Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คนตัวเล็ก (วารสารรายปี ฉากชีวิต ๑/๒๕๔๒)  

วารสารรายปี ฉากชีวิต ๑/๒๕๔๒

เรื่องสั้นชุดฉากชีวิต

คนตัวเล็ก

"เพทาย"

ครอบครัวของผมส่วนใหญ่เป็นครู ทั้งพ่อและแม่ ตลอดจนถึงน้องสาว มีแต่ผมเท่านั้นที่อยากจะเป็นทหาร อาจจะเป็นเพราะเมื่ออยู่ชั้นมัธยมปีที่ ๔ ได้เป็นยุวชนทหาร และได้รับการปลุกใจให้รักชาติ เสียสละเพื่อชาติ ในระยะที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ กำลังเข้มข้น ต้องฝึกวิชาทหารที่ลานวัดหลังโบสถ์ ทุกเย็นตลอดทั้งปี

สมัยนั้นนักเรียนชั้นมัธยมปลายจะต้องเป็นยุวชนทหารหมดทั้งชั้นไม่มีสิทธิ์เลือก เพื่อนร่วมชั้นของผมคนหนึ่งชื่อนายเค้ง มีท่าทางจะเป็นกะเทยยังต้องฝึก ยุคนั้นยังไม่มีใครรู้จักคำว่าตุ๊ด จนได้เลื่อนขึ้นเป็นยุวชนทหารชั้น ๒ โรงเรียนปิดจึงเลิกเรียนเลิก ฝึกแล้วแยกย้ายกันไป เมื่อสิ้นสงครามกลับมาเรียนใหม่ ก็ไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนคนนี้อีกเลย

เมื่อเกิดสงครามเกาหลี เพื่อนร่วมงานที่กรมพาหนะทหารบกหลายคนได้สมัครไปราชการสงครามครั้งนี้ ติดต่อกัน ๒ - ๓ ผลัด ผมซึ่งอายุครบเกณฑ์ทหารพอดี จึงไม่รอช้า รีบสมัครเป็นทหารราบโดยไม่ต้องจับฉลากใบดำใบแดง หวังจะได้ไปรบกับเขาบ้าง แต่บังเอิญทางราชการขาดแคลนงบประมาณ ต้องแบ่งทหารออกเป็นหลายผลัด ขึ้นทะเบียนทหารเสร็จแล้วให้ลากลับบ้านก่อน อีก ๓ เดือนจึงจะมารายงานตัว แล้วก็คัด เอาไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็มารายงานตัวทุก ๓ เดือน ผมต้องไปรายงานตัวเป็นครั้งที่ ๔ จึงได้เข้ารับราชการในปีถัดไป ซึ่งสงครามเกาหลีได้สงบลงไปตั้งนานแล้ว

เมื่อไปรายงานตัวครั้งสุดท้าย นายผีเพื่อนรักของผมถูกแบ่งให้ไปสังกัด กรมทหารราบที่ ๑๑ บางเขน ส่วนผมได้อยู่ กองร้อยกองบัญชาการ กองทัพภาคที่ ๑ ซึ่งผมไม่เคยรู้เลยว่าหน่วยนี้ตั้งอยู่ที่ไหน การแยกหน่วยนี้กระทำกันใน กองพลที่ ๑ ซึ่งยังไม่ได้เป็นหน่วยทหารรักษาพระองค์ เมื่อรู้ว่าอยู่หน่วยไหนแล้ว เขาก็ปล่อยให้รออยู่ภายใน บริเวณนั้น จนกว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยจะมาเรียกชื่อ ขึ้นรถไปเป็นขบวน ผมก็เลยแวะ
เข้าไปนั่งในร้านค้า สั่งโอเลี้ยงมาดูดเล่นรอเวลาเข้ากรมกอง ด้วยความเหงาที่ต้องแยกกับเพื่อน

ผมนั่งรออยู่ตั้งแต่บ่ายจนเย็นเกือบค่ำก็ไม่มีใครมาเรียกชื่อผมสักที เห็นเขาพากันขึ้นรถบรรทุกไปขบวนแล้วขบวนเล่า จนผู้คนบางตาลงเป็นอันมากแล้วเห็นมีชายฉกรรจ์ยืนเข้าแถวอยู่ ๖ - ๗ คน จึงเดินเข้าไปถามผู้หมู่แง่งเดียวร่างเล็กที่ยืนอยู่ใกล้ ว่าจะไปหน่วยไหนกัน เขาก็ถามว่าลื้ออยู่หน่วยไหน ผมก็บอกว่าอยู่ ร้อย.บก.ทภ.๑ เมื่อเขาถามชื่อแล้วผมบอกให้ เขากลับตวาดเอาว่า

" ไอ้ห่ะ...ลื้อไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาวะ "

ผมก็บอกไปตามจริงว่าผมนั่งรออยู่ที่ร้านนี้ตั้งแต่บ่ายไม่เห็นมีใครขานชื่อผมเลย ผู้หมู่ทำท่าเหมือนอยากจะตุ๊ยท้องผม พร้อมกับอุทานเป็นคำที่ใช้ด่าอย่างเคยปาก

" ลื้ออยู่อำเภอดุสิตใช่มั้ย นี่เขาเรียกมาจนถึงอำเภอพระโขนง เป็นอำเภอสุดท้าย ไม่ถูกจำหน่ายว่าหนีทหารก็บุญแล้ว ไปเข้าแถว "

แล้วเขาก็สั่งให้เดินแถวออกจากกองพลที่ ๑ เลี้ยวไปตามถนน ถึงหน้าวังสวนกุหลาบ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปในบริเวณที่มีตึกสีเหลือง ตั้งเด่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นโรงเรียนราชวินิตนั่นเอง ผมจึงได้เข้าใจเรื่องว่า ผมมัวแต่รอจะขึ้นรถบรรทุกเช่นเดียวกับหน่วยอื่น ๆ ที่เขามารับทหารใหม่ แต่หน่วยนี้อยู่ใกล้นิดเดียว และเป็นหน่วยเล็กมาก ได้รับแบ่งทหารอำเภอละไม่กี่คน เขาก็ให้เข้าแถวเดินไป ผมจึงไม่ได้สังเกต เพิ่งจะเห็นเมื่อถึงอำเภอสุดท้ายนี่เอง เวรกรรมแท้ ๆ เกือบถูกหาว่าหนีทหารเสียแล้วทั้ง ๆ ที่อยากจะเป็นแทบแย่

กองร้อยนี้เล็กจริง ๆ มีทหารอยู่สามหมวด คือหมวดปืนเล็กที่ผมมาอยู่ กับหมวดสูทกรรม มีหน้าที่หุงข้าวเลี้ยงทหาร แล้วก็หมวดเสนารักษ์ ผู้บังคับกองร้อยเป็น ร้อยโท แต่ไปเข้าโรงเรียนอะไรก็ไม่รู้ ผู้บังคับหมวดเป็นร้อยตรีเลื่อนจากจ่า ตัวเล็กนิดเดียวแต่ดุชมัด ทำหน้าที่แทนผู้บังคับกองร้อยด้วย แล้วก็มีจ่ากองร้อยรูปร่างล่ำสันคนหนึ่ง กับผู้บังคับหมู่ยศสิบโทอีกคนหนึ่ง และหมู่ที่ไปรับผมมา ส่วนหมวดอื่นผมไม่ค่อยได้เห็นหน้า

เมื่อได้รับแจกเครื่องนอนคือมุ้งกับหมอนและผ้าห่ม กับเครื่องแต่งกาย มีหมวกหนีบและกางเกงขาสั้นสีกากี เสื้อคอกลมผ้าดิบ ผ้าพันแข้งรูปสามเหลี่ยม รองเท้า หุ้มข้อ ถุงเท้า และผ้าขาวม้าแล้ว รุ่งขึ้นก็แต่งตัวชุดนั้นเข้าแถว ตั้งแต่เสียงนกหวีดปลุกเวลาตีห้า ยังพันแข้งไม่เป็น หมู่ก็ให้เอาคาดเอวไว้ก่อน แล้วก็วิ่งออกกำลังไปตามถนน จากหน้ากองร้อย จนถึงพระบรมรูปทรงม้า วนหนึ่งรอบแล้วนึกว่าจะเลิก กลับวิ่งไปตาม ถนนพิษณุโลก ผ่านสนามม้านางเลิ้ง เข้าถนนเพชรบุรีเก่า ลากขามุ่งไปทางประตูน้ำ

ตลอดเวลานั้น ผู้หมู่สิบตรีร่างเล็กวิ่งขนาบอยู่หัวแถว ปากก็คาบนกหวีดเป่า ปริ๊ด..ปริ๊ด จากที่เราวิ่งเปะปะเท้าพันกันเป็นกิ้งกือ จนกระทั่งเท้าพร้อมกันได้โดยอัตโนมัติ เขาชลอฝีเท้าเลื่อนลงมาดูพวกตัวเล็กที่อยู่ท้ายแถว แลัวก็เร่งฝีเท้าขึ้นไปหัวแถว ปากก็เป่านกหวีดตามจังหวะเท้าซ้ายลงพื้น ดูเหมือนไม่มีท่าทีว่าเหน็ดเหนื่อยเลยซึ่ง ตรงข้ามกับพวกเราที่กำลังจะลิ้นห้อยไปตาม ๆ กัน

ผมนั้นกัดฟันลากรองเท้าไอ้โอ๊บแทบจะไม่พ้นพื้นถนน ในเวลาเช้ามืดถนนสมัยนั้นว่างเปล่า มีแต่แถวของทหารใหม่กับเสียงรองเท้ากระทบพื้น และเสียงหอบกระฟึดกระฟาดของพวกเราเท่านั้น ที่ปรากฎอยู่ท่ามกลางความมืดสลัว ในเวลาเช้าตรู่

แถวของเรามาถึงสามแยกประตูน้ำ ก่อนหกโมงเช้า สามแยกจริง ๆ คือยังไม่มีถนนเพชรบุรีตัดใหม่ มีแต่สะพานเฉลิมโลก กับตลาดเฉลิมโลกซึ่งเต็มไปด้วย อาหารการกินสารพัดชนิด เมื่อพักแถวแล้วพวกเราทหารใหม่ซึ่งกำลังหิวโหยเต็มทีเพราะได้วิ่งมาไกลลิบ และเพิ่งเข้ามาวันเดียวเงินทองยังมีมาก ก็แยกกันไปหากาแฟปาท่องโก๋ ไข่ลวก ขนมปังทาเนย โจ๊กหมูโจ๊กไก่ ไปจนถึงเลือดหมูหรือเครื่องในวัวต้ม กับข้าวสวย
ใส่ท้องกันตามอัธยาศัย

พอถึงขากลับนึกว่าจะเดิน ผู้หมู่ทรหดของเราดันสั่ง วิ่งหน้าวิ่ง กว่าจะถึงกองร้อย เล่นเอาบางคนอยากจะแอ้กเลือดหมูออกมาเสียให้ได้

แล้วเราก็ได้รู้จักผู้หมู่ ตัวเล็กเสียงแหลมของเราว่า ขื่อสิบตรีง้วน ได้เป็นนายสิบหลักเมื่อไม่นานมานี้เอง เขาไปราชการสงครามที่สมรภูมิเกาหลีรุ่นที่มีการรบหนัก จนทหารไทยได้ฉายาว่า พยัคฆ์น้อย ขณะนั้นเป็นนายสิบกองประจำการ คือยังไม่พ้นจากการเป็นทหารเกณฑ์ เขาได้ร่วมในวีรกรรมอันมีชื่อเสียง จนได้รับเหรียญกล้าหาญของสหรัฐ ฯ เมื่อกลับมาจึงได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญของไทยด้วย

เพราะความที่เป็นคนกล้าบ้าบิ่น และพูดจาโผงผาง ขี้โม้ตามประสาคนที่เพิ่งผ่านสงครามมาหยก ๆ และได้เหรียญที่น้อยคนจะได้ จึงเป็นเหตุให้เป็นที่เขม่นของ จ่ากองร้อย พอตึง ๆ หน้าในตอนเย็น ก็มักจะหาเรื่องทดลองกำลังกันอยู่เสมอ ทั้ง ๆ ที่นั่งกินวงเดียวกันที่หัวกองร้อย ทหารก็ไม่เป็นอันได้หลับได้นอน แต่ไม่มีใครกล้าโผล่หัวออกมานอกมุ้ง เพราะกลัวจะโดนหางเลขเข้า โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่เสียเปล่า ๆ

กองร้อยของเราเป็นโรงไม้ยาว หลังคาสังกระสี ตั้งอยู่ข้างหลังตึกสีเหลือง ซึ่งเป็นกองบัญชาการกองทัพภาคที่ ๑ อาณาเขตของกองบัญชาการมีรั้วสังกะสีกั้นโดยรอบและเป็นบริเวณที่แคบมาก ในเวลาราชการ ซึ่งมีนายทหารผู้ใหญ่ระดับต่าง ๆ มาทำงาน ทหารจะลงจากกองร้อยไม่ได้โดยเด็ดขาด นอกจากจะเดินแถวไปฝึก ที่สนามหญ้าหน้าพระที่นั่งนงคราญสโมสร ในวังสวนสุนันทาซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันนัก ครูฝึกก็คือพล
ทหารเกณฑ์รุ่นพี่ของเรานั่นเอง ทุกคนล้วนแต่เฮี้ยบ ไม่ผิดไปจากหมู่ง้วน และผู้หมวดเท่าไรนัก

ฝึกตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงเที่ยง จึงเดินแถวกลับมากินข้าว แล้วก็ออกไปฝึกอีกตั้งแต่ บ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น เลิกฝึกแล้วกลับมาเก็บอาวุธ แล้วก็เข้าแถวเดินไปอาบน้ำคลอง ที่ไหลผ่านจากกองพลที่ ๑ มาข้างหลังวังสวนกุหลาบและสวนอัมพร ซึ่งมีกำแพงบังตาทั้งสองด้าน ไม่มีผู้คนเดินถนนผ่านมาเห็นได้

หลังกินข้าวเย็นแล้ว ทุ่มหนึ่งถึงสองทุ่มจะมีการประชุม ผู้หมู่ก็จะผลัดกันเข้ามาสอน หรืออบรมในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งบางทีก็เป็นวิชาการของทหารราบ บางทีก็เป็นการอบรมความประพฤติ หรือแจ้งระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ บางวันจะต้องเอาสมุดดินสอมาจดเอาไปท่องด้วย เพราะจะมีการสอบทบทวนความจำ เวลานั้นทุกคนจะต้องนั่งขัดสมาธิกับพื้นห้องยืดหลังตรง ใครหลังงอก็จะถูกสั่งให้ออกไปวิ่งรอบตึกกองบัญชาการ มาก หรือน้อยรอบก็แล้วแต่ใจของผู้สั่ง เมื่อเลิกอบรมแล้วก็จะได้พักผ่อนไปจนถึงสองทุ่มครึ่งจึงเข้าแถวหน้าเตียง สวดมนต์พร้อมกันทั้งหมวด จบแล้วสามทุ่มก็เข้านอนตามเสียงนกหวีด

วันหนึ่งฝนตกพรำ ๆ ในเวลาอบรม หลายคนก็ตาปรือฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง วันนั้นหมู่ง้วนเป็นนายสิบเวร และเพิ่งลุกจากวงหัวกองร้อยมาอบรม จึงฝอยเพลินจนเกินเวลา พวกเราอยากจะพักผ่อน จึงนั่งขยุกขยิกไม่เรียบร้อย พอดีมีใครคนหนึ่งเผลอหาวออกมาเสียงดังลั่น หมู่ง้วนไม่ทันเห็นถามก็ไม่มีใครรับ คนนั่งใกล้ก็ไม่กล้าบอก เลยถูกสั่งให้ตั้งแถวบนกองร้อย เพื่อออกไปวิ่งรอบกองบัญชาการตามระเบียบ มีใครอีกคนหนึ่งเกิด สำออยว่า ฝนกำลังตกเสื้อกางเกงจะเปียก ถ้าไม่มีเปลี่ยนเวลานอนจะเป็นหวัดได้ ผู้หมู่ก็เลยสั่งให้ถอดเสื้อกางเกงออกหมดทุกคน ซึ่งส่วนใหญ่เวลาจะเข้านอน ไม่ค่อยมีใครนุ่งกางเกงใน หรือนุ่งก็กลัวเปียกอีก ก็เลยต้องเปลือยกายวิ่งรอบตึกเป็นแถวยาว

ลองหลับตานึกถึงภาพผู้ชาย ก้นขาวบ้างกระดำกระด่างบ้าง วิ่งตากฝนเป็นแถวหลายสิบคน ว่าจะเป็นภาพที่น่าขบขันหรือน่าทุเรศมากกว่ากัน

เมื่อพอใจผู้สั่งแล้ว ก็เลิกแถวกลับมาแต่งตัวเตรียมเข้านอน พอผมเดินผ่านโต๊ะสิบเวรหมู่ก็เรียกผมเข้าไปหา ผมเข้าไปชิดเท้าดังฉึก เพราะเป็นเท้าเปล่า ยังไม่ทันตั้งตัวว่าจะมาดีหรือมาร้าย ก็ได้ยินเสียงถามว่า

" ลื้อเป็นนักเรียนวัดสมอรายเรอะเปล่า "

" เป็นครับ " ผมรีบตอบ

" นั่นซิ ว่าเคยเห็นหน้าไว ๆ ปี ๘๗ ที่โรงเรียนปิด ลื้ออยู่ชั้นไหน ?"

เขาหมายถึง พ.ศ.๒๔๘๗ ผมก็บอกไปตามจริงว่า

" อยู่ ม.๕ ครับ "

" ไอ้ห่ะ...อั๊วะอยู่ ม.๔ ว่ะ "

เสียงของเขาดูน่ารักขึ้นเยอะ เมื่อพูดต่อไปว่า

" งั้นลื้อก็รุ่นเดียวกับเฮียเค้ง พี่ชายอั๊วะน่ะซี "

"ใช่แล้วครับ แต่ผมตก ม.๖ เลยต้องซ้ำอีกปีนึง"

หลังจากนั้นผมก็อยู่อย่างเป็นสุขสบาย ไม่เคยถูกทำโทษเดี่ยวเลยเพราะผมเป็นนักเรียนรุ่นพี่ของหมู่ง้วน ต่อมาเมื่อผมเป็นนายสิบแล้ว เขายังคบผมเป็นเพื่อนอยู่อีกนานหลายสิบปี จนเป็นนายทหารด้วยกัน และเวลาเมาได้ที่ เป็นต้องควักนกหวีดประจำตัว ออกมาเป่าเป็นจังหวะวิ่งอยู่ด้วยความเคยชิน

เขาได้ไปรบในสงครามเวียตนามอีกครั้ง เมื่อมียศจ่าสิบเอกขณะทำหน้าที่ผู้บังคับหมวด เขาก็ได้ประกอบวีรกรรมถึงขนาดจะต้องได้เหรียญกล้าหาญอีก แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ได้ ผู้บังคับบัญชาต้องปลอบใจว่า มันก็เหรียญขาวแดงเหมือนที่เคยได้มาแล้วนั่นแหละ ซึ่งเขาก็เชื่อ

ผมจำเสียงนกหวีดของเพื่อนทหารผ่านศึกเดนตายผู้นี้ได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กินเหล้ากับผมมาหลายปีแล้วก็ตาม เขาตายด้วยโรคมะเร็งอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวแต่เชื่อหมอรดน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก

เมื่อก่อนเกษียณอายุเพียงสองปีเท่านั้น.

##########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 10 ก.ย. 52 06:46:04




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com