Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
อยากให้ทุกคนได้อ่าน--ลองมองเห็นคนให้เท่ากัน  

พอได้ได้มาจาก FB อยากให้ทุกคนได้อ่านกันจริงๆคะ

ลองมองเห็น “คน” ให้เท่ากัน

ถ้าคุณมีโอกาสพอที่จะอ่านโน้ตชิ้นนี้ได้ ผมขออนุญาตจัดคุณเป็น “คนชั้นกลาง” ในนิยามส่วนตัวของผม เพราะอย่างน้อยคุณก็เข้าถึงอินเตอร์เนตได้ และว่างพอจะมาเจอโน้ตไร้สาระของผมชิ้นนี้

คนเสื้อแดง
สงครามชนชั้น
ศักดินา
ไพร่
อำมาตย์
สองมาตรฐาน
อภิสิทธิ์
ฯลฯ

ผมเดาว่าคุณคงอัดอั้นกับกลุ่มคำทางการเมืองพวกนี้มากแล้วแน่ๆ - ไม่ต้องเป็นห่วง ผมไม่ได้มานำเสนอโรดแมพอะไรซับซ้อน ไม่ได้มาบอกให้คุณรักเสธ.แดงให้่มากๆ และไม่มารณรงค์ให้ไปลงคะแนนเลือกตั้งให้อริสมันต์แน่ๆ

สิ่งที่ผมอยากเขียนไว้ในโน้ตชิ้นนี้ มันเกี่ยวกับ “แก่น” อันหนึ่งของความคับข้่องใจที่เกิดขึ้นมายาวนานในสังคมเรา มันคือการปะทะกันระหว่างคนกรุงกับคนต่างจังหวัด ระหว่างคนกรุงชั้นกลาง(ขึ้นไป)กับคนกรุงข้างล่าง

ความคับข้องใจที่ว่านั้นก็คือการที่สังคมเรา “ถ่างและห่าง” กันมากเสียจนสภาพความเป็นคนเริ่มจะไม่เท่ากัน

เปล่า - ผมไม่ได้จะเริ่มอภิปรายถึงสิทธิพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ ผมเพียงแต่อยากนำเสนอให้พวกคุณ (พวกเรา?) ได้เห็นสักนิดว่าในสังคมที่พวกเราอยู่กันทุกวันนี้ มันห่างกันแค่ไหน

มีคนเกินครึ่งที่พวกเราไม่เคยแยแสเขาแม้ว่าจะอยู่กรุงเทพเหมือนๆกัน มีคนอีกค่อนประเทศที่พวกเราเห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอ ทั้งที่เขาก็อยู่ในประเทศเดียวกับเรา และมีคนอีกทั่วประเทศที่เรายกตนเองเหนือเขา แถมยังเชื่ออย่างสุดใจขาดดิ้นเลยว่าด้วยการศึกษาของเรา สีผิวขาวๆของเรา ด้วยรสนิยมเพลงแจ๊ซของเรา หรือกระทั่งแว่นตากุชชี่ของเรา ทำให้เรา “เจริญ” กว่าพวกเขาแน่ๆ

ความคิดเช่นนี้ฝังลงไปในตัวพวกเราทีละเล็กละน้อย จนวันหนึ่งเราก็ยินดีหากประเทศนี้จะเกิดสภาวะสองมาตรฐาน (ตราบใดที่มันเป็นไปเพื่อสิ่งที่เราเชื่อว่าดีต่อประเทศนี้) เกิดสภาวะปล้นสิทธิทางการเมือง (ตราบใดที่มันเป็นไป...) เกิดสภาวะครอบงำสื่อ (ตราบใดที่มันเป็นไป...) และอีกมากมายสารพัด

เอาน่า คนพวกนั้นถูกจ้างมา ไม่ฉลาดทันนักการเมือง จะมาโค่นอำมาตย์ยังถามอยู่เลยว่าต้นอำมาตย์อยู่ที่ไหน ... ปั๊ดโธ่

แน่นอนว่าเมื่อพวกเราคิดเช่นนี้ไปนานวันเข้า มันก็ยิ่งหนักข้อขึ้นทุกทีจนต่อให้ ต่อให้เขากินหญ้ากันจริงๆ (อย่างที่คุณชอบด่า) เขาก็ทนอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ไหวแน่ๆ ความรู้สึกสองมาตรฐาน ทำอะไรผิดไปหมด เลือกอะไรก็ไม่เอา อยากได้อะไรก็ไม่ให้ มันเป็นเรื่องใหญ่ของคนนะครับ นี่ยังไม่ต้องนึกว่าจะมีนักการเมืองหรือใครต่อใครไปปั่นสร้างความรู้สึกร้ายๆให้แก่พวกเขาอีกมาก

ใช่ - ผมอภิปรายมาเสียยืดยาว เพียงเพื่อจะบอกว่าแก่นของไอ้เรื่องวุ่นวายที่ทำให้คุณ (และผม) ไม่ได้ไปกินอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆที่เซ็นทรัลเวิร์ดมานานแล้วนั้น เกิดจากการที่พวกเรามองเห็น “ความเป็นคน” ไม่เท่ากัน

ถ้าอยากให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ และไปได้ด้วยดี เราต้องเริ่มมองคนอื่น “เท่า” กับเราเสียก่อน

น้องเอมมี่ กับ ลุงแช่ม
คุณนิน่า กับ ป้าศรี
พี่พอล กับ ไอ้เด่น
ฯลฯ

คนเหล่านี้ต้องมีศักดิ์ศรีและ “ความเป็นคน” เท่ากัน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเราต้องยกรถเบนซ์ให้ป้าศรี หรือซื้อบีบีไปแจกลุงแช่ม เพราะความต่างทางเศรษฐกิจหรือวิถีชีวิตนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่มันไม่ได้แปลว่าจะทำให้สิทธิในการกำหนดความเป็นไปในชีิวิตเขา (เช่น เลือกผู้นำ) สิทธิในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน (เช่น บริการทางการแพทย์) ต่างไปด้วย

ทีนี้ทำไงดีล่ะ

ก่อนจะมองไปให้ซับซ้อนถึงเรื่องนโยบาย หลักการ ปรัชญา มากมายชวนปวดหัว ผมมีข้อสังเกตบางประการที่พบบ่อยๆในชีวิตเมืองกรุงมาเล่า และหลายกรณีก็อยากชวนให้เราลองเปลี่ยนมุมมองหรือพฤติกรรมดูบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อให้เรามองเห็น “คน” อื่นให้เท่ากับเรา

"มองเห็นคนให้เท่ากัน" - ผมเชื่อว่าต้องเริ่มจากเรื่องพื้นฐานให้ได้ ก่อนที่จะไปพูดเรื่องอื่นใดให้ไกลออกไป

พนักงานบริการร้านอาหาร

ไม่รู้ทำไม - ผมเห็นหลายคนพูดจากับคนเหล่านี้เหมือนพวกเขาเป็นทาส หลายคนจะอารมณ์เสียทุกครั้งเมื่อต้องพูดคุยกับพวกเขา

ผมเชื่อว่าคนเหล่านี้ทำงานเหน็ดเหนื่อยกว่าคุณมากนัก ระหว่างที่คุณกินอิ่มกำลังเดินช้อปปิ้ง พวกเขาต้องเก็บกวาดเช็ดถูโต๊ะอาหาร ระหว่างที่คุณขับแอคคอร์ดคันโตกลับคอนโด พวกเขาอาจกำลังรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายกลับบ้าน

“น้อง ... พี่ขอข้าวเปล่าเพิ่มหนึ่งที่ครับ” ผมว่าบางทีเราควรเริ่มต้นด้วยการพูดจามีหางเสียง มีครับ มีค่ะ กับคนเหล่านี้บ้างจะดีไหม มีใครกำหนดไว้หรือว่า ครับ-ค่ะ เอาไว้พูดกับเจ้านายเท่านั้น

ชาวบ้านต่างจังหวัดและวัฒนธรรมท่องเที่ยวแบบชาวกรุง

อันนี้เป็นกรณีที่พบเห็นหลากหลายที่สุด อึดอัดที่สุด และน่าหงุดหงิดเป็นที่สุด

เวลาเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ขอความกรุณามี “สำนึก” กันสักนิดเถิดว่าคุณกำลังไปเที่ยว“บ้าน” ของคนอื่นเขา คุณไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรที่บ้านคุณ คนอื่นเขาก็ไม่ชอบเช่นกัน

เอาเจ็ทสกีไปขี่เล่นในคลองกลางหมู่บ้านที่เงียบสงบ (ไม่ทราบเอาส่วนไหนของเท้าคิดไอเดียนี้)
เดินถ่ายรูปอย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหน (ราวกับว่าหมู่บ้านนี้เป็นฉากในละครย้อนยุค)
หยอกล้อเล่นกันเสียงดังโหวกเหวก (เหมือนแ-่งอยู่กันกลุ่มเดียวในโลก)
ขับรถยนต์คันโตเข้าไปจอดกลางลานบ้านเขา
ไม่ถอดรองเท้าก่อนเข้าวัด ศาลา หรือชายคาบ้าน
ขับโฟร์วีลลุยชายหาด
พูดจากับคนท้องที่ราวกับบุพการีของตนเป็นเจ้าเมือง
เรียกร้องการบริการในระดับโรงแรมโอเร็ลเตลจากร้านอาหารชาวบ้านริมถนน

คนกรุงเทพไม่ค่อยมี “สำนึก”ว่าตัวเองไม่ใช่ประเทศไทย โลกของเราจึงแคบอยู่แค่เพียงสีลม สาทร พารากอน รถไฟฟ้า และเซ็นทรัล

พอโลกเราแคบ เราจึงไม่เคยรู้และสนใจว่าโลกของคนอื่นเขาเป็นอย่างไร อากาศ ค่านิยม อาหาร วัฒนธรรมพื้นถิ่น สิ่งเหล่านี้โดยโยนทิ้งไปกองรวมกับคำว่า ด้อยพัฒนา ทั้งหมด

ใครนึกไม่ออก ... ให้นึกถึงเมือง “ปาย”ข่วงเดือนธันวาคมของทุกปี

พนักงานรักษาความปลอดภัย

อันนี้เป็นกรณียอดฮิตอีกอย่างนึง - เห็นมาเยอะมากที่คนขับรถคันละเกือบสองล้าน มาทะเลาะเบาะแว้งกับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่นั่งรถเมล์และดูทีวีด้วยมือถือไอโมบาย

ทำไมต้องตรวจสติ๊กเกอร์ ทำไมต้องเปิดท้ายรถ ทำไมจำรถฉันไม่ได้ ทำไมต้องแลกบัตร ทำไมตรงนี้ห้ามจอด ทำไม ทำไม และ ทำไม - ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะไปทะเลาะกับพวกเขาทำไม โดยเฉพาะในเรื่องที่พวกเขาไม่มีอำนาจกำหนดหรือตัดสินใจใดๆ

ทำตามสิ่งที่พวกเขาร้องขอจะดีไหม (รถผมจะได้ไม่ติดอยู่ข้างหลัง) หากคุณไม่พอใจมาตรการอะไร ก็ไปร้องเรียนเอากับคนที่มีอำนาจตัดสินใจ ไม่ใช่ทำใหญ่แค่กับพนักงาน รปภ.

พนักงานเปิดประตูในอาคาร

มีใครเคยขอบคุณ รปภ. ที่เปิดประตูเข้าห้าง คอนโด หรือสำนักงานบ้างหรือไม่ พวกเขาอาจทำงานไม่ได้อย่างใจคุณบ้าง อาจไม่รู้จักการพูดจาสวัสดีอย่างไพเราะเพราะพริ้ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากลายสภาพเป็นเพียงมอเตอร์เลื่อนประตูเปิด-ปิด อย่างไร้ชีวิต ....ใช่ไหม ?

พนักงานนวดเท้า

ป้าแก่บางคนที่นวดเท้าอายุมากกว่าแม่ของคุณเสียอีก ลองมีน้ำใจถามไถ่ชื่อแกสักนิดก่อนจะยกเท้าใส่หน้าแก จริงอยู่ที่คุณอาจให้ทิป แต่ทิปกับน้ำใจมันเป็นคนละประเด็น

พนักงานเก็บบัตรลานจอดรถ

มีใครเคยยิ้มหรือกล่าวคำขอบคุณพนักงานเก็บบัตรบ้างไหม พวกเขาต้องนั่งอัดอยู่ในตู้ที่ใหญ่กว่าโลงศพนิดเดียวเป็นเวลาหลายชั่วโมง หยิบเงิน ทอนเงิน ทำอย่างนี้ซ้ำๆอยู่ครึ่งค่อนวัน

บางทีการส่งสายตาขอบคุณเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้พนักงานเหล่านั้นรู้สึกได้บ้างว่ากำลังทำงานอยู่กับ “คนเหมือนกัน”

ฯลฯ

อันที่จริงยังมีอีกหลายกรณี แต่โดยสรุปก็คือเราควรใช้ชีวิตโดย “เห็นหัวคนอื่น” บ้าง

ทั้งหมดนี้ ไม่ได้ต้องการให้ทุกคนมุ่งมั่นเป็นนางงาม ยิ้มหวาน รักเด็ก มีสุดยอดมนุษยสัมพันธ์กับทุกคนที่เจอหน้า

ผมเพียงแต่อยากให้เราอยู่ร่วมกันแบบ “เห็นคนเป็นคน”

พวกเราได้รับบริการ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนมากมายในแต่ละวัน เพียงแต่เราสนใจตัวเรา เรื่องของเรา และคนกลุ่มเดียวกับเราเสียมากมายจนลืมไปว่ายังมีคนอีกมากที่อาจไม่ได้อยู่ในกลุ่มเดียวกับเรา แต่เขาก็เป็นคนเหมือนเรา ไม่ได้เป็นเครื่องจักร

แน่นอน - ผมไม่ได้กำลังบอกว่าวิธีเหล่านี้จะเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่สันติสุขโชติช่วง วัฒนาสถาพร ตลอดกาล แต่อย่างน้อย ผมเชื่อว่ามันคือสิ่งที่ดี มันเป็นสิ่งที่ควรทำในตัวของมันเอง เหมือนการทำบุญตักบาตร เหมือนการเจริญสติภาวนา เหมือนการเสียภาษีให้ถูกต้อง

มีลูกควรสอนลูก มีหลานควรสอนหลาน

คุณอาจมองว่าเรื่องที่เล่านี้มันหน่อมแน้ม ไร้สาระ แต่ผมเชื่อว่าการปรับ Mind Set เช่นนี้่ (ขออนุญาตใช้ศัพท์อังกฤษให้สมกับที่เป็นคนชั้นกลางมีการศึกษา) จะทำให้เรามีมุมมองต่อเพื่อนร่วมประเทศเราเปลี่ยนไป และในระยะยาวจะช่วยสร้าง“บรรยากาศ” บางอย่างให้ดีขึ้น

อยู่กันมาอย่างนี้เนิ่นนาน ... พอตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง

คุณอยากบอกเขาว่านี่คือประชาธิปไตย นี่คือผลประโยชน์ทับซ้อน นี่คืออำมาตย์ นี่คือเล่ห์เหลี่ยมนักการเมือง นี่คือคอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย

คุณจะเดินไป “ให้การศึกษา” เขาได้อย่างไร
คุณจะหวังให้เขาฟังคุณได้อย่างไร

ในเมื่อเขาเปิดประตูออฟฟิศให้คุณอยู่ทุกวัน
แต่คุณไม่เคยเห็นว่าเขามีตัวตนเลยสักครั้งเดียว

จากคุณ : thatkiss
เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 53 12:12:13




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com