ความคิดเห็นที่ 1 ตอบในฐานะเจ้าหน้าทีสินเชื่อบ้านและนายหน้ารับฝากขายบ้าน การทำประกันชีวิตคุ้มครองหลักประกันหรือที่ชอบเรียก MRTA นั้นจะต่างกับประกันชีวิตที่เราทำคือ ถ้าเราทำประกันชีวิต เมื่อเป็นไรไปประกันก็จ่ายตามสัญญา หากเสียชีวิตก็ถือว่าจบกันไป ประกัน MRTA ถ้าเราเป็นไรไปในระยะเวลาคุุุ้มครอง พิการทุพลภาพไม่สามารถประกอบอาชีพได้หรือเสียชีวิต บริษัทประกันก็จะจ่ายค่าบ้านให้กับธนาคาร ผู้รับผลประโยชน์ก็ไม่ต้องผ่อนอีกต่อไป การทำหรือไม่ทำอยู่ที่เห็นความสำคัญหรือมีความสามารถในการผ่อนหรือไม่ หากขอวงเงินกู้ประกันชีวิต แต่ถ้าคำนวณมาแล้วเกินเกณฑ์ แบงค์ก็จะต้องลดวงเงินลง จากคุณ : นัธ บ่อนไก่ (suanplu) เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:16:46

ความคิดเห็นที่ 2 สำหรับเราคิดว่าชีวิตไม่แน่นอนค่ะ...เราก้อเลยทำประกัน เพราะถ้าเราเป็นอะไร คนที่อยู่ต่อยังมีสมบัติค่ะ จากคุณ : Nukoyi เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 22:16:20

ความคิดเห็นที่ 3 ผมก็ทำครับ เพิ่งรับปากกับธนาคารไปวันนี้เองจะโอนบ้านวันพุธหน้า เลยตัดสินใจทำประกันครับ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ถ้าเกิดเป็นอะไรไป อย่างน้อยคนที่อยู่ก็ไม่ต้องลำบาก จากคุณ : benz team เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 23:19:09

ความคิดเห็นที่ 4 ดีค่ะ เข้ามายืนยันอีกเสียง จากคุณ : S.Nantana เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 00:34:27

ความคิดเห็นที่ 5 ถามต่อนะครับ ผู้รับประโยชน์ก็คือธนาคาร ซึ่งได้รับเงินประกันตามทุนประกัน 2 ล้าน แล้วส่วนต่างหล่ะ ทายาทหรือผู้กู้ร่วมจะต้องผ่อนต่อส่วนที่เหลือใช่ไหมครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : EricWillow เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 02:15:55

ความคิดเห็นที่ 6 ตอบ จขกท. ทายาทหรือผู้กู้ร่วมต้องผ่อนที่เหลือต่อ หรือไม่ก็ปล่อยให้แบงก์ขายทอดตลาดแล้วหักหนี้ไป หรือเราผ่อนต่อแล้วหาทางขายทิ้งก็จะได้ราคาดีกว่าปล่อยให้แบงก์ขายทอดตลาดครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Polawatr) เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 07:47:02

ความคิดเห็นที่ 7 ประกันแบบนี้ ความคุ้มครองลดลงเรื่อยๆนะคะ ไม่ได้หมายความว่าความคุ้มครองของคุณจะเป็น2ล้านตลอดนะคะ มันจะมีตารางความคุ้มครองให้ค่ะว่าช่วงไหนคุ้มครองเท่าไหร่ ที่เต็ม2ล้านเฉพาะวันแรกที่ทำแค่นั้นแหละนอกนั้นลดลงเรื่อยๆ ซึ่งจะพอเพียงกับหนี้ที่มีหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการผ่อนชำระ และอัตราดบ.ที่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ เช่นว่าความคุ้มครองณ.วันที่เสียชีวิตจริงเหลืออยู่1ล้าน หนี้มีค้างอยู่1.2ล้าน ทายาทก็ต้องจ่ายส่วนต่างไป แต่กลับกันณ.วันที่เสียชีวิตความคุ้มครองเหลือ1.5ล้านหนี้มีค้างอยู่1.2ล้าน บ.ประกันก็จะจ่ายหนี้ให้แบงค์1.2ล้าน ส่วนต่างความคุ้มครอง3แสน ก็จะเป็นการคืนค่าเบี้ยประกันตามอัตราส่วนค่ะ นั่นคือเหตุผลที่ประกันประเภทนี้เบี้ยถูกค่ะ มันก็มาพร้อมรายละเอียดการรับประกันปลีกย่อยอีกเยอะแยะเลยค่ะ ถ้ารับได้ว่าผ่อนทันกับความคุ้มครองที่ลดลงกับค่าเบี้ยค่อนข้างถูก ก็ทำแบบนี้ ถ้าไม่มั่นใจ ก็ทำประกันชีวิตแบบปกติ(ที่ไม่ใช่ออมทรัพย์ แพง) เอาแค่ความคุ้มครองที่ต้องการในช่วงระยะเวลาเป็นหนี้ ได้รับความคุ้มครองชีวิตเต็มตลอดอายุประกัน ก็เลือกอีกแบบนึงค่ะ สนใจสอบถามหลังไมค์ได้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 24 ส.ค. 54 10:20:07 จากคุณ : littlelion13 เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 10:18:49

ความคิดเห็นที่ 8 ธนาคารได้เงินจากประกัน ส่วนทายาทของคุณก็ได้บ้านไปครับ ถ้าจะทำ แนะนำจ่ายเป็นเงินสดดีกว่า เอาไปรวมในยอดกู้ มันก็มีดอกเบี้ยเท่ากับบ้านไปด้วย คิดแล้วแพงมากๆนะครับ.... ถามว่าดีมั๊ย/ควรทำหรือเปล่า ตามความเห็นผม ดีครับ/ควรทำ ผมเองก็ทำ ความแน่นอนของชีวิตนี้คือความตายครับ ถ้าเราตายหลังจากผ่อนบ้านหมดแล้วก็ดีไป ไม่มีภาระทิ้งไว้ให้ลูกหลาน แต่ถ้าเราตายก่อน คนข้างหลังจะลำบาก อย่าสงสัยว่าเราจะตายยังไง / เมื่อไร แต่ให้คิดว่า เราต้องตายแน่ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรเท่านั้น จากคุณ : nuinonthaburi เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 10:46:00

ความคิดเห็นที่ 9 ตัดสินใจไม่ทำครับ ทั้ง ๆ ที่ถ้าไม่เดือดร้อนก็น่าจะทำไว้ แต่ว่า ณ เวลานั้นมันหนักหนาสำหรับเรา เลยบอกเจ้าหน้าที่ว่าไม่ทำ.... แต่ก็แอบขู่เราว่า อาจจะกู้ผ่านยาก.... จากคุณ : tgclub เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 13:00:25

ความคิดเห็นที่ 10 กู้ 2.5 ล้านเหมือนกัน เสียค่าประกันไป แปดหมื่นกว่าบาท Y_Y ทำไว้ดีกว่าค่ะ เพราะเราไม่รู้อนาคตของเรา กว่าจะได้มาเป็นบ้าน เหนื่อยทั้งแรงกายแรงใจ ถ้าเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า อย่างน้อยๆก็ไม่ทิ้งภาระไว้ให้ลูกหลาน จากคุณ : หมีน้อยเทวดา เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 19:42:03

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ โดยเฉพาะคุณ littlelion13 ตอบได้เคลียร์ดี ยังไงๆๆก็คงต้องทำนั่นแหละ เพื่อคนข้างหลังที่เรารัก เพราะดูแล้วยังไงก็คุ้ม จากคุณ : EricWillow เขียนเมื่อ : 25 ส.ค. 54 03:13:48