Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
คนรักรถ (วารสารรายปี ฉากชีวิต ๒/๒๕๔๓)  

วารสารรายปี ฉากชีวิต ๒/๒๕๔๓

เรื่องสั้นชุด  ฉากชีวิต

คนรักรถ

" เพทาย "

                   กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  ถ้าขึ้นต้นอีแบบนี้ก็คงไม่แคล้ว นิทานปรำปราที่เล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่เฒ่าใกล้จะเข้าโลง แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่นานนักหนา  เพียงแค่ประมาณสามสิบกว่าปีเท่านั้น  สมัยที่ในกรุงเทพมหานคร ยังมีรถเก๋งที่มีชื่อทางการค้าเหมือนกับเครื่องพิมพ์ดีด คือไทรอัมพ์  ซึ่งคงจะอ่านว่าไทรอั้ม หรือไทรอ้ำ ไม่ใช่อ่านว่าไซอ้ำ รุ่นที่เรียกกันว่าเมย์ฟลาวเออร์ มีสัญลักษณ์เป็นรูปเรือใบอยู่บนบนกระโปรงหน้าหม้อของรถ  รถชนิดนี้แปลกอยู่ตรงที่รูปร่าง ซึ่งไม่มีความโค้งมนให้ลู่ลมเหมือนอย่างรถสมัยนี้เอาเสียเลย เป็นเหลี่ยมหักมุมไปหมดทั้งคัน ตั้งแต่หัวจรดท้าย

                   เพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นครูโรงเรียนราษฎร์แถวเทเวศร์ ซึ่งในปัจจุบันได้เลิกกิจการไปแล้ว เขาได้เป็นเจ้าของอยู่หนึ่งคัน ไม่ทราบว่าไปเลหลังต่อมาจากใคร เขารักของเขามาก เขาให้มันพาเขาไปไหนต่อไหน เหมือนกับมันเป็นขาของเขาทีเดียว  เขาชอบพาเพื่อน ๆ นั่งรถของเขาคันนี้ไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ  ก็ที่กินเหล้านั่นแหละ เราเรียกอาการอย่างนี้ว่าการย้ายที่กินเหล้า ไม่ได้ปักหลักกินอยู่ที่ใดที่เดียว เหมือนคนบางกลุ่ม  พวกเราขนานนามเจ้ารถคู่ยากของเพื่อนนี้ว่า รถประป๋อง

                   เพื่อนของผมคนนี้ชื่อ นายผึ่ง เป็นเพื่อนที่นายจอดพามาแนะนำให้พวกเรา  ซึ่งประกอบไปด้วยนายแมว นายชั้น นายผี นายหงอก และผม ได้รู้จัก เมื่อนายออดได้อำลาจากเพื่อนและจากโลกไป ด้วยความช่วยเหลือของรถสองแถว ที่เอากระเป๋ามาเป็นคนขับแล้ว ผมกับเพื่อนก็คบกับนายผึ่งสนิทสนมยิ่งขึ้น เพราะเราต่างก็รักนายจอดเท่า ๆ กัน  แต่นายผึ่งอาจจะรักรถคันนี้มากกว่าพวกเราสักนิดหน่อย เพราะเขาได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า

                   บางครั้งเขาไปส่งพวกเรา หลังจากที่กินกันสามสี่แห่ง ซึ่งเป็นที่นิยมกันในสมัยนั้นก็คือ  เริ่มด้วยร้านอาหารธรรมดา แล้วก็ต่อด้วยร้านที่มีไฟฟ้าสลัว ๆ  มีดนตรีและสาวสวยนุ่งกระโปรงสั้นที่สุดเท่าที่จะสั้นได้ แล้วสวมรองเท้าหนังสูงเลยหัวเข่า เป็นนักร้อง  จากนั้นก็แถไปตามร้านข้าวต้มที่เปิดโต้รุ่ง  โดยไม่ได้กินข้าวกันเลยสักคนเดียว เมื่อเขาขับรถไปส่งเพื่อนจนถึงบ้านครบทุกคนแล้ว เขาจึงจะขับรถกลับบ้านบางพลัด  พอถึงหน้าบ้านที่แน่ใจว่าเป็นบ้านของเขาแล้ว  เขาก็จะดับเครื่อง นอนฟุบหลับอยู่กับพวงลัยรถจนสว่าง ภรรยาต้องมาปลุกให้ อาบน้ำอาบท่าไปทำงานเสียที

                   กาลครั้งหนึ่ง(อีกแล้ว) เราไปในงานแต่งงานแถว ๆ ถนนตก ขากลับก็นั่งกลับมาด้วยกันทั้งหกคน เพราะไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย  ขณะนั้นเป็นเวลาดึกมากแล้ว สมัยนั้นยังไม่มีรถเต็มถนนทุกเวลาอย่างเดี๋ยวนี้  เขาจึงค่อย ๆ ประคองรถแล่นมาจนถึงสามแยกโรงภาพยนต์โอเดี้ยน ซึ่งเป็นที่ตั้งของไชน่าเกท ของกรุงเทพในสมัยนี้ จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ทางตรงนั้นห้ามเข้า ต้องแยกซ้ายอ้อมมาทางซอยหน้าโรงภาพยนต์ เราที่เป็นผู้โดยสารต่างก็คุยกันเสียงลั่นรถ เลยไม่มีคนเตือนนายผึ่งให้เลี้ยว  ดันผ่าไปในทางที่เขาไม่ให้เข้า  พอได้ยินเสียงนกหวีดดังอยู่ข้างหลัง นายผึ่งถามว่าเขาเป่านกหวีดทำไม พรรคพวกต่างก็บอกว่า ตำรวจจราจรเขาคงเรียกรถคันอื่นกระมัง ไม่เกี่ยวกับเราหรอก อย่าไปสนใจเลย

                   พอถึงแยกที่จะเข้าถนนเยาวราชและถนนเจริญกรุง  ก็มีจราจรออกมาโบกมือให้รถหยุด นายผึ่งก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ขอใบขับขี่ พวกเราต่างก็ชี้แจงประสานเสียงกันเอะอะ  จนจราจรผู้นั้นต้องชะโงกเข้ามาชิดหน้าต่างรถ แล้วถามด้วยเสียงที่ไม่อ่อนหวานว่า เมาทั้งหมดใช่ไหม จะได้เอาไปโรงพัก  นั่นแหละพวกเราจึงได้เงียบเสียงลง รวมทั้งนายผึ่งด้วย และยอมให้ใบขับขี่ไปแต่โดยดี

                   วันรุ่งขึ้น นายผึ่งจึงได้ขอร้องให้เพื่อนที่เป็นนายทหาร  ช่วยไปเอาใบขับขี่คืน โดยมีการว่ากล่าวตักเตือนตามธรรมเนียม เพราะสมัยนั้นยังไม่มีกฎเมาไม่ขับอย่างเดี๋ยวนี้

                   อยู่ต่อมาอีกนานรถกระป๋องคันนี้ก็ทำเหตุขึ้นอีก แต่คราวนี้เขาไปสองคนกับนายชั้น เพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นครูโรงเรียนเดียวกัน ขากลับจากเลิกงานแล้ว ก็ไถลไปตามเคยจนดึกพอสมควร จึงกลับมาทางถนนจรัญสนิทวงศ์ เพื่อจะไปบ้านนายผึ่งที่บางพลัด สมัยนั้นถนนยังไม่ได้เป็นทางคู่อย่างเดี๋ยวนี้ และทางเท้าก็ยังไม่สมบูรณ์เรียบร้อยตลอดสาย

                   นายชั้นเล่าว่านายผึ่งขับรถกินขวา เกินครึ่งถนนมาตลอด  นาน ๆ จึงจะแถกลับมาอยู่ในทางซ้ายของตน พอดีมีรถบรรทุกขนาดใหญ่เปิดไฟจ้าสวนมา นายผึ่งตกใจได้สติ รีบหักพวงมาลัยรถหลบเข้าทางซ้ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่เห็นทางข้างหน้า รถจึงเข้าไปในซอยเล็ก ๆ แล้วชนเข้ากับมุมตึกแถว เสียงดังกึงแล้วรถก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ ตัวนายผึ่งนั้นฟุบเงียบอยู่กับพวงมาลัย แต่นายชั้นไม่บาดเจ็บที่ไหนเลย เพราะรถแล่นช้ามาก

                   เมื่อตรวจดูว่าเพื่อนก็ไม่มีบาดแผล แต่เขย่าเท่าไรก็ไม่หือไม่อือ คิดว่าคงจะสลบไป นายชั้นจึงเดินไปหาตู้โทรศัพท์ เพื่อจะแจ้งตำรวจท้องที่ให้ช่วยมาดูแลหน่อย  และในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์ส่วนตัว และตู้โทรศัพท์ก็ไม่เกลื่อนเมืองเหมือนเดี๋ยวนี้ จึงเดินออกไปไกลกว่าที่เกิดเหตุมาก กว่าจะได้กลับมา ก็มีคนมุงเต็มไปหมด  

                   ท่ามกลางเสียงวิจารณ์กันจ้อกแจ้กจอแจ ว่าคนขับคงจะแย่แน่  นายผึ่งก็ผงกหัวขึ้นมาร้องถามว่า

                   "เฮ้ย....เกิดอะไรขึ้น คนง่วงจะตายขอนอนสักงีบก็ไม่ได้รึไง"

                   นายชั้นรีบเข้าไปเปิดประตูด้านคนขับ ถามว่า

                   "เป็นไงบ้างพี่ผึ่ง เป็นอะไรหรือเปล่า"

                   "เปล่า..ไม่ได้เป็นอะไรเลย นอนหลับอยู่ดี ๆ ดันมีคนมาถอดนาฬิกาข้อมือซะนี่ ถ้าไม่ตื่นก็คงสูญไปแล้ว"

                   พลันก็มีเสียงฮาขึ้นพร้อมกัน แล้วกลุ่มชนเหล่านั้น ต่างก็แยกย้ายสลายตัวไปในความมืดอย่างรวดเร็ว

                   ปัจจุบันนายผึ่งยังคบหาสมาคมกับเพื่อนกลุ่มเดิมอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เขาเลิก     ขับรถอย่างเด็ดขาดแล้ว เพราะต้องใช้ไม้เท้าเป็นขาที่สาม  ตั้งแต่เกษียณอายุราชการมาเมื่อหลายปีก่อน..

                                                      ##########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 52 06:40:08




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com