ความคิดเห็นที่ 1 ประสบการณ์เดียวกันเลยครับ ตอนแรกผมอยากได้มาก บ้านหลังแรกดอกเบี้ย 0% 2ปี แต่แล้วยื่นไป ประเมินแล้ว ราคาประเมินต่ำมากครับ ส่วนต่างไม่พอ แต่พอดีแฟนทำงานอยู่สินเชื่อแห่งหนึ่ง เค้าแนะนำว่าถ้าไม่พอจริงๆคงต้องขอสินเชื่อบุคคลเพิ่ม ครับ ที่สำคัญสัญญาระบุไหมว่า จะต้องโอนบ้านภายในวันที่เท่าไร เงินดาวน์ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้คืนครับแล้วแต่ตอนตกลงกัน ถ้าหากเวลาโอนเหลืออีกนาน ลองยื่นเรื่องบ้านกับธนาคารอื่นดูก็ได้ ถามที่โครงการว่า ร่วมกับธนาคารไหนบ้าง ครับ จากคุณ : vinaish เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 07:01:16 A:58.8.99.138 X: TicketID:324282

ความคิดเห็นที่ 2 บอกเลยจะซื้อประกันเพิ่ม แต่ขอเพิ่มวงเงิน จากคุณ : psukit62 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 07:48:40

ความคิดเห็นที่ 3 แล้วถ้าไปยื่นกับแบงก์อื่นอีกไม่ทันกำหนดเหรอคะ คืออยากให้ยื่นอีกสัก 2 ที่ ไม่ต้องห่วงโปร 0% 2 ปีอะคะ แต่ ธอส.เขามีให้กู้เพิ่มเป็นค่าตกแต่งได้อีก 10% นี่คะ วงเงินกู้คุณได้ 2,100,000 อีก 10% ก็ 210,000 บาท ลองคุย จนท.ดูคะ จากคุณ : กระเป๋าม่วง เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 09:01:03

ความคิดเห็นที่ 4 เท่าที่มองเห็นทาง 1.ขอสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มอย่างความเห็นสองบอกน่ะแหละค่ะ 2.ทำเรื่องขอเปลี่ยนใบเสร็จ 220,000 ที่จ่ายดาวน์เปลี่ยนไปเป็นส่วนต่างค่าบ้านแทน แล้วขอผ่อนชำระเิงินดาวน์ (เห็นหลายคนทำกันเยอะแยะไป ผ่อนดาวน์ไปด้วย ผ่อนค่างวดบ้านไปด้วย) 3.หาพี่น้อง หรือใครก็ได้มาร่วมกู้ เพื่อให้ได้วงเงินที่สูงขึ้น สิ่งที่ต้อง plan ต่อไปคือ คุณได้เห็นตารางผ่อนชำระค่างวดกับทางธนาคารหรือยัง คุณจะไหวไหม ในขณะที่รับผิดชอบค่างวดรถ + ค่างวดบ้าน + ค่ากินใช้ของบ้าน ค่างวดผ่อนบ้านน่าจะประมาณ 15,000/เดือน ้ถ้าขาดสภาพคล่อง หรือต้องเขียมกันขึ้นมาจะไหวไหม อ้อ..เตรียมค่าใช้จ่ายเมื่อได้บ้านแล้วด้วยนะคะ เช่น ค่าประกันมิเตอร์น้ำไฟ ค่าล่วงหน้าส่วนกลางสองปี ค่าประเมินทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมการโอน เป็นต้น แล้วก็เมื่อเข้ามาอยู่ จะมีค่ามุ้งลวด เหล็กดัด ค่าผ่าม่าน ถ้าเป็นไปได้จึงอยากให้ จขกท.หาผู้กู้ร่วมมากกว่า เมื่อมีผู้กู้ร่วม ยังสามารถขอกู้เพิ่มเพื่อตกแต่งได้ด้วย อาจจะได้วงเงินมากกว่าราคาบ้านเพิ่มขึ้นมาเป็นแสนๆ เพื่อเอามาใช้จ่ายในส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่งอกออกมาข้างต้น ขอให้ผ่านไปด้วยดีค่ะ จากคุณ : Lovely Creature เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 09:04:11

ความคิดเห็นที่ 5 โอนรถให้คนอื่นเพื่อลดภาระ หรือไม่ก็ปิดบัญชีรถไปแล้วยื่นเอกสารใหม่ จากคุณ : botum เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 10:37:17

ความคิดเห็นที่ 6 # 5 ครับ ไม่มีรถ = ไปทำงานลำบาก มีโอกาสสาย มีโอกาส ไม่ได้ขึ้นเงินเดือน ระหว่างรถ กับบ้าน ตอนนี้ผมเลือก รถครับ จากคุณ : วีระ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 11:19:59 A:202.28.43.161 X: TicketID:300312

ความคิดเห็นที่ 7 ขอกู้ต่อเติม เพิ่มดูครับ หากไม่ได้จริงๆ ลองกู้บุคคล จากคุณ : SuperCrazyBoy เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 12:33:39

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าดูจากราคาบ้าน ซึ่งแบงค์จะให้ประมาณ 90%up นั้น ผ่านแน่นอน แต่ถ้าดูจากเงินเดือน จขกท หักค่าผ่อนรถแล้ว เหลือรายได้แค่ 28000 แล้ว น่าหนักใจแทน เพราะแบงค์อื่นๆ ก้อคงให้วงเงินกู้ตามรายได้ 28000 นี้เช่นกัน ว่าแต่ จขกท ซื้อบ้านเนี่ย ไม่มีเงินเก็บเลยหรือครับ ปกติ ควรมีเงินเก็บประมาณ 10% ของราคาบ้าน บ้าน 2.5 ล้าน ก้อควรจะมีเงินเก็บซัก 2.5แสน เพราะไหน จะค่าโอน ค่าจดจำนอง ค่าส่วนกลางล่วงหน้า ค่าตกแต่งบ้าน ค่า ฯลฯ   ทางแก้ ก้อคงต้องหาผู้กู้ร่วม ม่ายก้อกู้ตกแต่งเพิ่ม หรือหาทางรีไฟแนนท์รถ ให้ยอดผ่อนต่อเดือนต่ำลง จากคุณ : nat1234 เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 14:59:49

ความคิดเห็นที่ 9 ขอขอบคุณทุกๆท่านมากครับ ตอบได้เป็นประโยชน์มาก ขอบคุณมากครับ จากคุณ : วีระ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 16:02:46 A:202.28.43.161 X: TicketID:300312

ความคิดเห็นที่ 10 จขกท ทำงานคนเดียว ดูเรื่องอนาคตด้วยนะครับ คนเราตกงานได้เสมอ จากคุณ : Q (QDora) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 16:30:04

ความคิดเห็นที่ 11 โอนชื่อรถให้เป็นของคนอื่น แต่เราผ่อนเอง ขับเองไงคะ จากคุณ : -->+:+โชยุ&วาซาบิจัง+:+<-- เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 18:09:22

ความคิดเห็นที่ 12 เคยเจอเหมือนกันค่ะ ประเมิน  8 ล้าน ได้ แค่ 2 ล้านเท่านั้น เอง ขอยื่นไป 3 ล้าน เราเลยไม่เอาเลยค่ะ นี่แบงค์ม่วงค่ะ รายได้ไม่ต่ำกว่าแสนต่อเดือน จากคุณ : ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ (ทำอะไรตามใจคือไทยแท้) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 18:37:13

ความคิดเห็นที่ 13 ตอบในฐานะเจ้าหน้าที่สินเชื่อ สำหรับความคิดเห็นที่ 12 ส่วนมากผู้กู้เข้าใจกันผิดในเรื่อง ว่ารายได้ที่ผู้กู้มี คิดรวมไปหมด ธนาคารจะคิด ฐานเงินเดือน+รายได้ที่คงที่ทุกเดือนในสลิปเงินเดือน ส่วนรายได้ที่มีขี้นลงจะนำมาเฉลี่ยต่อเดือนแล้วคูณให้ 60-80 % แล้วแต่ละธนาคาร หักภาระหนี้ต่อเดือน หักบัตรเครดิตที่รูดใช้ไปแล้วโชว์ในเครดิตบุโร นำยอดนั้นมาคิด 10% เป็นภาระหนี้ เหลือเท่าใดแล้วจึงมาคำนวณความสามารถในการชำระ ส่วนกิจการ มักจะเข้าใจว่ามีรายได้เท่านั้นเท่านี้ ถ้าเอกสารถูกต้องไม่มีเลี่ยงภาษี มีบิลครบทุกใบทั้งซื้อขาย และค่าใช้จ่าย ก็คงได้ยอดตามที่คำนวณได้ แต่ส่วนมากก็เพียงเอกสารคร่าวๆดังนั้น ธนาคารจะนำยอดเงินหมุนเวียน 6เดือนมาเฉลี่ยแล้วให้กำไรสุทธิตาม หลักการตลาด ถ้าเป็นกิจการซื้อมาขายไปก็ให้ 10% ของเงินหมุนเวียน แล้วนำมาหักภาระหนี้ดังกล่าว ถ้าเฉลี่ยเงินหมุนเวียนต่อเดือน 1แสนบาทก็มีรายได้แค่ 1 หมื่นบาท ไม่เหมือนกับคนกินเงินเดือน เนื่องจากธุรกิจ ย่อมมีรายได้ขี้นๆลงๆหรือเลิกกิจการได้ คนไทยส่วนมากคิดว่ามีความสามารถในการผ่อน แต่ในแง่ธนาคารย่อมยึดหลักฐานตามเอกสารและแบบแสดงเสียภาษี จากคุณ : นัธ บ่อนไก่ (suanplu) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 20:10:08

ความคิดเห็นที่ 14 กระจ่าง ขอบคุณครับ จากคุณ : Tumracing เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:27:20

ความคิดเห็นที่ 15 ชอบคุณ นัธ บ่อนไก่ มาก ได้ความรู้ดีๆ ทุกครั้ง ขอบคุณ จากคุณ : รังสิตปทุม เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 23:23:07

ความคิดเห็นที่ 16 ขอถามคุณนัธ ต่อนิดนึงนะคะ แล้วในกรณีที่เป็นมีอาชีพขายตรงล่ะค่ะ รายได้ประมาณสองแสนกว่าต่อเดือน จะใช้ฐานคำนวณเหมือนทั่วไปมั้ยคะ เพราะว่ารายได้ของผู้ที่ขายตรงจะไม่แน่นอน ไม่แน่ว่าจะมีรายได้ขนาดนี้ในระยะ 20-30 ปีหรือเปล่า จากคุณ : brisbane2011 เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 23:50:02