 |
ความคิดเห็นที่ 52 |
ดิฉันคุ้นๆ ล็อคอิน จขกท. อย่างไรก็ไม่รู้ คิดว่าคงเคยได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันบ้างในห้องราชดำเนิน แต่นึกไม่ออกว่า กระทู้ไหน เรื่องอะไร
เข้ามาในกระทู้นี้เพื่อขอบคุณ จขกท.ค่ะ เพราะดิฉันเคยเข้าไปในกระทู้ต้นเรื่องของคุณ One man story ไม่รู้เป็นอย่างไร อาจเป็นกระทู้ใหญ่มาก โหลดภาพแทบไม่ขึ้นเลย
จึงได้แต่อ่านข้อความ และสรรเสริญ คุณOne man story ที่เสี่ยงตายเข้าไปเก็บภาพในพื้นที่เสี่ยง ตั้งแต่ 19 พ.ค.-21 พ.ค. 53 เป็นการทำความจริงอีกส่วนหนึ่งให้ปรากฎออกมา
อย่างไรก็ตาม ในทัศนะของดิฉัน นี่ก็ยังเป็นภาพเล็กๆ ภาพหนึ่งในภาพใหญ่ที่สลับซับซ้อนมาก เรายังต้องมีสติ เปิดใจกว้าง เพื่อรับฟังความจริงจากทุกแง่มุม
เพราะถ้าจะกอบกำประกอบส่วนสังคมอันสงบสุขขึ้นมาใหม่ ต้องกอบกำความรักในพี่น้องของความเป็นมนุษย์ ขึ้นมาใหม่ ต้องเริ่มขึ้นจากการยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ความสำนึกผิดของภาคส่วนต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเป็นสิ่งจำเป็น การให้อภัยซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งจำเป็น
ต้องยืนหยัดในเบญจธรรม เมตตากรุณา, สัมมาอาชีวะ, กามสังวร, สัจจะ และ สติสัมปัชชัญญะ
ยืนหยัดในฆราวาสธรรม สัจจะ ทมะ ขันติ และ จาคะ
.......
ข้างล่างเป็นกระทู้สุดท้ายที่ดิฉันเขียนในห้องราชดำเนิน ในปลายเดือนเมษายน เอาขึ้นบล็อคของตนเอง ต้นเดือนพฤษภาคม เปิดไม่ได้ เลยไม่ได้ส่งเป็นลิงค์มา ต้องขอโทษที่ใช้พื้นที่จขกท.เยอะ แต่ไม่แน่ใจว่าเราเคยพบกันในกระทู้สุดท้ายของดิฉันหรือเปล่า
.....
ถ้าสิ้นไร้ความเป็นมนุษย์แล้ว จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร
เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายน 2553 ดิฉันน้ำตาไหล หูแว่วยินแต่เสียงเพลง "The Sound of Silence" ได้ยินซ้ำไปซ้ำมา โดยเฉพาะท่อนที่บอกว่า
"And in the naked light I saw Ten thousand people, maybe more. People talking without speaking, People hearing without listening, People writing songs that voices never share And no one dare Disturb the sound of silence."
คืนนั้น น้องคนหนึ่งเล่าเรื่องราวจากสีลมมาให้ฟังเป็นระยะๆ
น้องคนนี้เป็นคนทำงานออฟฟิซ ไปโบกธงกับกลุ่มหลากสีตอนกลางวันหลังนปช.บอกจะยึดสีลม ต่อมาน้องก็เริ่มขยับไปโบกตอนกลางคืนด้วย เธอเล่าว่า เป็นห่วงพวกกะกลางคืน ดิฉันไม่เข้าใจ
เธอจึงเล่าว่า สีลมเป็นพื้นที่ซ้อนทับหลายอย่าง ชาวสีลมมีทั้งชีวิตของชาวบ้านร้านตลาด เช้ามืดเป็นตลาด เหมือนกองเสบียงสำหรับคนทำงานกลางวันและกลางคืน กลางวันเป็นพวกทำงานออฟฟิซ พ่อค้าแม่ขายอุปโภคบริโภค กลางคืนเป็นโลกแสงสี สถานบริการ ร้านอาหาร เป็นพวก"เจ้าถิ่น" ปกติเธอรู้สึกว่า คนกะกลางคืน เปรี้ยว และ ดุ แต่เนื่องจากเหตุการณ์ไม่ปกติ เธอจึงต้องไปช่วยพวกเขาอีกแรง เผื่อจะเตือนอะไรกันได้บ้าง เพราะ เจ้าถิ่นหรือ จะสู้ แดงทั้งแผ่นดินได้
แต่ในที่สุดเธอก็ได้แค่โบกธง ร้องเพลง และร่ำไห้ ยามที่ช่วยอะไรใครไม่ได้ เมื่อผู้คนถูกยิงด้วยเอ็ม 79 และร่ำไห้หนักยิ่งขึ้นกับการที่รถลำเลียงคนเจ็บถูกขัดขวางจากคนเสื้อแดง เมื่อเธอบอกดิฉันให้เข้าใจว่า ทำไมชาวสีลมจึงกลับมาชุมนุมต่อ
เอ็ม 79 ระลอกที่สองที่มุ่งเป้าไปที่สถานีรถไฟฟ้า ดิฉันดูผ่านทีวี เห็นผู้คนวิ่งหน้าตาตื่นออกจากสถานี น้องถามดิฉันว่า "พี่เข้าใจไหม มันโหดร้ายเกินคนแล้ว เขายิงมาที่ฝั่งพวกเรายังพอเข้าใจได้ นี่เขายิงรถไฟฟ้านะ"
วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ไปชุมนุมกันอีก "กลัวมั๊ย .. กลัว" "มามั๊ย..มา" "ไม่มาได้มั๊ย..ไม่ได้" นี่คือเสียงของพวกเขา เป็นเสียงของคนจนตรอก ที่รู้สึกว่าจะไม่ยอมทุกข์แค้นแสนสาหัสเหมือนแยกราชประสงค์ ที่ต่างตายทั้งเป็น และตายเป็นแพกันไปตามๆ กัน ทั้งยังหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ขณะที่โทรศัพท์อีกสาย เพื่อนเสื้อแดงที่อึดอัดคับข้องใจ "อย่าไปเชื่อสื่อของรัฐนะ มันโกหก รัฐบาลสร้างสถานการณ์ ในที่ชุมนุมสงบมาก เป็นมิตรมาก ไม่เข้าใจเลยว่าคนไทยเป็นอะไรกันหมด โง่เง่ากันหมด อภิสิทธิสั่งฆ่าประชาชน ยังออกไปสนับสนุนกัน"
เฟืองตัวใหญ่หมุนแก๊กเดียว เฟืองตัวเล็กตัวน้อยหมุนไปไม่รู้กี่ระลอก ทอดตาไปทั้งแผ่นดิน ผู้คนต่างตกเป็นเหยื่อ ไม่อาจจับเข่าคุยกัน ไม่อาจไว้วางใจกัน
ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกราญ
คิดทำการใหญ่ จิตใจต้องโหดเหี้ยม
ผู้คนสิ้นไร้หัวใจให้กัน จมปลักอยู่กับความเชื่อ ไม่ใยดีความจริงรอบๆ ตัว ความจริงที่ว่า เราต่างเป็นเพื่อนมนุษย์ อิ่ม หิว เจ็บปวด ว้าเหว่ หงอยเหงา เศร้าโศก เราต่างก็เหมือนสัตว์ทั้งหลายในระบบนิเวศ ต้องการถิ่นที่อยู่ ต้องการแหล่งอาหาร ต้องการที่บริบาลพักฟื้น ต้องการสวัสดิภาพและความปลอดภัย
เราพูดภาษาเดียวกัน แต่เรากลับพูดกันไม่รู้เรื่อง ชาวบ้านร้านตลาดแค่ต้องการทำมาหากินตามปกติ ต้องการชีวิตสงบ คนเสื้อแดงผู้มีอุดมการณ์สูงส่ง เหยียดคนเหล่านี้ว่าเห็นแก่ตัว กล่าวหาชาวสีลมว่าเป็นแค่คนที่รับจ้างรัฐบาลมาประท้วงคนเสื้อแดง รัฐบาลโหนกระแสเสื้อหลากสี(กลุ่มคนไม่อาจทนตรรกะแบบเสื้อแดง) ผู้คนต่างอีดอัด เครียด และถูกผลักไปสู่ส่วนที่สุดโต่งมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้แต่โลกใบเล็กของดิฉันก็ถูกกระทบอยู่ตลอดเวลา ในฐานะผู้ฟัง หัวใจของดิฉันเปิดรับความทุกข์ของผู้คนในมุมต่างๆ จนตนเองก็รับไม่ไหว และอยากตะโกนออกมาดังๆ ว่า
ถ้าสิ้นไร้ความเป็นมนุษย์แล้ว จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไรกัน
ส่วนตัวดิฉันแล้ว ประชาธิปไตย ไม่เห็นสำคัญอะไรเลย มนุษยธรรมต่างหากที่สำคัญ พรหมวิหารธรรมต่างหากที่สำคัญ ซึ่งบางทีในโลกธรรมชาติ ในความสัมพันธ์กับสัตว์โลกอื่นๆ เรายังอาจคุยกันได้ สื่อสารกันได้ มากกว่าเพื่อนมนุษย์ในยามนี้
ดิฉันได้แต่ปลอบน้อง "ชีวิตเป็นของมีค่า อย่าคิดเอาชีวิตไปแลกกับใครนะ ทุกชีวิตมีค่า เพียงแต่เวลานี้ทั้งมืดมิดและฝุ่นตลบ คนก็เลยไม่เห็นค่าชีวิตของกันและกัน ทำแต่สิ่งที่เป็นคุณเถอะ เช่น บริจาคเลือด หรืออะไรก็ได้ ยึดธรรมะไว้เป็นที่ตั้ง ทำสิ่งที่เป็นกุศลเท่านั้นนะ ไฟดับไฟไม่ได้นะ น้ำเท่านั้นจึงดับไฟได้"
ส่วนเพื่อน ดิฉันได้แต่บอกเธอ "ขอเว้นพูดคุยสักเดือนหนึ่งนะ เอาไว้เธอสงบกว่านี้ ค่อยคุยกัน" ป่วยการที่จะบอกเธอถึงโครงสร้างความสัมพันธ์ของการค้าแยกราชประสงค์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นร้านคูหาเล็กๆ ในห้างใหญ่ เป็นคนชั้นกลางและคนจนมหาศาล คนเหล่านี้อาบเหงื่อต่างน้ำ ทำงานวันละ 2 กะก็ว่าได้ กว่าจะสร้างตนเอง สร้างชีวิตขึ้นมา มีร้านหรือแผงเล็กๆ มีส่วนต่างกำไรต่ำ เพราะขายเอามากเข้าว่า พวกเขาไม่ได้รับบาดแผลจากการปะทะ แต่ถูกทำลายอาชีพการงาน ชีวิตในวันนี้ เหมือนเลือดไหลออกจากตัวไม่หยุดหย่อน ทั้งยังเป็นชีวิตที่แทบไม่มีใครเดินไปหาพวกเขา ไปรับฟังปัญหานานัปการของพวกเขา
ดิฉันรู้สึกว่า ในหมู่เพื่อนมนุษย์ โดยเฉพาะคนไทยเรา ขณะนี้ เต็มไปด้วย "เสียงของความเงียบ" อันหนาวยะเยือก
เหตุการณ์ที่รุนแรงยังคงติดตามมาเรื่อยๆ รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ พรรคการเมือง กลุ่มคนเสื้อแดง องค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ยังคงขับเคลื่อนตนเองต่อไป ผู้คนตัวเล็กๆ ที่ไม่มีปากมีเสียงยังคงไม่ได้รับการเหลียวแล ยังคงถูกจับเป็นตัวประกันต่อไป
รัฐบาลล้มเหลว อ่อนแอ ทหารเป็นรัฐซ้อนรัฐเจ้าเก่า ตำรวจเป็นรัฐตำรวจประเภทใหม่ มีอำนาจตามกฏหมาย แต่ใส่เกียร์ว่าง ปากว่าตาขยิบ ไม่ดูแลชีวิตและความปลอดภัยให้ราษฎร คนเสื้อแดงเป็นอำนาจรัฐแดงใหม่ ยึดราชประสงค์เป็นฐานที่มั่น และมีเขตจรยุทธ์อยู่ทั่วไป โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือ ยึดถนนต่างๆ ตรวจค้นกักกันทหารตำรวจ และประชาชนทั่วไป เรามีรัฐซ้อนรัฐเต็มไปหมด นักวิชาการถ้าไม่เอาใจคนเสื้อแดง ก็เลือกข้างรัฐบาล สื่อก็เลือกข้าง และไม่เหลียวแลผู้คนรากหญ้าในภาคส่วนต่างๆ
ผู้คนถูกดึงดูดเข้าร่วมฝ่ายต่างๆ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ข่าวลือต่างๆ ถูกแพร่กระจายมากมาย เพื่อดึงคนที่ยังไม่เลือกฝ่ายให้เข้าร่วม เพื่อให้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันและกัน และเหตุการณ์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นเร็ว จนยากแก่การแยกระหว่างความเชื่อกับความจริง
คนที่ไม่เข้าร่วมฝ่ายต่างๆ ถูกข่มเหงรุนแรงที่สุด ยิ่งเป็นคนที่ต้อยต่ำเพียงไร ก็ยิ่งถูกข่มเหงรุนแรงเพียงนั้น และไม่มีใครใยดี เหมือนคนเหล่านี้ไม่ใช่มนุษย์
"หันหน้ากันคนละทาง สร้างดาวกันคนละดวง ช่วงชิงไปสู่สวรรค์ ใครไม่ทันเป็นคนหลงทาง"
"ถ้าฉันทุกข์ยากคับแค้นแล้ว คนอื่นก็อย่าหวังจะมีความสุข"
คนที่หลงเข้าไปในโลกการเมือง จะโดยเลือกเองก็ตาม จะโดยถูกผลักให้ต้องเลือกก็ตาม นับวันจะหันด้านดีเข้าหากันได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนับวันผู้คนก็ยิ่งถูกพวกเฟืองตัวใหญ่ที่ร้ายกาจ ครอบงำและผลักให้ทำร้ายกันและกัน เพียงเพื่อแย่งอำนาจและผลประโยชน์กัน
...
แล้วดิฉันก็เดินเข้าสวนครัวกระแบะมือของดิฉัน คุยกับต้นไม้ใบหญ้า เฝ้ามองนกกินปลีที่มากินน้ำหวานดอกไม้ เก็บตำลึงเข้าบ้าน รับข้าวต้มมัดที่เพื่อนบ้านส่งข้ามรั้วมาให้ เราเป็นแค่คนเล็กน้อยในแผ่นดิน ซึ่งรับผลกระทบในวงที่ห่างออกมาสักหน่อย และต่างเป็นอิสระพอที่จะปรับทุกข์กัน รับฟังกัน การเมืองจึงไม่ได้เข้ามาตอกลิ่มในความสัมพันธ์นี้
และในโลกธรรมชาติรอบตัวเรา ยังคงเต็มไปด้วย ธรรมคีตา เคยไพเราะ กำซาบใจอย่างไร ก็ยังคงอย่างนั้น
ในนาทีนี้ ดิฉันจึงไม่รู้จะเอา "ประชาธิปไตย"ไปทำไม เมื่อในความสัมพันธ์พื้นๆ เล็กๆ ที่ปราศจากการเมือง ยังคงมีความเมตตา เกื้อกูล และอาทรกัน ดำรงอยู่
Create Date : 02 พฤษภาคม 2553 Last Update : 2 พฤษภาคม 2553 12:25:22 น. ......
ขอโทษชาวไร้สังกัดด้วยนะคะ ถ้าคห.นี้พาดพิงการเมือง และจะนำเรื่องการเมืองเข้าห้องไร้สังกัด ก็กดลบได้ค่ะ
จากคุณ |
:
oDaineo
|
เขียนเมื่อ |
:
26 พ.ค. 53 07:49:20
|
|
|
|
 |