ความคิดเห็นที่ 11
ต้องเข้าใจคำว่า Hi end นิดนึงนะครับ
ยี่ห้อ Hi end หมายถึง ยี่ห้อที่ผลิตเครื่องเสียงระดับ Hi end แต่ยี่ห้อเหล่านี้ -มีทั้งผลิตเครื่องเสียงระดับ Hi end เพียงอย่างเดียว แน่นอนครับ ราคาก็ Hi end ด้วย เช่น Amp ตัวละ แสนบาท เป็นต้น เช่น Mcintosh Accuphase Lexicon
-และบี่ห้อผลิตเครื่องระดับล่าง ปานกลาง ไปจนถึงระดับบน ราคาก็ตั้งแต่ประมาณ 10000 บาทไปจนหลักแสนบาท ยี่ห้อเหล่านี้จะค่อนข้างคุ้นหูอยู่ซักหน่อย เช่น Marantz Yamaha HarmanKardon Onkyo Sherwood Nad Denon เป็นต้น
ซึ่งแต่ละตัวก็จะมีแนวเสียงเป็นของตนเองแตกต่างกันไป ส่วนจะ Hi end ไม่ Hi end ผมว่าอันนี้ไม่ต้องไปสนใจ เอาแค่คุณภาพดี ฟังแล้วเสียงถูกใจก็ถือว่าไม่เสียดายเงินแล้ว
แต่แน่นอนว่า Amp ราคาตัวละ 20,000 บ.กับ Amp ราคาตัวละ 100,000 บ. Amp ตัวหลังย่อมดีกว่าเป็นธรรมดา(แต่จะดีกว่ามากหรือน้อยเท่านั้น)
ส่วนข้างล่างนี่ copy มาให้อ่านครับ
"คำว่า AV-Reciever มากจากไหน
ปรีแอมปริไฟเออร์ (Pre-Amplifier) ปรีแอมปริไฟเออร์ (Pre-Amplifier) หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าคอนโทรลแอมปริไฟเออร์ (Control Amplifier) คืออุปกรณ์ขยายเสียงซึ่งจะรับสัญญาณที่ส่งออกมาจากเครื่องเล่นต่างๆ เช่นเครื่องเล่นเทป, เครื่องเล่นซีดี, เครื่องรับวิทยุ ฯลฯ โดยจะปรับขยายสัญญาณเหล่านี้ให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนที่จะส่งต่อไปให้กับส่วนพาวเวอร์แอมปริไฟเออร์ (Power Amplifier) ต่อไป
โดยพื้นฐานนั้นเครื่องปรีแอมป์ฯ จะมีแป้นสำหรับใช้ปรับระดับความดังเสียง (Volume), แป้นสำหรับปรับสมดุลเสียงซ้าย-ขวา (Balance), แป้นสำหรับเลือกฟังสัญญาณจากเครื่องเล่นต่างๆ ที่นำมาต่อ (Selector) นอกจากนี้ก็อาจมีแป้นสำหรับใช้ปรับแต่งโทนเสียง (Equalization) เช่นแป้นสำหรับเพิ่ม-ลดระดับสัดส่วนความดังของเสียงทุ้ม-แหลมหรือที่เรียกกว่าลาวด์เนส (Loudness), แป้นปรับเสียงทุ้ม (Bass) และแป้นปรับเสียงแหลม (Treble)
พาวเวอร์แอมปริไฟเออร์ (Power Amplifier) พาวเวอร์แอมปริไฟเออร์ (Power Amplifier) หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าเมนแอมปริไฟเออร์ (Main Amplifier) คืออุปกรณ์ขยายเสียงที่จะรับสัญญาณต่อจากปรีแอมป์ฯ และขยายกำลังให้อยู่ในระดับที่สูงพอจะขับหรือผลักดันดอกลำโพง (Speaker Driver) ให้เกิดเป็นเสียงดังออกมา
โดยทั่วไปนั้นเครื่องพาวเวอร์แอมป์ฯ จะมีเพียงแป้นเปิด-ปิด (Power) เพียงแป้นเดียว และสำหรับในบางเครื่องก็อาจมีแป้นสำหรับใช้ปรับระดับความแรงของสัญญาณขาเข้า (Input Gain) นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายอาจติดตั้งมาตรวัดสัญญาณขยาย (Meter) ในแบบต่างๆ เช่นแบบเข็มหรือแบบแสง (Spectrum)
ผู้ใช้งานจะใช้สายสัญญาณสำหรับต่อระหว่างปรีแอมป์ฯ กับพาวเวอร์แอมป์ฯ และใช้สายลำโพงสำหรับต่อระหว่างพาวเวอร์แอมป์ฯ กับตัวลำโพง
อินทิเกรทเทดแอมปริไฟเออร์(Integrated Amplifier) คือเครื่องขยายเสียงที่ รวมเอาทั้งส่วนของวงจรภาคปรีแอมป์ฯ และพาวเวอร์แอมป์ฯ เข้าไว้ภายในตัวถังเครื่องเดียวกัน (ปกติจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับปรีแอมป์ฯ แต่มักจะมีขนาดของตัวถังที่หนากว่า) โดยผู้ใช้สามารถนำไปต่อใช้งานกับลำโพงได้โดยตรง (ตามปกติจะมี 2 ช่องเสียงซ้ายและขวา) ซึ่งจะสะดวกกว่ากรณีใช้เครื่องขยายเสียงแบบแยกปรีแอมป์ฯ และพาวเวอร์แอมป์ฯ
อย่างไรก็ดี ตามปกตินั้นเครื่องเสียงยี่ห้อ (Brand) หนึ่งๆ มักจะผลิตเครื่องขยายเสียงชนิดอินทิเกรทฯ ในรุ่นระดับเริ่มต้นและสำหรับในรุ่นที่เน้นคุณภาพสูงขึ้นไปโดยเฉพาะรุ่นใหญ่ๆ ก็มักจะผลิตแยกออกเป็นเครื่องปรีแอมป์ฯ และพาวเวอร์แอมป์ฯ
จูนเนอร์ (Tuner) คืออุปกรณ์เครื่องเสียงสำหรับใช้รับสัญญาณจากระบบวิทยุกระจาย เสียง เช่น FM/AM และสำหรับในบางรุ่นนั้นจะมีระบบรับสัญญาณกระจายเสียงแบบดิจิตอลด้วย (World Space)
รีซีเฝอร์ (Receiver) คือเครื่องขยายเสียงชนิดอินทิเกรทฯ (Integrated Amplifier) ที่มีส่วนของวงจรภาครับวิทยุ (Tuner) ติดตั้งมาพร้อมกันด้วย
เอวี-แอมปริไฟเออร์ (AV-Amplifier)
คือเครื่องอินทิเกรทฯ (Integrated Amplifier) ที่มีส่วนของวงจรเซอร์ราวด์โปรเซสเซอร์ (Surround Processor) ติดตั้งมาพร้อมกันด้วย โดยจะมีจำนวนช่องเสียง (Channel) ในส่วนของภาคพาวเวอร์แอมป์ฯ ติดตั้งมาให้ตามจำนวนช่องเสียงที่ได้จากการประมวลของวงจรเซอร์ราวด์โปรเซสเซอร์ เช่น DTS 5.1 ช่องเสียง
เอวี-รีซีเฝอร์ (AV-Receiver) คือเครื่องเอวี-แอมป์ฯ (AV-Amplifier) ที่มีส่วนของวงจรภาครับวิทยุ (Tuner) ติดตั้งมาพร้อมกันด้วย "
จากคุณ :
Purity
- [
3 พ.ค. 48 12:40:35
]
|
|
|