ความคิดเห็นที่ 1 น่าจะแจ้งความให้มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหน่อยนะค่ะ จากคุณ : nunom - [ 22 พ.ย. 47 09:37:03 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าเตือนกันโดยการพูดกันด้วยปาก ก็คงไม่มีความหมายอะไร ซึ่งการครอบครองปรปักษ์ก็ยังทำได้อยู่ ซึ่งเคยอ่านจากคำพิพากษา ที่ว่าแค่ด่าว่าหน้าด้านก็ไม่เป็นการทำให้การครองครองไม่สงบ แต่ทั้งนี้ต้องดูเรื่องราวอื่นประกอบด้วยครับ เช่น เป็นที่ดินของใคร ถ้าเป็นของตนเองอยู่แล้วแต่ใช้ชื่อคนอื่นก็ครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ ที่ดินติดจำนอง ภาระจำนองก็ติดไปด้วย ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ก็ครอ่บครองปรปักษ์ไม่ได้ ครอบครองโดยใช้สิทธิเจ้าของ เช่น เขาอนุญาตให้อยู่ เช่า ก็ไม่ได้ ครอบครองแบบไม่แสดงความเป็นเจ้าของ ก็ไม่ได้ รายละเอียดเยอะครับ น่าจะลองหาคำพิพากษาศาลฏีกาดูนะครับ จากคุณ : นายส่งเดช - [ 22 พ.ย. 47 10:10:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อันนี้ลอกเก็บไว้จากห้องราชดำเนินเพื่อไว้เป็นความรู้ทางด้านกฎหมาย แต่ตอนลอกมาก็ไม่ได้จดชื่อคนโพสไว้ด้วย ต้องขอโทษด้วยค่ะ... การครอบครองปรปักษ์มีได้ทั้งในอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ แต่ในที่นี้เราจะพูดถึงแต่เพียงอสังหาฯ (ที่ดิน) ซึ่งเงื่อนไขในการเข้าครอบครองปรปักษ์คือ ต้องเป็นการเข้าไปครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผยและมีเจตนาเป็นเจ้าของ เกิน 10 ปี ทั้งสี่ประการ และจะต้องกระทำต่อที่ดินของผู้อื่นด้วย(ไม่มีปรปักษ์ต่อที่ดินของตนเอง) เมื่อครบสิบปีแล้วย่อมได้ปรปักษ์เหนือที่ดินของเจ้าของที่ดินแต่สิทธิดังกล่าวใช้ยันได้แค่เจ้าของที่ดินเดิมเท่านั้น หากมีการขายที่ดินต่อไปโดยผู้ซื้อสุจริตเสียและค่าตอบแทนแล้วปรปักษ์ไม่อาจใช้ยันผู้รับโอนได้ (อันนี้เจ้าของกระทู้ดูให้ดีนะเอาไปใช้ได้) เว้นแต่ว่าผู้ครอบครองปรปักษ์จะได้ไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์เหนือที่ดินนั้นและศาลพิพากษาให้ที่ดินเป็นของผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงสามารถเอาคำสั่งศาลไปขอออกเอกสารสิทธิได้ ซึ่งจะมีผลให้แม้เจ้าของที่เดิมขายไปก็เป็นการขายโดยไม่มีสิทธิแล้วในตอนนี้(หากขายกันหลังศาลพิพากษา) ดังนั้น การร้องต่อศาลจึงต้องร้องหลังครอบครองครบ 10 ปี การเข้าครอบครองปรปักษ์ต้องเข้าโดย สงบ(เข้าไปอยู่อาศัยโดยที่ไม่ได้พังรั้ว ไล่เจ้าของเดิมออกไป) เปิดเผย (ไม่ได้อยู่แบบหลบๆซ่อนๆปลูกต้นไม้พรางตาไม่ให้ใครเห็นว่ามาอยู่) และมีเจตนาเป็นเจ้าของ (มีเจตนาที่จะเอาที่ดินนั้นเป็นของตนเองไม่ได้อาศัยสิทธิใคร หรือ อยู่แทนใคร) การเสียภาษีที่ดินเป็นคนละเรื่องกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดิน แม้คุณจะเสียภาษีทุกปีคุณก็ถูกครอบครองปรปักษ์ได้ เมื่อได้ปรปักษ์แล้วก็มีผลทันทีเป็นผลตามกฎหมายแต่จะใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ต้องทำแบบที่กล่าว(ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์) ทางแก้เมื่อมีผู้เข้ามาอยู่ในที่ของเรา(หากยังไม่ครบ 10 ปี) คือ ฟ้องขับไล่ แจ้งความข้อหาบุกรุก บอกกล่าวให้ออกไปหรือไม่ก็ให้จ่ายค่าเช่า (แต่ไม่ค่อยดีเพราะตามกฎหมายเรื่องเช่า ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่เช่า และบ่อยครั้งที่ผู้เช่าไม่ยอมจ่ายค่าเช่าแล้วบอกว่าต่อไปจะไม่จ่าย นั่นนับเป็นจุดเริ่มแห่งการนับเวลา 10 ปี ผู้ให้เช่าก็ต้องไปฟ้องขับไล่)หากครบ 10 ปีแล้วก็ต้องทำการขายอย่างที่ว่า หากระหว่างยังไม่ครบ 10 ปีเจ้าของที่มาพบว่ามีคนมาอยู่ในที่ตนแล้วทำการไล่ ดังนี้ระยะเวลา 10 ปีต้องเริ่มนับใหม่ การนำผู้อื่นเข้ามาอยู่อาศัยโดยเจ้าของที่เองนั้นถือว่าเป็นการใช้สิทธิอาศัยครับไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ แต่หากผู้อาศัยเปลี่ยนแปลงเจตนาเป็นยึดถือเพื่อตน ไม่ขออาศัยอีกต่อไปก็จะเริ่มนับระยะเวลา 10 ปีทันทีตั้งแต่แจ้งให้ผู้ให้อาศัยทราบเจตนานั้นไม่ว่าโดยทางใด หากศาลพิพากษาให้ผู้ครอบครองปรปักษ์ชนะคดีเขาก็ได้ที่ดินแน่ โดยคุณจะต้องไปจดทะเบียนโอนที่ให้แก่เขา โดยที่จะเรียกร้องอะไรไม่ได้เลย หากคุณไม่ยอมไปโอน เขาก็สามารถถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ไปยื่นขอจดทะเบียนโอนได้เอง การครอบครองปรปักษ์ จะมีได้เฉพาะที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เท่านั้น นั้นก็คือที่ดินที่มีโฉนดนั้นเอง ส่วน ที่ดินมือเปล่า สค.1 นส3 หรือ นส3 ก. ฯลฯ ได้แต่แย่งการครอบครองเท่านั้น (กรณีแย่งจากผู้ครอบครองเดิม) ซึ่งอายุความก็ต่างกัน ที่ดินมีโฉนดต้องใช้เวลาถึง 10 ปี คือคุณต้องเข้าครอบครองปรปักษ์ติดต่อกัน และโดยเปิดเผย ส่วน อย่างหลัง ( สค1 นส3 นส3 ก. ที่ดินมือเปล่า ) คุณเข้าครอบครอง แค่ 1 ปี ก็ถือเป็นการแย่งการครอบครองแล้ว.. รายละเอียดว่าใครจะมีสิทธิ์ดีกว่ากันนั้น ต้องไปพิสูจน์กันในศาลเถียงกันตรงนี้ไม่ได้อะไร จากคุณ : terri - [ 22 พ.ย. 47 12:39:23 ]