 |
ความคิดเห็นที่ 736 |
ขอวิเคราะห์ข้อเท็จจริงกลาง ๆ นะครับ ถ้าจะฟ้องหมิ่นประมาทกัน Joy ก็จะกล่าวหาว่าคุณพูดจาดูถูกดูหมิ่น ทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงอันได้แก่
ข้อที่ 1 Joy "เนื่องจากบริษัทได้ชี้แจงการดำเนินการต่างๆ ให้คุณ Sonnie ทราบเป็นระยะๆ อยู่แล้ว" sonnie "ตรงไหนคะที่คุณบอกชี้แจงให้ทราบเป็นระยะ ๆ ดิฉันได้รับการติดต่อกลับจากสปา..." - ตามหลักกฎหมายฝ่ายที่อ้างข้อเท็จจริงหรือเหตุการณ์ขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้นนั้นมีหน้าที่จะต้องทำให้ศาลซึ่งเป็นคนกลางได้ทราบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ๆ หรือที่เรียกว่าต้องเป็นฝ่าย "นำสืบ" ข้อเท็จจริง ดังนั้นฝ่าย Joy ต้องหาหลักฐานว่าได้ "ได้ชี้แจงการดำเนินการต่างๆ ให้คุณ Sonnie ทราบเป็นระยะๆ อยู่แล้ว" จึงจะสามารถกล่าวหาว่าคุณ Sonnie กล่าวเท็จได้ หลักฐานดังกล่าวได้แก่บันทึกการโทรเข้าหมายเลขโทรศัพท์มือถือของคุณ Sonnie หากมีการติดต่อเป็นระยะ ๆ จริงตามที่กล่าวอ้างย่อมมีหมายเลขโทรศัพท์ของทาง Joy ในปริมาณที่พอสมควรเช่นกัน ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ปัจจุบันยังไม่แน่ชัด เนื่องจากสองฝ่ายพูดขัดแย้งกันอยู่และยังไม่มีหลักฐานอื่นประกอบ แต่บันทึกการโทรเข้านั้นจัดเก็บอยู่ที่บริษัทโทรศัพท์ซึ่งเป็นคนกลาง ยากที่จะมีการบิดเบือนได้ หากมีการดำเนินคดีจริง ประเด็นนี้น่าจะชี้ชัดได้ไม่ยาก
ข้อที่ 2 Joy "บริษัทจำเป็นต้องยืนยันว่า ลูกจ้างคนดังกล่าวมิได้มีพฤติกรรม การกระทำใดๆ ดังที่คุณ Sonnie กล่าวอ้างมา" sonnie "หมายถึงว่าเค้าไม่ได้พูดเฮี้ย +มรึงกรู+ เขวี้ยงของ(สองรอบ) +บอกให้มาตบกันมั้ย นั่นหรือคะ" - เหตุการณ์นี้มีพยาน (พนักงาน Joy และคุณ sonnie) และหลักฐาน (บันทึกภาพวีดิโอกล้องวงจรปิด) ซึ่งที่ชัดเจนคือบันทึกของกล้องวงจรปิด (เพราะมันโกหกไม่ได้เหมือนคน) หากนำมาเปิดพิสูจน์ก็จะสามารถทราบภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเกิดเหตุได้ ซึ่งการตัดต่อภาพวีดิโอนั้นสามารถทำได้จริง แต่ผู้เชี่ยวชาญทางสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการตัดต่อหรือบิดเบือนหรือไม่ (กรณีคล้าย ๆ case เสียงนายก) ซึ่งหากภาพวีดิโอที่นำมาเป็นหลักฐานนั้นมีร่องรอยการตัดต่อ ทางฝ่าย Joy ก็จะมีความผิดทางอาญา ส่วนพยานทั้งหลายนั้น ตามกฎหมายไทยต้องมีการสาบานตนก่อนที่จะให้ถ้อยคำต่อศาล มีข้อความว่า "ข้าพเจ้าขอสาบานตนต่อพระแก้วมรกต เจ้าพ่อหลักเมือง พระสยาม เทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าจะเบิกความต่อศาลด้วยความสัตย์จริงทั้งสิ้น หากข้าพเจ้าเอาความเท็จมากล่าวแม้แต่น้อย ขอภยันตายและความวิบัติทั้งปวงจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าและครอบครัวโดยพลัน หากข้าพเจ้ากล่าวความจริงต่อศาล ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวจงประสบแต่ความสุขความเจริญ" ซึ่งหากพยานทั้งหลายไม่เกรงกลัว กล้าเบิกความเท็จต่อศาล นอกจากจะผิดคำสาบานแล้วยังมีความผิดอาญาอีกด้วย ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ปัจจุบันยังไม่แน่ชัด เนื่องจากสองฝ่ายพูดขัดแย้งกันอยู่และยังไม่มีหลักฐานอื่นประกอบ ส่วนหลักฐานกล้องวงจรปิดนั้นน่าจะทำการตรวจสอบได้ เพราะทางฝ่าย Joy ได้อ้างมาว่า "จากการตรวจสอบของคณะกรรมการจากพยานบุคคลและภาพบันทึกเหตุการณ์ที่กล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพขณะเกิดเหตุการณ์พบว่า..." แสดงว่าฝ่าย Joy ยอมรับด้วยตนเองว่ามีกล้องวงจรปิด และกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์นั้นได้ (ปิดปากตัวเองที่จะอ้างว่ากล้องเสีย , บันทึกภาพไม่ได้) แต่ขัดแย้งกันที่ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นหากนำภาพที่บันทึกไว้มาเปิดดูก็จะสามารถพิจารณาได้ว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร หากมีการตัดต่อก็สามารถให้ผู้เชี่ยวชาญทำการพิสูจน์ได้ หรือหากทางฝ่าย Joy อ้างว่าภาพวีดิโอสูญหาย ข้ออ้างของฝ่าย Joy ก็จะหมดน้ำหนักทันที
ข้อที่ 3 Joy "ได้ ทำการขอโทษคุณ Sonnie แล้วจากทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับพนักงาน ผู้ช่วยผู้จัดการ ผู้จัดการ และผู้บริหาร หลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นในทันที" sonnie "พนง.B ขอโทษ ดิฉันตอนไหนคะ คำสุดท้ายที่ได้ยินคือ มรึมาตบกะกรูมั้ย ค่ะ" - ข้อเท็จจริงนี้ฝ่าย Joy อ้างขึ้นมาลอย ๆ ไม่มีหลักฐาน และฝ่าย sonnie ปฏิเสธ จึงยังไม่สามารถเชื่อได้ว่าเป็นความจริง
ข้อสังเกต - จดหมายฉบับดังกล่าวไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างคุณ sonnie กับ A แต่อย่างใด อาจจะเป็นเพราะเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีการบันทึกการสนทนาไว้ เป็นเรื่องที่รู้กันสองคน ไม่มีพยาน , หลักฐาน จึงไม่อาจรับฟังได้ แต่ได้ยอมรับข้อเท็จจริงที่คุณ sonnie กล่าวอ้างเรื่องเวลาการจอง 1 ชั่วโมงกับ 30 นาที มีความสอดคล้องกัน ทำให้เชื่อได้ว่าคุณ sonnie โทรศัพท์ไปจริง แต่ A จะท้าคุณ sonnie จริงหรือไม่ ไม่สามารถสรุปได้
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว การที่ฝ่าย Joy จะฟ้องคุณ sonnie แล้วชนะจึงมีโอกาสน้อย แต่ในทางกลับกันการที่คุณ sonnie กล่าวหาว่าฝ่าย Joy กระทำการดังกล่าว (A โทรศัพท์ , B ตะกวด - ขว้าง - ท้าตบ และเหตุการอื่น ๆ หลังจากนั้น) ปัจจุบันก็ยังไม่มีหลักฐานและพยานยืนยันเช่นกัน มีพยานเพียงคุณ sonnie อยู่คนเดียว ส่วนหลักฐานและพยานอื่น ๆ ต่างอยู่ฝ่าย Joy ซึ่งอาจจะมีการบิดเบือน , ซักซ้อมให้พูดทำนองเดียวกันได้ ซึ่งในจุดนี้ต้องใช้ฝีมือทนายความในการซักถามหาความจริงออกมา ว่าจริง ๆ แล้ว เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
สุดท้าย [ความเห็นส่วนตัวของผมเอง] (อาจจะไม่เป็นกลางนะครับ) แต่เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดรวม ๆ จากทั้งสองฝ่ายแล้ว เรื่องราวที่คุณ sonnie เล่ามีความสอดคล้องในข้อเท็จจริงมาโดยตลอดตั้งแต่เริ่มต้น , สามารถอธิบายได้โดยรายละเอียดและไม่พบความขัดแย้งในเรื่องราวดังกล่าว จึงน่าเชื่อว่าคุณ sonnie น่าจะอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าวจริง ต่างกับทาง Joy ที่พบข้อพิรุธในจดหมายตามที่ความคิดเห็นอื่น ๆ ได้ชี้แจงมาแล้ว และการกล่าวว่า "ซึ่งคุณ Sonnie โชคดีที่เป็นเภสัชกร อันเป็นวิชาชีพที่ไม่ต้องมีนายจ้างคอยอบรมตักเตือน หรือบางครั้งใช้อารมณ์ไม่เป็นธรรมกับลูกจ้าง" พิจารณาแล้วน่าจะเข้าข่ายการหมิ่นประมาทด้วยเช่นกันเพราะเป็นการทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ว่าคุณ sonnie ไม่มีผู้อบรมสั่งสอนและใช้อารมณ์ไม่เป็นธรรมกับลูกจ้าง ซึ่งไม่ปรากฏหลักฐานและที่มาแต่อย่างใด เป็นการกล่าวหาทำให้คุณ sonnie , นายจ้างของคุณ sonnie และเภสัชกรคนอื่น ๆ ถูกดูถูกเกลียดชัง
แต่ข้อเท็จจริงอื่น ๆ ก็ยังชี้ชัดไม่ได้ดังที่ได้เรียนไว้ในข้างต้น
ผมเห็นว่าเรื่องใครผิดใครถูกใครพูดจริงพูดเท็จ อย่าไปพูดถึงเลยครับ ปวดหัวเปล่า ๆ ทางที่ดีทาง Joy ซึ่งเป็นผู้ประกอบการนั้น ติดต่อทางคุณ sonnie ซะ พูดคุยกันให้รู้เรื่องว่าจะตกลงกันอย่างไร เพราะคดีผู้บริโภคนี่ ผู้ประกอบการเสียเปรียบก่อนนะครับ แล้วความเสียหายมันไม่ได้เป็นตัวเงินครับ มันเป็นคุณค่าทางจิตใจ มันสามารถจบกันได้ด้วยการชดเชยทางจิตใจครับ ส่วนวิธีการถ้าฝ่าย Joy ไม่รู้จะเสนออย่างไรก็ติดต่อสอบถามคุณ sonnie สิครับ และขอให้ทำอย่างจริงใจ ไม่ใช่จิงโจ้กระโดดไปกระโดดมา แล้วก็เรื่องขู่จะฟ้องหมิ่นประมาทเนี่ย เลิกเอามาหลอกเด็กเถอะครับโต ๆ กันแล้ว คุยกันดี ๆ ก็ได้ เรื่องนี้จะจบง่ายมากเลยครับถ้าทั้งสองฝ่ายได้มีโอกาสพูดคุยกันอย่างเปิดอก ง่ายกว่าไปร้องเรียน สคบ. หรือไปฟ้องศาลอีกครับ สคบ. กับศาลนั้นเอาไว้กรณีที่พูดจากันไม่รู้เรื่องแล้วแหละครับ ถึงไปทั้งสองที่นั่นเมื่อพิจารณาเรื่องแล้ว ก็คงจะไกล่เกลี่ยให้เจรจากันอยู่ดีแหละครับ ฝ่ายผู้ประกอบการมาแสดงน้ำใจให้เห็นโดยการเชิญลูกค้าเข้าไปคุย คุยกันจริง ๆ เอาเรื่องจริง ๆ มาคุย ไม่ต้องมาเล่นแง่กฎหมาย ไม่ต้องมาขู่จะฟ้อง ปิดห้องคุยกันไปเลย เอาคนที่อยู่ในเหตุการณ์มาให้หมด จะตกลงกันอย่างไรให้รู้กันแค่คนให้ห้อง จะขอโทษ จะชดใช้ อะไรยังไงก็ทำกันเงียบ ๆ แล้วก็ลบกระทู้นี้ไปเงียบ ๆ ก็ได้ครับ ถ้าไม่ต้องการให้เสียชื่อเสียง แล้วถ้ากลัวจะเอาไปฟ้องกันทีหลังก็ทำบันทึกไว้ก็ได้ครับว่าจะไม่ดำเนินคดีอะไรกันอีก ลองปรึกษาทนายบริษัทดูแล้วกันนะครับ ว่าแบบไหนจะจบสวยกว่ากัน
ขอให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากันคุยกันดี ๆ และจบเรื่องได้ดี ๆ ครับ
จากคุณ |
:
หันหน้าเข้าหากัน (Windforce)
|
เขียนเมื่อ |
:
20 ก.ย. 52 22:26:44
|
|
|
|
 |