 |
ลองอ่านดูครับ อาจจะมีประโยชน์ในการสู้คดีความกันครับ แล้วใครว่าสคบ.เป็น paper tiger อาจต้องคิดดูใหม่ครับ
(แต่มันเลวจริงๆเลยนะครับ ไม่รู้จะมีคนโดนหลอกกันอีกกี่ครอบครัว)
..................................................................... http://www.lawdd.net/detailedpetition?petId=MTI4Nw%3D%3D
คำพิพากษาศาลฎีกา : ฎีกาเลขที่ ๓๘๘๖/๒๕๕๒
ผู้พิพากษา : อร่าม แย้มสอาด - วีระศักดิ์ รุ่งรัตน์ - เฉลิมชัย ตันตยานนท์ ผู้ย่อ : นันดา สุดคนึง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง ผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เพื่อดำเนินคดีแพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล โดยได้รับความเห็นชอบจากอัยการสูงสุด จำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทมหาชนจำกัด และจัดทำโครงการก่อสร้างบ้านพักอาศัยแบบทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ 1770 ของจำเลยใช้ชื่อว่า โครงการรังสิยา รังสิต คลอง 2
จำเลยโฆษณาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ดังกล่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป ทำให้ผู้บริโภค 3 รายคือ นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ดวงเต็ม นางวันเพ็ญ สัตซ้ำ และนายสมบัติ แป๊ะอุ้ยกับนางสาวมะลิ แป๊ะอุ้ย หลงเชื่อเข้าจอง และทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับจำเลย หลังจากทำสัญญา ผู้บริโภค ทั้งสามรายชำระเงินค่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลย แต่จำเลยมิได้ดำเนินการ ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามสัญญาอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภครายอื่นว่า จำเลยกระทำผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างในโครงการรังสิยา รังสิต คลอง 2 โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลย เป็นการผิดสัญญา อันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ร้องเรียน จึงมีมติให้เจ้าหน้าที่คุ้มครอง ผู้บริโภคดำเนินคดีแพ่งกับจำเลยแทนผู้ร้องเรียน และดำเนินคดีแทนผู้บริโภครายอื่น ที่จะมาร้องเรียนด้วย ต่อมาผู้บริโภคทั้งสามรายได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อโจทก์ให้ดำเนินคดี แก่จำเลยและมอบอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคและ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยและเรียกเงินคืน เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา ภายใน 15 วัน หากไม่ปฏิบัติตามภายในกำหนดถือว่าจำเลยผิดสัญญาและให้ถือเอา หนังสือดังกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน จำนวน 214,300 บาทแก่นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ชำระเงินจำนวน 87,300 บาท แก่นางวันเพ็ญและชำระเงินจำนวน 94,900 บาท แก่นายสมบัติและนางสาวมะลิ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 17 กรกฏาคม 2540 วันที่14 ธันวาคม 2539 และวันที่ 11 มีนาคม 2541 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ไม่มีเอกสารมาแสดงว่าผู้บริโภค ทั้งสามรายมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดี จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา แต่ผู้บริโภค เป็นฝ่ายผิดสัญญาเนื่องจากชำระเงินดาวน์ไม่ครบตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 214,300 บาท แก่นางสาว บานเย็นหรือสุกัญญา ดวงเต็ม ชำระเงินจำนวน 87,300 บาท แก่นางวันเพ็ญ สัตซ้ำ และชำระเงินจำนวน 94,900 บาท แก่นายสมบัติ แป๊ะอุ้ย และนางสาวมะลิ แป๊ะอุ้ย ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินที่ต้องชำระแก่ผู้บริโภค แต่ละราย นับแต่วันที่ 4 เมษายน 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 214,300 บาท นับแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2540 แก่นางสาว บานเย็นหรือสุกัญญา ดวงเต็ม ของต้นเงิน 87,300 บาท นับแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2539 แก่นางวันเพ็ญ สัตซ้ำ ของต้นเงิน 94,900 บาท นับแต่วันที่ 11 มีนาคม 2541 แก่นายสมบัติและนางมะลิ (ที่ถูก นางสาวมะลิ) แป๊ะอุ้ย เป็นต้นไปจนกว่าจำเลย จะชำระตันเงินแต่ละรายเสร็จสิ้น โจทก์ฟ้องคดีโดยได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม ทั้งปวงจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ในส่วน ของจำเลยให้เป็นพับ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า "...คดีสำหรับนางวันเพ็ญ สัตซ้ำ นายสมบัติ แป๊ะอุ้ย และนางสาวมะลิ แป๊ะอุ้ย ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา จึงถึงที่สุดฟังเป็นยุติ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2539 (ที่ถูก พ.ศ. 2522) มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่า หากมีการ ละเมิดสิทธิต่อผู้บริโภคแล้ว โจทก์สามารถดำเนินคดีแทนผู้บริโภคได้โดยไม่ต้องมอบ อำนาจอีก อันเป็นการยกเว้นหลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 (5) ที่ระบุไว้ชัดว่า การฟ้องคดีนั้นจะต้องมีการมอบอำนาจให้ชัดแจ้งเสียก่อนก็ดี หรือฎีกาว่า นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ดวงเต็ม ทำบันทึกคำร้องเรียนและหนังสือมอบอำนาจ ที่ระบุแต่เพียงให้โจทก์มีอำนาจบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินคืนเท่านั้น ไม่มีข้อความ ตอนใดที่ให้โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีก็ดี ฟ้องโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติ คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 39 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่คณะกรรมการ เห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคหรือเมื่อได้รับคำร้องขอ จากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิ ซึ่งคณะกรรมการเห็นว่าการดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์ แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวม คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งพนักงานอัยการโดยความเห็นชอบ ของอธิบดีกรมอัยการ หรือ... เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้มีหน้าที่ดำเนินคดี แพ่งและคดีอาญาแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคในศาล และเมื่อคณะกรรมการ ได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ให้เจ้าหนี้ที่คุ้มครองผู้บริโภค มีอำนาจดำเนินคดีตามที่คณะกรรมการมอบหมายได้" ตามบทบัญญัติของมาตราดังกล่าว กำหนดไว้ชัดแจ้งในการที่โจทก์จะดำเนินคดีแก่ผู้กระทำการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ไว้สองกรณี
กรณีแรก เมื่อโจทก์เห็นสมควรเข้าดำเนินคดีเอง กรณีที่สอง เมื่อได้รับ คำร้องขอจากผู้บริโภค ทั้งนี้โดยอยู่ในเงื่อนไข่ว่า การดำเนินคดีนั้นจะเป็นประโยชน์ แก่ผู้บริโภคเป็นส่วนรวมเท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความว่า โจทก์ได้รับคำร้องเรียน จากผู้บริโภคที่ถูกละเมิดสิทธิและมีการแต่งตั้งพนักงานอัยการเป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครอง ผู้บริโภคแล้ว โดยความเห็นชอบของอธิบดีกรมอัยการในขณะนั้นให้เป็นเจ้าหน้าที่ คุ้มครองผู้บริโภคและโจทก์ได้แจ้งไปยังกระทรวงยุติธรรมเพื่อแจ้งให้ศาลทราบแล้ว ย่อมถือว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องแล้ว โดยไม่จำต้องให้ผู้บริโภคมอบอำนาจแต่อย่างใด โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่า จำเลยผิดสัญญา หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างจำเลยกับนางสาวบานเย็น หรือสุกัญญาเป็นสัญญาต่างตอบแทน และไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระหนี้กันไว้ เมื่อนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญายังชำระเงินดาวน์ไม่ครบถ้วน จำเลยย่อมมีสิทธิ ชะลอการก่อสร้างไว้ได้ จะถือว่าจำเลยผิดนัดยังไม่ได้นั้น เห็นว่า สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาต่างตอบแทนที่จำเลยและนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาจะต้องปฏิบัติการ ชำระหนี้ให้แก่กันและกัน เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ผ่อนชำระให้จำเลยแล้วเป็นเงิน 214,300 บาท อันเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ให้แก่ จำเลยไปแล้ว จำเลยก็ต้องทำการชำระหนี้ตอบแทนตามที่จะพึงต้องทำภายในเวลา อันสมควร อันได้แก่การต้องลงมือก่อสร้างบ้านตามที่ตกลงไว้ในสัญญา เมื่อข้อเท็จจริง ได้ความว่า จำเลยยังไม่ได้ลงมือก่อสร้างบ้าน เช่นนี้ถือว่า จำเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ เป็นการตอบแทน จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญา ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์มี หนังสือบอกกล่าวให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ซึ่งไม่เพียงพอที่จำเลยจะปฏิบัติตามสัญญาได้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว หรือฎีกาว่า หนังสือดังกล่าวบอกเลิกสัญญาโดยไม่ระบุข้อความว่า นางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา พร้อมที่จะชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือหากจำเลยก่อสร้างบ้านเสร็จและโอนให้นางสาว บานเย็นหรือสุกัญญาได้ ทำให้จำเลยไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงว่านางสาวบานเย็น หรือสุกัญญาต้องการบ้านหรือไม่ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญายอมชำระเงินให้จำเลยอันเป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ ต่อจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ได้ลงมือก่อสร้างบ้านเป็นการตอบแทนเช่นนี้จำเลยย่อม ตกเป็นผู้ผิดนัดผิดสัญญาตั้งแต่นั้นมา จึงไม่ต้องคำนึงว่าระยะเวลา 15 วัน ที่กำหนด ไว้ในหนังสือดังกล่าวเป็นเวลาพอสมควรหรือไม่ ส่วนที่หนังสือบอกเลิกสัญญา ไม่ระบุข้อความว่านางสาวบานเย็นหรือสุกัญญาพร้อมที่จะชำระเงินดาวน์ส่วนที่เหลือ ก็ไม่ทำให้หนังสือบอกเลิกสัญญาไม่ชอบแต่อย่างใด เพราะข้อความดังกล่าวไม่ใช่ สาระสำคัญของการบอกเลิกสัญญา หนังสือบอกเลิกสัญญาชอบแล้ว จำเลยต้องรับผิด ชดใช้เงินคืนนางสาวบานเย็นหรือสุกัญญา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกา เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
แก้ไขเมื่อ 14 ก.ย. 55 23:42:32
จากคุณ |
:
กุ้งบก
|
เขียนเมื่อ |
:
14 ก.ย. 55 23:31:12
|
|
|
|
 |