณไม่อยากได้บ้านหลังนี้แล้วก็ขอคืนเงินด้วยสาเหตุนี้ก็น่าจะได้ครับ จากคุณ : ouiaa เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 11:35:03

ความคิดเห็นที่ 10 อืม..งงเหมือนกัน แต่ว่าบ้านหลังนี้ก็ยังไม่มีใครมาอยู่นิ แล้วงี้เค้าโอนกันก่อน แล้วมันมีผลกระทบกับเราตรงไหน หรืออาจเป็นไปตาม คห 5 หว่า จากคุณ : เด็กหญิงไข่ไก่ เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 12:36:22

ความคิดเห็นที่ 11 ลองถามทางโครงการหรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น นาย ก เป็นใคร อาจเกิดการผิดพลาดจากการโอนโฉนดผิดแปลงหรืออย่างไร หรือมีคนจองไปก่อนแต่เกิดเปลี่ยนใจ ปกติแล้วจะไม่ทำกันแบบนี้  เพราะค่าโอน ค่าภาษี ในการโอนแต่ละครั้งก็มีจำนวนมาก ถ้าตรวจสอบแล้วบ้านถูกต้องตรงตามโฉนด ถ้ายังต่องการบ้านอยู่ คงต้องมีหนังสือให้ทางโครงการชี้แจง และมีหนังสือรับสภาพความรับผิดที่อาจเกิดมีขึ้นในอนาคต ต่อท้ายสัญญาซื้อขายที่สำนักงานที่ดินด้วย ประเด็นเรื่องการผิดสัญญาจะซื้อจะขาย จะมีข้อกฎหมายอยู่ว่า ผู้จะขายอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ทรัพย์ที่จะขายในขณะทำสัญญา แต่ต้องสามารถโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่จะขายได้ในวันทำสัญญาซื้อขาย   แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 12:58:15 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 12:47:55 จากคุณ : mahdum เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 12:46:46

ความคิดเห็นที่ 12 เห็นด้วยกับความเห็นที่ 9 นะคะ บ้านเรากว่าจะมาถึงมือเรา โครงการรีไฟแนนซ์ไปตั้งไม่รู้กี่รอบ แบ่งออกมาจากโฉนดใหญ่รอบนึง เปลี่ยนธนาคาร เปลี่ยนผู้ถือครองกรรมสิทธิ หลายครั้ง.. ประเด็นมันอยู่ที่ ใครเป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายกับเรากันแน่ เงื่อนไขในการรับประกันบ้าน ซึ่งก็เป็นบ้านใหม่ไม่ใช่มือสองนั่นแหละ ความรับผิดชอบยังอยู่ที่โครงการหรือไม่ ถ้าตรวจสอบอย่างดีแล้วปรากฎว่า เมื่อมีการโอนกรรมสิทธิมาที่คุณแล้ว ในทางนิติกรรม คุณคือผู้มีกรรมสิทธิในตัวบ้านอย่างสมบูรณ์ (อาจมีการจดจำนองไว้กับธนาคาร นั่นก็อีกเรื่องนึง) ได้รับสิทธิที่พึงได้ตามสัญญาครบถ้วน และคุณก็รักบ้านหลังนี้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาหรือเปล่าคะ แต่หากคุณไม่สบายใจแล้ว หรือเป็นลักษณะที่โครงการแอบขาย/โอนให้คนอื่นไปก่อน ประเด็นนี้ทางโครงการก็ควรรับผิดชอบคืนค่าจองให้คุณด้วยค่ะ เพราะถือว่าผิดสัญญาจะซื้อจะขายเต็มๆ จากคุณ : TangMei เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 12:46:55

ความคิดเห็นที่ 13 ก็ยังงงๆอยู่ว่าโครงการจะทำเช่นนั้นไปทำไม ไม่น่าจะมีผลดีกับโครงการ นอกเสียจากว่ามีอยู่ 2 กรณี คือกรณีแรก เห้นด้วยกับความคิดแรกอ่ะคะ คือโครงการหมุนเงินไม่ทัน อาจจะหาใครคนใดคนนึง อาจเป็นญาติเป็นใครก็แล้วแต่ คล้ายๆ ยืมเงินเค้ามาหมุนก่อนโดยการใช้บ้านหลังนี้ไปจำนองเอาไว้ จึงโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของคนนั้นไปไว้เป็นหลักประกัน และนำเงินตรงนั้นมาหมุนในโครงการ และปรากฎว่าคุณมาซื้อหลังนี้จากโครงการพอดี ก็เลยเข้าล๊อคไป คือปัยหาหมุนเงินโครงการหมดไปเปราะหนึ่ง แต่ที่เค้าไม่แจ้งคุณอาจเพราะยังหาข้ออ้างที่ดีกว่าข้อเท็จจริงไม่ได้ ครั้นจะบอกความจริงก็กัวเสียชื่อโครงการอ่ะคะ เลยลักไก่แบบนี้ ส่วนกรณีที่สอง อาจจะบ้านที่ จขกท จองไว้ เป็นบ้านที่กำลังก่อสร้างเกือบเสร็จแล้วใช่ไหมค่ะ เหลือแค่รายละเอียดเก็บงานเล้กน้อยเท่านั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ ก่อนหน้านี้อาจมีคนจองและซื้อและโอนไปก่อน จขกท แล้วต่อมาภายหลังอยากขายจะด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ จึงฝากโครงการขายอีกทอดหนึ่ง โดยโครงการรับฝากขาย และได้ค่านายหน้าจากเจ้าของเดิมถือเป็นค่าดำเนินงานของโครงการก็อาจจะเป็นไปได้นะคะ ทีนี้ถามว่าเสียหายอะไรไหม โดยเรื่องความใหม่ของบ้านคงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะเป็นบ้านใหม่ แต่เรื่องในอนาคตเช่น หากลูกค้าอยุ่ไปหลายปีแล้วจะขายต่อ มันจะเป็นลักษณะของบ้านมือ 3 ไปเท่านั้นเอง อาจจะทำให้ราคาตก ถ้าเราไม่อธิบายให้คนซื้อเข้าใจ หรือกรณีคนซื้อต่อเราไม่เชื่ออ่ะคะ แต่ก็ไม่น่าจะเสียหายเท่าไร่เพราะวันที่ระบุตอนโอนก็ใกล้เคียงกันนะคะ จากคุณ : glamor เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 13:23:29

ความคิดเห็นที่ 14 โครงการจัดสรรทั่วๆไปจะรวบรวมที่ดินหลายๆแปลงมาทำการจัดสรร แบงออกเป็นแปลงย่อยๆ ซึ่งโฉนดในแปลงย่อยๆนี้คือบ้านที่เราซื้อ ปกติแล้วจะต้องเป็นของใหม่ครับ เพราะเป็นโฉนดที่แบ่งออกมาจากแปลงใหญ่ ชื่อที่ควรมีในโฉนด ก็เป็นแค่ โครงการ และ แบงค์ ที่โครงการนำไปจำนองไว้เท่านั้น เวลาโอน ธนาคารที่เรากู้จะทำเช็คมา 2ใบ โดยปกติ ใบหนึ่งจ่ายให้ธนาคารที่รับจำนองไว้ ใบหนึ่งจ่ายให้โครงการ แค่นั้นแหละครับ กรณีจขกท.ก็เหมือนเป็นการซื้อมือสองนั่นแหละ ซึ่งสุ่มเสี่ยงกับการผิดสัญญาจะซื้อจะขาย เปรียบเสมือนไม่ได้ซื้อโดยตรงกับโครงการ จึงไม่ควรรับข้อเสนอ และควรขอเงินจองคืนครับ เพราะสัญญาจะซื้อจะขายระบุชื่อระหว่างคุณกับโครงการ ไม่ใช่บุคคลอื่นๆ หากอยากจะซื้อจริงๆ ให้โครงการทำสัญญาขึ้นมาใหม่ให้ถูกต้อง ซึ่งคงมีรายละเอียดยิบย่อยเกินไป คืนเงินจองและไปซื้อโครงการอื่นครับ แค่นี้ยังทำงุบงิบ อย่างอื่นๆก็ไม่น่าไว้ใจ อยู่แล้วไม่สบายใจอย่าซื้อเลยครับ จากคุณ : Tamจัง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 13:34:23

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ปกติแน่ค่ะ กรณีนี้ นี่คือหลังโฉนดบ้านโครงการ แต่ซื้อมือสอง ลักษณะที่ถูกต้องจะเป็นแบบนี้ค่ะ กรณีคุณ คิดให้รอบคอบแล้วกันนะคะ กรณีที่ต้องระวังเท่าที่เราคิดออกตอนนี้คือ   1. ภาษีธุรกิจเฉพาะ จ่ายที่กรมที่ดิน เพราะเป็นบ้านมือสอง ครอบครองไม่ถึง 5 ปี ใครจ่าย (อานแน่) 2. การรับประกันบ้านจากโครงการ 3. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคาร เช็คสัญญาเงินกู้ดีๆ ว่าแบ๊งค์จัดดอกเบี้ยมากี่เปอร์เซ็นต์ ตรงตามข้อมูลที่ยื่นเอกสารขอกู้หรือเปล่า เพราะปกติแล้ว บ้านมือสอง แบ๊งจะปล่อยดอกเบี้ยสูงกว่าบ้านมือ 1 จากโครงการค่ะ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 15:15:11 แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 15:11:10 จากคุณ : ฟ้าคำราม เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 15:09:40

ความคิดเห็นที่ 16 ถามโครงการแล้วหรือยังครับ ว่ากรณีนี้เกิดจากอะไร 18 มิ.ย. 54 โครงการโอนขายบ้านหลังที่ทำสัญญาไว้กับผมให้นาย ก. 25 มิ.ย. 54 วันนัดโอนกรรมสิทธิ์ และเป็นวันที่ผมเพิ่งรู้ความจริงต่างๆทั้ง เป็นไปได้ว่า โอนผิดแปลง หรือไม่ก็ โอนแล้ว เห็นบ้านหลังอื่นถูกใจกว่า เลยขอเปลี่ยนหลัง เคยได้ยินมาว่า เลขที่โฉนดสลับแปลงกัน ก็มีครับ ทำให้โอนผิดแปลงกัน จากคุณ : หมูน้อยเบอร์7 เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 15:11:09

ความคิดเห็นที่ 17 ผมว่า ทางโครงการมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ นั่น ! ผมถือว่าเป็นเรื่องของทางโครงการ ไม่เกี่ยวกับผู้ซื้ออย่างเรา ปัญหาที่ผมรู้สึกได้จากการอ่านข้อมูลนี้ ก็คือ 2.ธนาคารทำแคชเชียร์เช็ค(เงินที่ผมกู้) สั่งจ่ายไปยังบุคคลผู้มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์(นาย ก) โดยตามข้อมูลที่ผมรับรู้ตั้งแต่ต้นคือ เงินที่ผมกู้นั้นให้ธนาคารทำเป็นแคชเชียร์เช็ค & co สั่งจ่ายชื่อผมเพื่อจ่่ายไปให้โครงการอีกต่อหนึ่ง (ธนาคารอธิบายว่า ทางโครงการมาแจ้งเปลี่ยนภายหลัง ผมถามธนาคารว่า ทำไมไม่แจ้งให้ผมทราบ ทางธนาคารควรรับคำสั่งจากผมซึ่งเป็นผู้ซื้อและกำลังจะเป็นลูกหนี้ธนาคาร หรือรับคำสั่งจากทางโครงการ) ฟังแล้วมันแปร่งๆ เพราะในคู่สัญญา ผู้ซื้อ(เจ้าของกระทู้)  และ  ผู้ขาย(โครงการ) แต่ดันเอาเงินที่ผู้ซื้อกู้ไปจ่ายให้ ใครก้ไม่รู้ !! วันดีคืนดี โครงการ เดินมาบอกว่า ผมยังไม่ได้รับเงินจากคุณเลย 5555 จากคุณ : LevelSeven เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 15:15:41

ความคิดเห็นที่ 18 แปลกมากค่ะ รู้สึกไม่ชอบมาพากล เรื่องภาษีและค่าโอน ข้างบนให้ความเห็นไปแล้ว ตัวบริษัทไม่มีทางได้เงินจากการทำนิติกรรมซ้ำซ้อนแบบนี้ แต่ในฐานะคนซื้อ บ้านหลังนี้ยังอยู่ในประกันไหมล่ะ หากบ้านมีปัญหาอะไรขึ้นมา เราจะเคลมกับใคร ส่วนใหญ่แล้วบ้านใหม่ ๆ สัญญารับประกันความเรียบร้อยในตัวบ้าน 1 ปี ด้านนอกบ้าน 2 ปี หลังคาบ้าน 5 ปี การรับประกันเหล่านี้ยังอยู่ไหม จากคุณ : มนอุ๊งอิ๊ง เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 16:24:45

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่น่าเสี่ยงกับโครงการนี้แล้วครับ นี่ขนาดบ.มหาชนนะ ดูไม่ชอบมาพากลเลย แล้ว 30 วันนี่จะได้เงินคืนจริงหรือเปล่าล่ะ? จากคุณ : Slow เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 16:42:43

ความคิดเห็นที่ 20 มันผิดปกติไปหน่อย ทำสัญญากับโครงการแต่ตอนโอนกลับเป็นเจ้าของอื่น   ถ้าโครงการเป็นของ บริษัท มหาชน  ก็บอกชื่อโครงการไปเลยครับ น่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั่วไปและผู้ถือหุ้นนะครับ จากคุณ : mahdum เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 16:45:49

ความคิดเห็นที่ 21 ไปนั่งทำงานแป๊บเดียว กลับมาอีกทีเป็นกระทู้แนะนำไปแล้ว ขอบคุณมากๆครับ หลังจากที่อ่านหลายๆความเห็น และมาตั้งสติทบทวนเหตุการณ์อีกครั้ง ผมคิดว่ามีหลายความเห็นโดยเฉพาะ คห.14 ค่อนข้างจะตรงกับใจผมนะครับ เนื่องจาก ผมสอบถามทางโครงการถึงเหตุผลแล้ว โครงการอธิบายว่า ธนาคารที่ไฟแนนซ์โครงการมีเงื่อนไขให้รีบปิดเฟสแรกให้หมด จึงจะเปิดเฟสสองได้ โครงการเลยโอนบ้านที่ยังขายไม่หมด(จำนวนหลายหลัง)ให้กับนายก.ไปก่อน จะได้เป็นตามเงื่อนไขของธนาคาร ดังนั้น ไม่ใช่การโอนผิดแปลงแน่นอนแล้วครับ ประเด็นของผมคือ โครงการได้ดำเนินการไปในขณะที่ยังมีสัญญาซื้อขายผูกพันอยู่กับผม (การโอนขายให้นาย ก. ทำภายหลังการตกลงขายกับผมไปแล้ว...ทำได้ด้วยหรือ) นอกจากนี้โครงการยังไม่แจ้งให้ผมทราบหรืออธิบายให้ผมเข้าใจก่อนวันนัดโอนกรรมสิทธิ์ ...ไม่ทราบว่า ปกติวันนัดโอนจะมีตัวแทนของโครงการไปกี่คน เพราะของผมวันนั้นคนของโครงการไปทั้งหมด 4 คน ซึ่งต่างพยายามช่วยกันยกเหตุผลต่างๆนาๆ เพื่อให้ผมตกลงโอนในวันนั้นให้ได้ เช่น บอกว่าโครงการยังรับผิดชอบทุกอย่าง ให้เชื่อใจกัน ไม่ต้องกลัว หรือจะทำสัญญาให้ใหม่ให้ถูกต้องก้ได้ ฯลฯ สำหรับ คห.17 ใช่ครับ...ผมก็รู้สึกแปร่งๆแบบคุณเหมือนกัน แม้ว่าธนาคารจะยืนยันกับผมว่าธนาคารทำตามระเบียบของธนาคารและทำถูกต้องแล้วก็ตาม ซึ่งผมได้ไปติดต่อที่ธนาคาร(ที่อนุมัติสินเชื่อให้ผม)แล้ว แจ้งขอยกเลิกการใช้วงเงินที่อนุมัติ เพราะผมไม่ต้องการซื้อโครงการนี้แล้ว และผมรู้สึกว่าธนาคารเอื้อประโยชน์ให้กับโครงการมากเกินไป ยอมทำแคชเชียร์เช็คเป็นชื่อใครก็ได้ แล้วแต่โครงการจะสั่ง (ขออภัยทางธนาคารด้วยนะครับที่ผมรู้สีกอย่างนี้) เพิ่มเติมอีกนิดครับ ก่อนวันนัดโอน 1 วัน ผู้จัดการฝ่ายขายของโครงการได้โทรมาถามผมว่า จะซีเรียสหรือไม่หากในวันโอนทางโครงการจะทำราคาซื้อขายที่ต่ำกว่าความจริงเพื่อประหยัดภาษี ซึ่งผมได้ตอบไปว่าไม่น่าจะทำได้นะ เพราะโครงการของคุณเป็นบริษัทมหาชนไม่ใช่หรือ ซึ่งตรงจุดนี้หากทางโครงการคิดจะบอกความจริงเรื่องผู้ถือกรรมสิทธิ์ก็น่าจะทำได้ แต่กลับไม่พูดอะไร ดูอาการของทีมงานโครงการในวันนัดโอนแล้ว ผมเดาว่า 1. โครงการคิดว่า ผมคงจะไม่ซีเรียสเรื่องชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ ถ้าโอนบ้านให้ผมได้แล้วก็น่าจะจบ 2. ถ้าผมเกิดซีเรียสขึ้นมา โครงการก็ยังคิดว่า จะสามารถเจรจาหว่านล้อมให้ผมยอมโอนได้ คห.20 ครับ ผมระบุชื่อบริษัทได้ด้วยหรือครับ สงสัยจะไม่ปลอดภัย เพราะหลังจากผมแจ้งผู้จัดการฝ่ายขายของโครงการไปว่า ขอยกเลิกสัญญา ท่าทีของผู้จัดการก็เปลี่ยนไป มีการพูดว่าการคืนเงินจะต้องทำตามสัญญา และพูดว่าผมไม่ควรไปสงสัยการทำงานของธนาคาร(ประมาณว่าผู้จัดการสาขาโทรมาเล่าให้โครงการฟังว่า ผมไปยกเลิกการกู้ และสอบถามเรื่องการออกแคชเชียร์เช็ค) และปิดท้ายด้วยการบอกว่า ถ้าผมคิดจะฟ้องโครงการเรื่องผิดสัญญาก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะเค้าเป็นบริษัทมหาชนและจะมีผู้ใหญ่ช่วยเคลียร์เรื่องให้ได้ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ตอนนี้ก็เหลือแค่รอลุ้นว่าผมจะได้เงินคืนหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 18:58:50 จากคุณ : monkeyshi เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 16:49:56

ความคิดเห็นที่ 22 ผมพิมพ์ไปยาว แล้วมันก็ดับไปเฉยๆ 1.  เงินจองคิดว่าอย่างไรต้องได้คืน     ในสัญญาจะซื้อจะขาย จะต้องระบุคำรับรองของผู้จะขาย ว่าเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน อาคาร ที่จะขาย     เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์จริง ก็น่าจะได้เงิินจองคืน 2.  ถ้าตาม 1. ไม่ได้ผล ประเด็นเรื่องชื่อเสียง ถ้าเรื่องนอกใน (ซึ่งควรจะเป็นเรื่องภายใน) ถูกกล่าวถึงมากขึ้น     ผมเป็นโครงการสู้คืนเงิน แล้วรอขายคนอื่นดีกว่า แนะนำว่าเวลาคุยกับผู้จัดการขายโครงการให้อัดเสียงไว้ จะได้มีวัตถุดิบเยอะๆครับ จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 19:43:46

ความคิดเห็นที่ 23 อย่างนี้ผจก.ธนาคารสาขานี้นี่จะมีเอี่ยวได้เสียกับโครงการด้วย จะให้ดีสอบถามสำนักงานใหญ่ของธนาคารนั้นด้วยว่าเขาออกแคชเชียร์เช็คให้คนอื่นที่ไม่ใช่ผู้ขอกู้ได้ด้วยหรือเปล่า เห็นด้วยกับคคห.22ว่าต้องอัดเสียงเวลาคุยด้วย เป็นหลักฐานไว้ก่อน จากคุณ : Slow เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 20:28:05

ความคิดเห็นที่ 24 อืม...เข้ามาอ่าน...และก็ อึ้งๆๆๆ นึกถึงว่า ถ้าเป็นเรากะแฟน คงใจอ่อน คงโอนไปแล้วมาเสียใจทีหลังแน่ๆเลยเชียว จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 21:51:45

ความคิดเห็นที่ 25 บ. มหาชนดังกล่าวสร้างยอดขายปลอมเพื่อปิดก่อนไตรมาสสองหรือเปล่าคะ(ทำก่อนสิ้นเดือนนิดนึงเพื่อไม่ให้ auditor สงสัย ทำเสร็จจะโอนคืน บ. หลังไตรมาส ก็กลัว auditor สงสัยอีก เลยต้องทำเป็นว่า จขกท. ซื้อจาก นาย ก ซึ่งชื่อ นาย ก นี่มักจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับบริษัท เพราะบริษัทกลัวต้องเปิดในหมายเหตุว่าขายให้กับคนที่เกี่ยวข้อง)  โดยเขาต้องการทำว่ามีการซื้อขายจริง โดยโอนบ้านให้ นาย ก และให้ นาย ก จ่ายเงิน  อยากให้ จขกท. เอา case นี้ฟ้องกลต. ค่ะ ถือว่าไม่มีความโปร่งใส  อยากรู้จังว่า บ. อะไร   ในกรณีนี้ถ้าสมมติ จขกท จะโอนต้องอ่านสัญญาให้ดีนะคะ บางทีเขาจะถือเป็นบ้านมือสอง และสัญญาบางบริษัทจะเขียนว่าถ้าบ้านเปลี่ยนมือจะหลุดประกันทันที ซึ่งกรณีนี้ถือว่าคุณเป็นมือสอง บ้านหลุดประกัน แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 54 22:11:44 จากคุณ : หมวยตาหยี เขียนเมื่อ : 5 ก.ค. 54 22:09:46

ความคิดเห็นที่ 26 ให้ผมเดาอย่างงมๆเลยนะครับ ผมคิดว่าโครงการตั้งนายก.ไว้ไขว้เป็นลูกหนี้ของโครงการ เช่น นิติบุคคลปล่อยกู้ให้นายก.เอาเงินไปลงทุนทำโครงการ นายก.รับเงินค่าบ้านเสร็จไม่ยอมชำระหนี้คืนนิติบุคคล ดังนั้นสถานะของนิติบุคคลนั้นยังเป็นเจ้าหนี้นายก.อยู่ไม่สามารถรับรู้รายได้เพื่อคิดเป็นฐานภาษี ส่วนนายก.มีสถานะเป็นลูกหนี้ มีเงินเข้ามาในบัญชีจริงแต่ไม่ได้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ก่อน ว่างๆก็โยกเงินไปซุกไว้ตามแหล่งฟอกเงินตามเกาะต่างๆ วันดีคืนดีสรรพากรตรวจบัญชีเจอเงินโอนเข้ามาเยอะแยะแต่นายก.ไม่ได้กรอกแบบไว้อย่างถูกต้อง จะฟ้องนายก.แต่บังเอิ้ญบริษัทที่เป็นเจ้าหนี้ของนายก.ดันฟ้องก่อน บัญชีนายก.ตอนนั้นคงเหลืออยู่ยี่สิบบาทกับอีกสองสลึง ถ้าสรรพากรอยากได้เงินต้องต่อคิวบริษัทนะครับ สุดท้ายนายก.กลายเป็นบุคคลล้มละลายที่นอนบนฟูก นายก.ยังบินเข้าบินออกใช้เงินในต่างประเทศสบายบรื๊อ (ส่วนใหญ่นักธุรกิจพวกนี้มีสัญชาติอื่นซุกไว้อยู่แล้ว คนมอนเตรเนโกรคนนึงก็เก่งเรื่องพวกนี้) ส่วนผู้ซื้อกระทบอะไร เมื่ออสังหานั้นตกเป็นสินทรัพย์จำนองไว้กับแบงค์ โฉนดก็อยู่ที่แบงค์เมื่อผ่อนชำระหมดถึงเวลานั้นก็จะโอนสินทรัพย์นั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ซื้อ สิ่งที่กระทบตามมาคือ เมื่อนายก.ตกเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว การบริหารงานส่วนกลางบางเรื่องนั้นจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะบุคคลล้มละลายไม่สามารถทำนิติกรรมสัญญาอะไรได้ เช่น หากต้องการให้โอนถนนส่วนบุคคลที่ยังเป็นชื่อนายก.อยู่มาให้กทม.ดูแลก็ทำไม่ได้ ถนนนั้นก็ยังเป็นถนนของโครงการตามกฏหมายจัดสรรเหมือนเดิม ส่วนเรื่องอื่นนั้นเมื่อคนซื้อโอนกันหมดแล้ว นายก.ก็ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องส่วนกลางแล้วพร้อมจะชิ่งได้ทันที เมื่อเก็บเงินค่าส่วนกลางมาเป็นกองทุนตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านพอตั้งเสร็จก็พร้อมจะบิน ทีเสี่ยงคือเรื่องการประกันบ้านการซ่อมแซมต่างๆ ผมเชื่อว่าบริษัทนิติบุคคลนั้นยังดูแลให้อยู่ระยะนึงแล้วก็จะชิ่งไปในที่สุด ที่ผมคิดในทางนี้ เพราะเจ้าของหมู่บ้านที่ผมอยู่ตอนนี้มันทำอย่างนี้ครับ ตอนนี้เขาเป็น blacklist ของกรมที่ดิน ผมเคยไปตรวจสอบแทบลมจับ ยังดีที่เขาสร้างบ้านจนเสร็จ ตอนนี้เขาล้มละลายเรียบโร้ยสบายไปแล้ว อีกอย่างคือ อย่าคิดว่าเคสที่ผมว่านี่ต้องถูกต้องนะครับ ผมแค่คาดเดาจากประสบการณ์ส่วนตัวบวกกับความรู้ทางบัญชีภาษีอากรแบบงูๆปลาๆครับ จากคุณ : BlueAurora (BlueAurora) เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 00:08:01

ความคิดเห็นที่ 27 ใช่ค่ะ บ้านคุณถือว่าเป็นบ้านมือสอง แม้จะไม่เคยมีคนเข้าอยู่ก็ตาม อันนี้เราเคยขึ้นศาลต่อสู้เรื่องทำนองนี้กับหมู่บ้านมาแล้ว เพราะฉนั้น เรื่องประกันบ้านถือว่าจบไป ยกเว้นคุณไปเจอผู้ประกอบการที่ซื้อสัตย์จริงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็รู้ๆกันอยู่ อาจจะประกันช่วงแรก หลังจากนั้นก็หายตัวไป เราดูๆแล้ว ทั้งแบงค์และบ.บ้าน ทำไม่ถูกนะคะ เหมือนรู้เห็นเป็นใจกัน ส่วนเรื่องฟ้องร้อง บริษัทขนาดนี้แล้ว เค้ามีทนายมืออาชีพทำงานให้อยู่แล้ว ถ้ามีปัญหาถึงฟ้องร้อง รับรอง ปวดหัวไปอีกนานแสนนาน จากคุณ : ลั่นทมเขาหลวง เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 07:46:49

ความคิดเห็นที่ 28 มันมักจะมีพวกแปลกๆ แบบนี้ หรือเปล่า http://www.pantip.com/cafe/home/topic/R10774660/R10774660.html ยังไงทำธุรกรรมเรื่องการเงิน รอบคอบนิดนึงก็ดีแล้วครับ ^^ ยังรอฟังเรื่องราวต่อไปว่าเป็นยังไงต่อ จากคุณ : LevelSeven เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 08:21:36

ความคิดเห็นที่ 29 #21 น่าจะบอกได้นะคะ ประเด็นเรื่องหมิ่นประมาท น่าจะเข้าข่ายมาตรา329นะคะ มาตรา 329  ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต (1) เพื่อความชอบธรรม  ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม (2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่ (3) ติชม ด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ หรือ (4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท http://www.thaimedialaw.org/index.php?option=com_content&view=article&id=19&Itemid=27&lang=en พูดตรงๆว่าเราอยากรู้ชื่อโครงการ ชื่อบริษัท และชื่อธนาคารค่ะ แต่ทั้งหมดนี้แล้วแต่ดุลพินิจของจขกท.ค่ะ จากคุณ : YanYanMachiko เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 11:36:39

ความคิดเห็นที่ 30 2.เหตุการณ์วันที่ 18 มิ.ย. 54 ที่บริษัท A ขายให้นายก. ผมดูหลักฐานมาจากสำเนาโฉนดชุดล่าสุดที่ผมได้เห็นในวันนัดโอนกรรมสิทธิ ณ สำนักงานที่ดิน ซึ่งปรากฎชื่อ นาย ก. เป้นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลอดภาระผูกพันจากธนาคารแล้วด้วย จากตรงวรรคนี้ "นาย ก. เป้นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลอดภาระผูกพันจากธนาคารแล้วด้วย"   โฉนดอีกฉบับอยู่ที่ใครค่ะ จากคุณ : Tiny_TinTin เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 13:54:18

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าเป็นเราจะเลิกคบทั้งธนาคารนี้และโครงการนี้ค่ะ!! ไม่ชอบพวกทำอะไรลับหลัง! แล้วยิ่งมาทำเป็นขู่นี่ อย่างเกลียด.. อัดเสียงไว้โลดค่ะ ปล.1 -ตอนเราโอนคอนโดจากโครงการ มีเจ้าหน้าที่จากแบงค์และจากโครงการมาอย่างละ 1 คนเองค่ะ.. ของเราบริษัทมหาชนเหมือนกัน... ปล.2 - ว่าแล้วเราไปดูโฉนดเราก่อนดีกว่า (สายไปมั๊ยเนี่ย ^^") จากคุณ : ซอด้วง เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 16:55:07

ความคิดเห็นที่ 32 ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆจากโครงการเลยครับ ก็ยังคิดอยู่ว่าโครงการจะยอมคืนเงินให้ดีๆ หรือจะยื้อแบบให้เราต้องไปฟ้องศาลเอา (เผื่อเราอาจจะขี้เกี่ยจฟ้องเพราะเงินแค่ 50,000 บาท) คห. 29 # ผมขอเวลาอีกนิด เพราะยังไม่แน่ใจว่าจะเปิดเผยชื่อได้หรือไม่ จริงๆ แล้วก็อยากเปิดเผย เพราะนึกเป็นห่วงคนซื้อบ้านอีก 2 หลัง ที่โครงการบอกผมว่าจะมีนัดโอนต่อจากผม เพราะไม่รู้ว่าป่านนี้โอนไปแล้วหรือยัง ตอนนี้ที่ผมพอจะบอกได้ก็คือ โครงการของผมเป็นบ้านเดี่ยวแถวพระราม 2  เนื้อที่ประมาณ 100 ตร.วา ราคาประมาณ 5 ล้านกว่าๆ และบริษัทมหาชนที่เป็นเจ้าของโครงการนี้ยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ครับ ส่วนธนาคารที่ว่าก็เป็นธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง โดยสำนักงานใหญ่เป็นผู้ให้สินเชื่อโครงการ และสาขาเป็นผู้อนุมัติสินเชื่อให้ผม (วันที่ไปสำนักงานที่ดิน ยังมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานใหญ่มากับโครงการด้วย และช่วยทางโครงการพูดกับผม...ผมขอนามบัตร เจ้าหน้าที่ธนาคารบอกว่าไม่มี แต่ควักบัตรประจำตัวพนักงานมาให้ผมดู ผมก็เลยจดชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวไว้) คห. 30 # จากตรงวรรคนี้ "นาย ก. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และปลอดภาระผูกพันจากธนาคารแล้วด้วย"  โฉนดอีกฉบับอยู่ที่ใครค่ะ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ เดิมผมมีแค่สำเนาโฉนดตามสัญญาซื้อขาย โดยธนาคารสาขาบอกผมว่าโฉนดดัวจริงอยู่ที่สำนักงานใหญ่ แต่ในวันที่ 25 มิ.ย. 54 กลายเป็นว่าโฉนดตัวจริงอยู่ที่นาย ก. ธนาคารฯไม่ได้เป็นผู้ถือโฉนดมา ซึ่งผมขอดูด้านหลังโฉนดจากนาย ก. หรือโครงการนั่นแหละครับ และเห็นว่ามีช่องการโอนขายในวันที่ 18 มิ.ย. 54 (โฉนดมีฉบับเดียว) ถ้าโครงการไม่คืนเงินให้ผม ผมควรฟ้อง สคบ. จะดีกว่าฟ้องศาลมั๊ยครับ??? แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 54 18:39:40 จากคุณ : monkeyshi เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 18:27:22

ความคิดเห็นที่ 34 เราเคยโดนค่ะ ต้องคุยกับโครงการนะถึงจะรู้เรื่อง มาลงเน็ตยิ่งยาวววว โครงการอยากหนีภาษี แค่นั้นแหละ บ้านก็ของเราอยู่ดี จากคุณ : aikochan เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 19:06:17

ความคิดเห็นที่ 35 วันนัดโอนของเรามีตัวแทนโครงการมาเพียง 2 คน ช่วยกันทำงาน เพราะมีคนมาโอนหลายคน จากคุณ : Tiny_TinTin เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 20:55:34

ความคิดเห็นที่ 36 เราว่าจขกท. คงหมดใจแล้วล่ะค่ะ เพราะเหตุการณ์นี้มันทำฝห้คิดได้ว่า ขนาดยังไม่ซื้อ มันยังตุกติกขนาดนี้ ถ้าหลวมตัวซื้อไปแล้ว เกิดมีปัญหาตามมา จะแน่ใจได้ไงว่าจะไม่โดนตุกติกอย่างอื่นอีก เอาง่ายๆ บ้านจะสร้างได้คุณภาพเท่าที่โฆษณาไว้หรือเปล่า ขนาดสัญญาจะซื้อจะขายเซ็นกันไว้เป็นมั่นเหมาะ โครงการยังเห็นเป็นแค่กระดาษชำระ นึกจะผิดสัญญาแบบหน้าด้านๆ ก็ถือวิสาสะทำซะ เห็นลูกค้าที่จะซื้อบ้านเป็นหัวหลักหัวตอ จากคุณ : ฟ้าคำราม เขียนเมื่อ : 6 ก.ค. 54 22:05:21

ความคิดเห็นที่ 37 ผมไม่รู้ว่าโครงการต้องการอะไรแน่ และทำไปเพื่ออะไร หรือผิดพลาดตรงไหน ?? แต่ที่แน่ๆการทำสัญญาของคุณ จขกท. เหมือนกับการซื้อบ้านมือสอง เพียงแต่บ้านมือสองหลังนี้ ยังไม่เคยมีผู้อยู่อาศัยเท่านั้นเอง จากคุณ : Mr.Quiet เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 01:32:09

ความคิดเห็นที่ 38 แหม ชอบ คห.36 ตรงคำว่า หัวหลักหัวตอ จัง.. ได้อารมณ์มาก ยิ่งอ่าน จขกท เล่าเพิ่มก็ยิ่งไม่ชอบตามไปด้วยอ่ะ โครงการไม่ต้องพูดถึง ด้วยเหตุอะไรก็ตาม ตุกติก ไม่ตรงไปตรงมา บ้านตั้ง 5 ล้านนะ(โว๊ย) เริ่มต้นก็อย่างนี้ ต่อไปจะยังไง ส่วนธนาคารยิ่งแล้วใหญ่ เกลียดนักพวกเดียวกันมาทำให้เราหัวเดียวกระเทียมลีบ..ตอนเราซื้อคอนโดก็เจอแบงค์ที่ดีลกับโครงการทำเสียอารมณ์เหมือนกันค่ะ..แต่เราแค่สิวๆ.. คือ แบงค์ไปเอาเอกสารเราโน่นนี่จากโครงการเฉยมามัดมือชกให้เรากู้กับเค้าให้ได้ จิกสุดๆ บัฟแบงค์อื่นสุดๆ..เราก็ฉุนขาด เพราะถือว่าเอกสารทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของโครงการและเรา ต้องได้รับอนุญาตจากเราด้วยก่อนดำเนินการใดๆ มาอาศัยซี้ไปขอตรงโครงการ แล้วมาแก้ตัวว่าที่ผ่านมาเค้าก็ทำกับลูกค้าคนอื่นอย่างนี้ตลอด.. ขโมยชัดๆ..(อ้าว โทษทีค่ะ เล่าเรื่องตัวเองไปซะงั้น) ส่วนเรื่องขอความเห็นว่าทำไงต่อ.. เราเป็นคนง่ายๆ อ่ะ(หรือเปล่า) แล้วไม่มีความรู้ด้านกฎหมายหรือขั้นตอนโน่นนี่.. ไม่ชอบความไม่ยุติธรรม แต่ก็ไม่ชอบความยืดเยื้อยุ่งยาก ถ้าเป็นเรา ขอเงินคืนเฉยๆ ถ้าไม่ให้ก็ไม่เป็นไร แค่ 5 หมื่น ถือว่าชาติที่แล้วติดหนี้เค้า! ปล.เรื่องชื่อโครงการกับแบงค์ ขอหลังไมค์ได้มั๊ยคะ..อยากรู้อ่ะ อิอิ จากคุณ : ซอด้วง (ซอด้วง) เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 08:40:30

ความคิดเห็นที่ 39 แปลกใจว่าทำไมโครงการไม่ชี้แจงลูกค้าก่อน แปลกใจที่ธนาคารเปลี่ยนชื่อหน้าเช็คตามคำขอของโครงการ ทั้ง ๆ ที่คุณเป็นคนกู้ เป็นเรา เราไม่เอาแล้วค่ะ ตอนนี้ซื้่อบ้านจากบ.มหาชนแห่งหนึ่ง ก่อนโอนพูดอย่าง หลังโอนพูดอย่าง หน้ามือเป็นหลังเท้าเชียวค่ะ สระว่ายน้ำจนป่านนี้ยังไม่ได้สร้าง อยู่มาจะสองปีแล้ว ช้ำใจจจจจจจจจจจ จากคุณ : papa mama love u เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 10:21:53

ความคิดเห็นที่ 40 case นี้ของเราก็เป็นค่ะ แต่โชคดีที่ตอนนั้นเค้าเร่งขายเราเลยบอกว่าถ้าไม่ยอมจ่ายค่าโอนและค่าอื่นๆให้เราจะไม่ซื้อ  เค้าเลยจ่ายให้หมด แถมเรามีเงินกลับมาติดมุ้งลวดอีก 3 หมื่น  เสียอย่างเดียวเราได้บ้านใหม่แต่เป็นบ้านมือสองสะงั้น จากคุณ : Pinion เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 11:30:04

ความคิดเห็นที่ 41 หมกเม็ด จากคุณ : squirrel-yacht เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 12:52:44

ความคิดเห็นที่ 42 อ่านอีกรอบ งานนี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับการกู้แบงค์ เพราะทุกแปลงที่ขายได้ ต้องโอนเงินจ่ายคืนธนาคารตามสัดส่วนอยู่แล้ว อันนี้น่าจะเป็นการแต่งบัญชีสำหรับทำยอดรายได้ในไตรมาสสองมากกว่า แย่เสียยิ่งกว่าแย่ ตรงที่ธนาคารเองก็ร่วมมือด้วยเนี่ยแหละ จากคุณ : มนอุ๊งอิ๊ง เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 16:37:14

ความคิดเห็นที่ 43 ใจผมคิดว่าเป็นเพราะลูกค้าขอเปลี่ยนหลัง จะด้วยว่าอะไรก็ไม่รู้ ตรวจรับบ้านแล้วไม่ชอบใจ มีที่ผิดมหันต์ เลขที่บ้านไม่สมพงษ์ ฮวงจุ้ยไม่ดีอยู่แล้วไม่รวย  ซื้อไปแล้วเมียมาขอเลิก -_-' ลูกค้าเดิมเลยเอามาขายต่อ ยอมเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ยอมเสียค่าโอน แถมให้ค่านายหน้ากับโครงการ โครงการจึงยอม อะไรทำนองนี้ ส่วนที่สำคัญคือสัญญาซื้อขาย ต้องเป็นคุณซื้อกับนาย ก ไม่ใช่โครงการ และเพื่อกันความผิดพลาด คุณควรขอหนังสือมอบอำนาจมาดูด้วยว่า นาย ก มอบอำนาจโครงการมาทำแทนจริงหรือไม่ ส่วนเรื่องรับประกัน ถ้าโครงการยอมออกหนังสือให้ชัดเจนว่ารับประกันกับคุณ ผมว่าก็ไม่มีปัญหา รวมๆก้คือถ้าตรวจสอบเอกสารทางกฎหมายทั้งหมดให้รัดกุม ผมว่าซื้อได้ แต่ว่าเป็นผมต้องขอลดราคากันอย่างแสนสาหัสหน่อย ถ้าไม่ยอมลด ผมก็ไม่เอา (ถ้ายอมลดเยอะจริงก็พอจะแหยวนๆไป) ส่วนเรื่องคืนเงิน ถ้าเขาไม่คืนผมว่าฟ้องได้ และชนะด้วย คุณอาจถึงขั้นขู่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ด้วยซ้ำ เพราะว่าโครงการทำสัญญาซื้อขาย (น่าจะเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย) กับคุณไปแล้ว แต่ว่าดันไม่มีบ้านมาขายคุณ (ไม่มีกรรมสิทธิ์โดยตรงผมมองว่าไม่ถูกตามสัญญา) เพียงแต่ว่าจะไม่คุ้มค่าทนายฟ้องเสียมากกว่า  ซึ่งก็ถือเป็นคราวเคราะห์ของคุณไป ยังไงก็ขอให้ได้เงินคืนในเร็ววันครับ จากคุณ : Major Chip Hazard เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 17:45:53

ความคิดเห็นที่ 44 ถ้าเราทำสัญญาจะซื้อจะขายกับ อีกคนนึง จะเป็นบุคคล หรือนิติบุคคลก็แล้วแต่ ถ้าเราเป็นผู้ซื้อ ผิดสัญญา เปลี่ยนใจไม่ซื้อ ก็โดนริบเงินมัดจำ แล้วถ้าผู้ขาย แอบเอาไปขายให้คนอื่น ไม่มีของมาขายให้เราแล้ว ก็ผิดสัญญาเหมือนกัน แล้วผู้ขายโดนอะไร ผมว่าอย่างนี้มันไม่ยุติธรรม ผู้ขายนอกจากจะคืนเงินแล้วต้องจ่ายชดเชยให้ผู้ซื้อด้วยซ้ำไป หรือว่ากฎหมายใช้ไม่ได้กับบริษัทหญ่ายๆๆๆๆๆ ที่มีนิติกรพร้อม มีเงินสู้คดี จากคุณ : ทิดชา เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 18:02:17

ความคิดเห็นที่ 45 เราว่าตาม คห 34 ค่ะ โครงการโอนเป็นชื่อคนอื่น(ซึ่งจริงๆ เป็นญาติพี่น้องกับเจ้าของโครงการ)เพื่อต้องการหนีภาษีจากรัฐ อันนี้ทราบมาจากเพื่อน ที่ญาติเค้าทำหมูบ้านจัดสรร น. นะเออ จากคุณ : Kimmery เขียนเมื่อ : 7 ก.ค. 54 19:45:50

ความคิดเห็นที่ 46 ถ้าบ้านพัง เสีย ทรุด ร้าว  บริษัทไม่เกี่ยว   .....ต้องไปฟ้องนาย ก ลูกเดียว แถมพึ่งโอนตัดหน้าเสียด้วย แสดงว่าตั้งใจทำครับ  อย่าไปเอาเลย ถ้าไม่คืนเงิน โืทรแจ้งสรรพากรในพื้นที่เลย  ให้ตรวจทั้งโครงการ เอาเงินค่าปรับเข้าหลวง ส่วนธนาคารรัฐ ร้องเรียนที่ Call Center + ผู้จัดการเขต หรือ ผู้จัดการภาค + หน่วยตรวจสอบกลาง  .......จนท สินเชื่อรู้เห็นเป็นใจได้เงินแน่ๆ (ไม่เผลอด้วย  ตั้งใจทำอีกแล้ว) จากคุณ : birdeyeview เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 00:33:18

ความคิดเห็นที่ 47 ถ้าเป็นบ.มหาชนก็เดาได้เลย สงสัยเขาจะแต่งบัญชีให้มีการซื้อขายก่อน จะได้รับรู้รายได้ แต่งงบได้สวยๆ จากคุณ : TingTing เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 10:43:32

ความคิดเห็นที่ 48 สงสัยค่ะ  บ. มหาชน  เนี่ยมันต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ก่อนไม่ใช่เหรอ ถ้าหากยังไม่เข้าตลาดฯ จะเรียกเป็น บ.มหาชนได้เหรอคะ? จากคุณ : mookmee เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 12:30:47

ความคิดเห็นที่ 49 แนะนำว่า...บางที สคบ.ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ยิ่งเป็นบริษัท มหาชน แล้ว แนะนำว่า ถ้าจะฟ้องร้องจริง ๆ คุณต้องอ่านสัญญาอีกรอบให้ถ้วนถี่ ลงรายละเอียดไปลึก ๆ เลยล่ะ ว่าข้อใดฟ้องได้   ฟ้องแล้วจะมีสิทธิ์ชนะมากไหม เมื่อดูแล้วหนทางชนะมันน้อย คุณก็อย่าแข็งข้อกับโครงการมากค่ะ  เพราะเดี๋ยวเค้าจะไม่คืนเงินให้ พวกนี้เวลารับเงิน รับง่าย เวลาจ่ายออกน่ะยาก ตามที่อ่านผ่าน ๆ ตา ปัญหาของทางโครงการ น่าจะเป็นอย่างเดียวกับ คห.ที่ 2 กับ 25 ่ค่ะ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ จากคุณ : โม (mimi_mo) เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 23:12:41

ความคิดเห็นที่ 50 ถึงความเห็นที่ 48 ต้องเป็นมหาชนก่อน แล้วถึงขอเข้าตลาดค่ะ บางบริษัทจดทะเบียนเป็นมหาชน รอตกแต่งตัวเลขดีๆๆๆแล้วค่อยให้ตลาดอนุมัติค่ะ จากคุณ : หมวยตาหยี เขียนเมื่อ : 8 ก.ค. 54 23:18:31

ความคิดเห็นที่ 51 โครงการขายบ้านทำเหมือนขายขนม ถ้าไม่ใช่เจ้าของเก่าเปลี่ยนใจไม่เอา ก็คือตกแต่งบัญชีเพื่อผลประโยชน์ของบริษัทแน่ๆ ทางบริษัทไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ปัจจุบัน ณ เวลาซื้อขาย เห็นด้วยกับ คห44เลยครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรหรอกครับ แต่ถ้าปัญหาเิกิด เรื่องยุ่งยากกว่านี้แน่ ขอให้ได้เงินคืนไวๆครับ ปล.บอกชื่อโครงการผมได้ไหมครับ :) จากคุณ : เส้นขอบฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 13:02:57

ความคิดเห็นที่ 52 ผมขอขอบคุณทุกๆความเห็น ที่ช่วยให้ผมมีข้อมูลในการตัดสินใจ คือผมซื้อบ้านหลังนี้เป็นหลังแรก ไม่มีประสปการณ์ใดๆมาก่อน แม้ว่าผมจะเข้าอ่านกระทู้ในห้องชายคามาระยะหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังโดนจนได้ รู้ทั้งรู้ว่า "บ้านไม่เสร็จ ห้ามโอน" ฮ่าฮ่าฮ่า ที่ผมยอมโครงการเยอะมาก เพราะแม่ผมชอบบ้านหลังนี้ ผมตามใจแม่ เลยตั้งใจจะรีบโอนให้เสร็จ จะได้ต่อเติมได้ แม้ว่าโครงการจะขอผมหลายเรื่อง เช่น แบงก์จัดแพคเกจสินเชื่อไม่ตรงกับที่ผมขอ ถ้าแก้ไขก็จะใช้เวลา ซึ่งผมรอได้  แต่โครงการขอให้ผมช่วยโอนเร็วๆ บอกว่าช่วยโครงการประหยัดดอกเบี้ยแบงก์หน่อย ผมก็หยวนๆ คิดว่าช่วยๆกันไป และผมเคยคิดถึงขนาดที่ว่า ถ้าโอนบ้านแล้วโครงการไม่ทำให้ตามที่รับปาก(มูลค่างานประมาณ 200,000 บาท) ผมก็จะทำเอง และจะคิดซะว่า คราวซวยของเราเอง เรื่องการโอนบ้านขายให้คนอื่นโดยไม่บอกผมก่อน เป็นฟางเส้นสุดท้าย ที่ทำให้ผมทนกับโครงการนี้ไม่ได้แล้ว โครงการบอกเสมอให้เชื่อใจโครงการ ซึ่งผมก็เชื่อมาตลอด แต่พอเจอเรื่องนี้ หมดเลยความเชื่อใจ คนเราถ้าไม่เชื่อใจกันแล้วก็อยู่ร่วมกันยาก ตอนนี้สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ คือหาบ้านใหม่ในโครงการอื่นต่อไป และจะรีบพาพ่อกับแม่ไปดู เพราะทุกวันนี้พ่อกับแม่ผมเศร้ามาก ปล่อยให้คนแก่ผิดหวังนานๆ คงไม่ดีครับ สำหรับโครงการ(บริษัท A) ผมก็ปลงนะ คิดว่าชาติที่แล้วคงทำอะไรกับเค้าไว้ ผมไม่หวังว่าจะได้เงินคืน คิดเชิงบวกว่า เสียเงิน 5 หมื่น ดีกว่าเสีย 5 ล้าน แต่ผมจะทำตามสโลแกน "ผู้บริโภคต้องรักษาสิทธิ ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีคุณธรรม" คือ ผมจะแจ้ง สคบ. เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องเสียหายอีก แม้ว่าผมจะไม่ได้เงินคืนก็ตาม ด้วยความเคารพ ผมขอขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งครับ จากคุณ : monkeyshi เขียนเมื่อ : 9 ก.ค. 54 21:05:58

ความคิดเห็นที่ 53 เยี่ยมเลยครับ อย่าไปยอมเสียมันสักบาท ไม่ฟ้องมันกลับก็ดีเท่าไหร่แล้ว จากคุณ : Infighter เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 18:47:45

ความคิดเห็นที่ 54 สุดยอด  ยอกเยี่ยมมากค่ะ  สู้ๆๆ จากคุณ : annyfatgirl เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 21:35:48

ความคิดเห็นที่ 55 สู้ๆๆนะคะ อยากรู้ชื่อบริษัทจริงๆๆๆ หลังไมด์มาบอกได้ไหมคะ จากคุณ : หมวยตาหยี เขียนเมื่อ : 10 ก.ค. 54 21:49:10

ความคิดเห็นที่ 56 ผมเห็นหลายคนกังวลว่าเป็นบ้านมือสอง แล้วราคาจะตก ในความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ อสังหาริมทรัพย์ไม่เหมือนรถยนต์ หรือทรัพย์สินอื่นๆ ที่เมื่อเป็นมือสองราคาจะตกลงกว่ามือแรก ลองนึกดูง่ายๆ มีใครที่ซื้อบ้านหรือที่ดินมือสองแล้วได้ราคาต่ำกว่าที่เจ้าของบ้านมือแรกซื้อจากโครงการบ้างครับ อาจจะมีแต่น้อยมากๆ แล้วเวลายิ่งผ่านไปมูลค่าของที่ดินก็มีแต่เพิ่มขึ้น ไม่มีทางที่ราคาจะตกลง ยกเว้นไปเจอโครงการที่เป็นโครงการร้างเกือบทั้งหมด นอกจากราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นแล้ว เวลาที่ผ่านไปราคาค่าก่อสร้างก็สูงตามไปอีก อสังหามีแต่เพิ่มครับ ผมว่าถ้าบ้านหลังนั้นถูกหลังที่คุณเลือก ตรงทำเลที่คุณชอบ ไม่ต้องซีเรียสหรอกครับ ยังไงราคาก็ไม่ตกลงหรอกครับ ยิ่งนานวันทำเลของโครงการปัจจุบัน ก็ยิ่งมีความเจริญมากขึ้น อนาคตอาจจะกลายเป็นอยู่กลางใจเมืองด้วยซ้ำ ค่าใช้จ่ายบางอย่าง เช่นค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง คุณจะเรียกร้องคืนได้หรือไม่ ทางโครงการจะยินยอมชดใช้ให้คุณหรือ ในเมื่อเงินส่วนนี้ทางโครงการไม่ได้รับไปจากคุณ จากคุณ : Eng G20 (Eng G20) เขียนเมื่อ : 11 ก.ค. 54 22:50:38