คนว่ายาก (วารสารรายปี ฉากชีวิต ๒/๒๕๔๓)
|
|
วารสารรายปี ฉากขีวิต ๒/๒๕๔๓
เรื่องสั้น ชุดฉากชีวิต
คนว่ายาก
" เพทาย "
ผมนอนมองน้ำเกลือที่หยดจากขวด ลงไปในสายพลาสติค ที่ห้อยลงมายังเข็มซึ่งปักตรึงอยู่กับเส้นเลือดเหนือข้อมือซ้ายของผม อย่างช้า ๆ ทีละหยดทีละหยด ดูจะกินเวลานานเหลือเกินกว่าจะหมดขวด แต่ละหยดของมันได้ช่วยคืนพลังวังชาของผมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ ความคลื่นใส้ปั่นป่วนมวนท้องค่อยทุเลาลง หลังจากที่ได้อาเจียรอย่างหนักมาครึ่งคืนจนหมดแรง
แล้วผมก็หวนนึกไปถึงอดีต เมื่อหลายสิบปีก่อน..........
# # # # #
ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งอายุแก่กว่าผมไม่กี่ปี แต่เขาเป็นสิบเอกแล้วในตอนที่ผมเพิ่งเป็นข้าราชการวิสามัญต๊อกต๋อย อยู่ที่กรมทหารแถวสะพานแดง เราคบกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เที่ยวด้วยกันกินด้วยกัน เว้นแต่ไม่ได้นอนด้วยกันเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเป็นผู้จ่ายเงิน เพราะเขามีมากกว่าผม เราคบกันได้ ๓ - ๔ ปี เขาก็อาสาสมัครไปรบในราชการสงครามเกาหลี
เมื่อเขากลับมาแล้วก็ไม่ค่อยได้เจอะเจอกัน เพราะผมแยกทางไปรับราชการที่กรมอื่นอีกมุมหนึ่ง ของสี่แยกสะพานแดงนั้นเอง ส่วนเขาก็เที่ยวอาสาสมัครไปรบ แทบจะทุกสมรภูมิ เรียกว่าเป็นนักล่า พ.ส.ร.หรือที่เรียกเต็มยศว่า เงินเพิ่มสู้รบ เขาเป็นนักรบหัวเห็ด ที่ได้ไปมาแล้วทุกศึก ต่อจากเกาหลีก็ไป เป็นเสือพรานอาสาสมัครไปรบนอกแบบในลาว แล้วก็ไปสงครามเวียดนาม แม้แต่เขมรในสมัยที่นายพลลอนนอน ได้สปอนเซอร์ เอามาสู้รบกับเขมรแดง เขาก็เคยได้ไปกินเหล้าเสือสิบเอ็ดตัวขนานแท้มาแล้ว เพียงแต่ไม่ได้อยู่จนถึงเวลาที่ นายพอลพตเข้ามายึดกรุงพนมเปญเท่านั้น
ต่อมาเขาได้ไปช่วยราชการในกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และถูกส่งไปต่างจังหวัด เลยไปตั้งหลักแหล่งในภูมิลำเนาของภรรยาที่จังหวัดนครสวรรค์ เราจึงห่างเหินกันไปพอสมควร และผมก็ไม่ได้ทราบข่าวคราวของเขาอีกเลย
จนกระทั่งผมได้มีโอกาสไปในงานแต่งงานน้องสาวของเพื่อนอีกคนหนึ่ง ที่จังหวัดนครสวรรค์ จึงได้พบเขาอีกครั้งที่หน้าภัตตาคารแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ด้วยสภาพของสารถีรถ สามล้อเครื่อง ผู้มีสุขภาพชำรุดทรุดโทรมเต็มที เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เขาดื่มมันมาตั้งแต่ครั้งไปราชการสนาม และก็ได้ความว่าออกจากราชการเสียแล้ว เพราะไม่ถูกกับเจ้านาย จึงยึดอาชีพขี่ สามล้อ เลี้ยงชีวิตไปตามแกน สังขารก็ร่วงโรยลงไปตามลำดับ จึงเปลี่ยนมาขับรถตุ๊ก ๆ แทน เงินที่เหลือจากค่าเช่าก็ลงขวด หมด
เมื่อผมถามถึงครอบครัวของเขาซึ่งผมหมายถึงภรรยาที่มีอาชีพครู และลูกชายหญิงของเขา
" เขาทิ้งข้าไปหมดแล้วละว่ะ อย่าไปห่วงเขาเลย สบายไปซะแล้ว "
" อ้าวไหงเป็นงั้น...แล้วเพื่อนก็เลยต้องมา..."
ผมชงักปากไว้ ตามองดูยานคู่ชีพของเขา ซึ่งมีลักษณะโกโรโกโสพอ ๆ กับสภาพผู้เป็นเจ้าของ
" เราก็หากินเลี้ยงท้องตัวเองไปมื้อ ๆ ยังงี้แหละวะ "
เสียงของเขาเข้มแข็ง ต่างกับสังขารที่ซูบซีดร่วงโรยที่มองเห็นได้ ใบหน้ากร้านเกรียม เบ้าตาลึก แต่แก้มป่องแทบจะย้อย จมูกแดงบานและมีน้ำมูกซึมอยู่ตลอดเวลา แขนทั้งสองข้างลีบเรียว บนผิวหนังมีรอยลอกเป็นแห่ง ๆ
" ยังพอทู่ซี้ไปได้ไม่ถึงกับอดตายหรอกว่ะ "
ผมพยักหน้าหงึกหงักเป็นเชิงรับทราบ อยากจะซักไซ้ต่อไป ให้ละเอียดกว่านี้อีก แต่สมองมึนตื้อด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ จึงจับต้นชนปลายไม่ถูก พอดีเขาถามขึ้นว่า
" แล้วเพื่อนล่ะ คงสบายดีซีนะ "
" ฮื่อ " ผมยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ดีไปกว่านั้น
" ติดดาวหรือยังล่ะ "
เขาถามถึงอาชีพหลักของผม
" ได้มา ๒ - ๓ ปีแล้ว ตอนนี้ร้อยโท "
" เออดี "
เขาคว้ามือผมไปเขย่าอย่างแรง ความรู้สึกซาบซึ้งตื้นตัน แล่นผ่านมือทั้งสองของเราไปอย่างรู้สึกได้
" เพื่อนได้ดีก็ดีใจด้วยว่ะ ดีใจจริง ๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงฉลอง "
" เฮ้ย...มีซีวะ "
ผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้อย่างปัจจุบันทันด่วน
" เดี๋ยวนี้แหละ ไป...เข้าไปในร้านด้วยกัน "
" ไม่เอาโว้ย อายเขาตายห่ะ สารรูปเรายังกะอีแร้ง "
เขาขืนตัวไม่ยอมลงจากรถตามแรงฉุดของผม
" เหอะน่า อายใครกัน ไม่มีใครเขาสนใจเราหรอก "
" ไหว้ทีละวะ ขอตัวที "
เสียงของเขาอ้อนวอนขอร้องอย่างจริงใจ
" ตามสบายเถอะ อย่าห่วงเราเลย โอกาสหน้าค่อยเจอกันใหม่ "
ว่าแล้วเขาก็สตาร์ทรถคู่ชีพออกไปจากที่จอด โดยไม่ยอมฟังเสียง ผมจำใจต้องปล่อยให้เขาไป เพราะไม่สามารถจะหยุดรถของเขาไว้ได้ ในขณะนั้น
# # # # #
ผมนึกถึงคำพูดของเขา เมื่อกว่ายี่สิบปีก่อน ตอนที่ผมเตือนเขาว่า
" กินเหล้าไม่เติมโซดายังงี้ ลูกยังไม่ทันจะโต แกจะแย่เสียก่อนนา "
" ชั่งหัวมัน " เขากระดกเสียอีกพรวดหนึ่งเป็นการยืนยัน
" เรากินเหล้ามาตั้งแต่หัวเท่ากำปั้น แกก็รู้ แต่อยู่มาได้ถึงเดี๋ยวนี้ ดู เจ้าผีนั่นไง ซัดกราขาวเป็นขวด ๆ ทุกวันก็ยังเห็นสบายดีไม่ใช่เรอะ ทีเจ้าออดกินเหล้าไม่ตายรถเสือกทับตายไปก่อน เอาแน่ได้เมื่อไร คนอย่างเราเชื่อดวงว่ะ จะตับแข็งหรือกะเพาะทะลุ หรือมะเร็ง มันก็ไอ้ตายเหมือนกันแหละวะ ไม่เห็นมีใครอยู่ค้ำฟ้าซักกะคน "
# # # # #
แล้วผมก็คิดไปถึงหมอโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเมื่อสิบปีก่อน ที่เอามือจิ้มชายโครงข้างขวาของผม กดเต็มแรง แล้วบอกว่า
" ตับโตออกมาตั้งนิ้ว "
ผมยังมีกะใจถามว่า
" นิ้วฟุตหรือครับ "
" ฮื่ย นิ้วมือน่ะ "
หมอถลกขากางเกงขึ้น พิจารณาดูข้อเท้าทั้งสองข้างที่บวมเป่ง มองไม่เห็นตาตุ่ม เอานิ้วกดลงไปบนหลังเท้าและหน้าแข้งจนเป็นรอยบุ๋ม แล้วว่า
" กินเหล้าหนักละซี ผู้กองน่ะ "
" ก็เอาอยู่ครับ "
ผมอ้อมแอ้มตอบ
" ติดหรือเปล่า "
" ไม่ติดครับ "
ผมยืนยันเหมือนทุกคนที่ถูกถามประโยคนี้
" งั้นก็เลิกได้แล้วถ้ายังรักที่จะมีชีวิตอยู่ "
หมอกระแทกเสียงหนักแน่น แล้วก็ให้ยากินรักษาตัวอยู่เกือบปี พอตรวจครั้งสุดท้ายบอกว่า ผลการตรวจโลหิตเป็นปกติแล้ว เลิกกินยาได้ ผมก็ค่อย ๆ กระซิบบอกหมอว่า
" ตลอดเวลาที่แล้วมานั้น ผมกินเบียร์เติมโซดาครับ "
หมอไม่ยักพูดว่าอะไร................
# # # # #
คราวนี้ผมนึกถึงคำพูดของหมอโรงพยาบาลมิชชั่น เมื่อเช้านี้ว่า
" พรุ่งนี้จะส่งไปตรวจอัลตราซาวด์ ดูถุงน้ำดีและตับ กับเอ็กซเรย์ ดูกระเพาะอาหารเมื่อทราบผลแล้วจึงจะได้รักษาให้ถูกทาง คืนนี้หลับให้สบายไม่ต้องวิตก "
ผมก็ไม่ได้วิตกอะไรนักหรอก ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรือมะเร็งที่ตับ หรือแผลในกระเพาะอาหาร เพราะเชื่อคำพูดของเพื่อน ที่เล่ามาข้างต้นนั้น เขาไม่ได้ตายด้วยโรคอันน่ากลัวเหล่านั้นเลย
เขาเมาตกน้ำตายที่ปากน้ำโพ หลังจากที่ได้เจอกันไม่กี่วันเอง.
###########
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
25 ก.ย. 52 06:35:13
|
|
|
|