ค่าแรงวันละ 300 บาทมันก็เป็นการเพิ่มต้นทุนของค่ารับเหมาก่อสร้าง มันก็เท่ากับเพิ่มต้นทุนของโครงการอสังหาซึ่งเป็นผลในการปรับราคาขี้น คิดหรือว่าค่าแรงเท่ากับ 300 เท่านั้น เป็นไปไม่ได้เพราะการรับเหมาก่อสร้างนั้นค่าแรงที่คิดจะเป็นค่าแรงของคนงานมีทักษะซึ่งก็ต้องปรับขี้นทั้งกระบิ หากโครงการไหนไม่ยอมปรับผู้รับเหมาก็จะทิ้งงานโครงการนั้นไปทำให้กับโครงการที่ยอมจ่าย โครงการที่ยอมจ่ายก็ย่อมจะเป็นโครงการทีมีเงินทุนหนาพอสุดท้ายก็จะเหลือไม่กี่เจ้า จากตลาดแข่งขันมากรายก็จะเหลือน้อยราย เมื่อเหลือน้อยรายราคาของบ้านก็จะถูกผูกขาดโดยขาใหญ่ คนไทยบางพวกอาจยินดีทีไอ้พรรคนั้นมีนโยบายอัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับ 5 ปีแรก แต่ความจริงคือราคาของบ้านจะถืบตัวสูงจากการปั่นราคาของขาใหญ่
ผมยกตัวอย่างก็ได้ หากวันนี้คุณซื้อบ้าน 50 ตร.ว.ราคา 3 ล้าน แต่เมื่อถูกปั่นราคาแล้วจะขี้นไปถึง 4 ล้าน จากเดิมคุณอาจจะได้อัตราดอกเบี้ย 0% 1 ปีแรกจ่ายเดือนละ 20000 บาท พอปั่นราคาแล้วคุณกลับต้องผ่อนเดือนละ 25000 บาท ผมถามจริงๆว่าภาระการผ่อนเพิ่มขี้นถึง 5000 บาทนี่มันดีตรงไหน สิ่งที่มันจะเบลอๆก็รือ คนไทยในตอนนั้นคงคิดไปแล้วว่าบ้านชนาดนั้น ราคา 4 ล้านมันเป็นเรื่องปกติ ผู้ประกอบการก็จะโหมโฆษณาให้เชื่อว่ามันคุ้มค่า มี่โปรลดแลกแจกแถมกันสะบัด จนไม่มีใครสนใจประเด็นเรื่องของการปั่นราคา เมื่อคนไทยสามารถปรับตัวกับราคานี้ได้มันก็จะกลายเป็นราคาฐานสำหรับการปั่นราคาในระดับต่อๆไป เช่นเดียวกับการขี้นราคาก๋วยเตี๋ยวขั้นต่ำชามละ 5 บาท (จากเดิม 25 บาทเป็น 30 บาท) มีใครสนใจบ้างว่าแท้จริงเป็นการขึ้นราคาถึง 20% ทั้งๆที่เงินเฟ้อไม่ถึง 10% จนเรายอมรับกันไปแล้วว่า 30 บาทคือราคาขั้นต่ำ แน่นอนว่าการขี้นราคาในขั้นต่อไปคือ 35 บาท อนาคตคนไทยชั้นกลางกินเงินเดือนแทบจะไม่เหลืออะไรเก็บเพราะทั้งค่ากินค่าผ่อนบ้านก็ไม่เหลือแล้ว คนชั้นกลางทนไม่ไหวก็จะออกมาไล่นักการเมืองพวกนี้ออกไป พวกนี้ก็จะซื้อเสียงเข้ามาใหม่แล้วก็เริ่มปั่นราคากันใหม่ วงจรพวกนี้ไม่มีทางหยุดตราบใดที่คนไทยยังไม่เข้าใจและยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนเอารัดเอาเปรียบจากการฮั้วกันของนักธุรกิจและนักการเมือง
จากคุณ |
:
BlueAurora (BlueAurora)
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ก.ค. 54 11:46:10
|
|
|
|