ความคิดเห็นที่ 1 เป็นกระทู้ที่น่าสนใจครับ ก็เลยไปหาข้อมูล ตอนนี้ได้มานิดหน่อยครับ ก่อนอื่น คณะนี้ชื่อ คณะทัศนมาตรศาสตร์ (หมอสายตา) ครับ "ปริญญาทัศนมาตรศาสตร บัณฑิต  (Doctor of Optometry, O.D.) เป็น บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตรที่มีความชำนาญเฉพาะใน การแก้ไขอาการทางสายตาที่เกิดจากสภาพของร่างกายหรือของตา หลักสูตรใช้เวลาการศึกษารวม 6 ปีการศึกษา" ข้อมูลเริ่มต้นที่ได้มา คือ ที่นี่ ครับ http://old.dek-d.com/board/view.php?id=1493667 จากคุณ : Jacky Andersen เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 10:45:27

ความคิดเห็นที่ 2 "ประวัติศาสตร์ของสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ (Optometry) สามารถกล่าวย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของม นุษยชาติจนถึงยุคโบราณจากความไม่รู้เรื่อย มาสู่วันนี้ที่สาขาวิชา Optometry ยุคใหม่ได้มาถึงประเทศไทยโดยมีจุดเริ่มต้น ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงตามหลักสูตรทัศนมาตรศาสตรบัณฑิต (Doctor of Optometry) ในที่สุด" เดี๋ยวครับ...ก็ยังสงกะสัยเหมือนกันว่า ทำไมท่านใช้ชื่อวุฒิในภาษาอังกฤษว่า "Doctor of Optometry" จากคุณ : Jacky Andersen เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 10:57:46

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณคุณ Jaky คะ ,,, แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่ง..งง.. น้อ เอาเป็นว่าไปตรวจตากับจักษุแพทย์ที่มีคำว่า พช. รึ พญ. นำหน้าท่าจะปลอดภัยกว่าคะ ส่วน "ดร.หมอตา" ต้องขอบายๆ ล่ะคะ >,< จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 10:58:22

ความคิดเห็นที่ 4 เค้าบอกว่า เป็นปริญญาขั้นสูงสุดทางด้านสายตาและการมองเห็นคะคุณ Jacky เลยเทียบเท่าขั้น ดร. หรือ "Doctor of Optometry" ยิ่งทำให้ข้องใจว่าทุกวันนี้จักษุแพทย์ต้องใช้เวลากว่า 10 ปี ถึงจะคว้าคำว่า ดร. มาครองได้คะ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 11:00:57

ความคิดเห็นที่ 5 OK น่าจะพอได้แล้วครับ "ในปี พ.ศ. 2544 มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยอินเดียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ในการร่างหลักสูตรทัศนมาตรศาสตรบัณฑิตหรือ DOCTOR OF OPTOMETRY (O.D.) เพื่อให้เป็นหลักสูตรของผู้ประกอบโรคศิลปะที่สามารถให้บริการทางการแพทย์ด้านทัศนมาตรศาสตร์อย่างครบวงจรและสามารถให้บริการทางการแพทย์ในลักษณะของ Primary Care ทางด้านจักษุวิทยาด้วย ปี พ.ศ. 2545 หลักสูตรทัศนมาตรศาสตรบัณฑิตเปิดรับนักศึกษารุ่นแรกซึ่งจบการศึกษาจำนวน 5 คนและได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้ได้รับอนุญาตประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตรภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 ทั้งหมด นับได้ว่าหลักสูตรทัศนมาตรศาสตรบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นหลักสูตรแรกของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการผลิตผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาทัศนมาตรอย่างแท้จริง" http://thai-pbs.hi5.com/friend/p446787161--คณะทัศนมาตรศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยรามคำแหง_at%20Ramkhamhaeng%20University--html Doctor of Optometry หรือ O.D.  น่าจะเหมือน หรือ ทำนองเดียวกันกับ Doctor of Medicine หรือ M.D. หรือ แพทยศาตร์ ครับ ไม่ใช่ Ph.D. หรือ Doctor of Philosophy หรือ ปริญญาเอก .... คงเพราะ เป็นภาษาไทย น่ะครับ จากคุณ : Jacky Andersen เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 11:04:29

ความคิดเห็นที่ 6 5555 ภาษาบ้านเรากำกวมเองนั่นเอง ขอบคุณมากคร้า ,,, แหกตาชาวบ้านเค้าต่อไป "ดร.หมอตา" จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 11:09:22

ความคิดเห็นที่ 7 จักษุแพทย์ น่าจะเป็น แพทย์สาขาที่ต้องจับต้อง (แหกตา) ผู้ป่วยโดยตรงนะครับ เพราะ ต้องทำหน้าที่ "รักษา" อาการที่เกิดกับ นัยตา หรือ ลูกนัยตา หรือ ระบบการมองเห็นของผู้ป่วย ส่วน ผู้ที่สำเร็จมาทาง สาขาทัศนมาตรศาตร์ นั้น งานของท่านน่าจะใช้เครื่องมือกับ "นัยตา" เช่น การตรวจ วัดสายตา การจัดการกับอาการสายตายาว สายตาสั้น ตาเอียง แล้วนำข้อมูลมาประกอบแว่นสายตามากกว่าครับ ในสังคมไทย ผู้ที่ให้การรักษา เราก็เรียกขานท่านว่า "คุณหมอ" กันทั้งนั้น เพราะ ท่านมาช่วยเรา คุณหมอ  คือ นายแพทย์ (M.D.) ส่วน  จักษุแพทย์ คือ แพทย์ที่เรียนต่อทางจักษุ (ทำ Board) หรือเราก็เรียกว่า หมอตา ที่นี้ คนจะเป็นหมอ ตามกฎหมาย ต้อง ได้ใบประกอบโรคศิลป์ จากกระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่เรียนจบทาง ทัศนมาตรฯ  ก็ได้ใบประกอบโรคศิลป์  ก็เลยเรียกท่านว่า  คุณหมอ  ไปด้วย จะเรียกว่าอะไรดี  คงยังไม่มีการบัญญัติศัพท์  ก็เลยหยวนๆ กันไปว่า เป็น  หมอตา  ละกัน จากคุณ : Jacky Andersen เขียนเมื่อ : 10 ต.ค. 53 11:39:32

ความคิดเห็นที่ 8 ฟังข้อมูลมาเหมือนกัน อัพเดตๆคะ อินเดียนน่าไม่ได้ร่วมมือต่อสัญญากับ ทํศนมาตที่รามแล้ว (แต่ไม่เคยประกาศบอก) เพราะนศไทยส่งไปรับทุนที่นุ้น เกณฑ์ไม่ถึง มาตรฐานไม่ถึง ประมาณนี้ ที่นุ่นเลยไม่ร่วมมือต่ออีก เหมือนประมาณว่า ทางอินเดียนน่าเหนื่อยเพลียกับหลักสูตรที่นี่หรืออย่างไรประมาณนี้ ฟังมาอีกว่า ข้อสอบเข้า อย่างไรก็เข้าได้อยู่แล้ว คนอายุ 30 -40 ก็สอบเข้าผ่าส เพราะค่าเทอมแพง คนเรียนแต่ละรุ่นสิบกว่าคนเอง นศ ลอกข้อสอบกัน(วงในเล่า) ลอกจนเป็นเรื่องปกติธรรมดาและค่าเรียนแพง ยังไม่น่าเชื่อถื อ ถึงจะโฆษณาว่าสอบใบประกอบได้ แต่เชื่อว่าในอนาคตอีกหลายๆมหาลัยต้องมีเปิด และสอบใบประกอบโรคได้เช่นกัน เค้าบอกว่าที่รามยังได้ ที่อื่นๆก็เปิดได้ รอเรียนกับมหาลัยที่มีคณะอื่นๆพวกแพทย พยาบาล เภสัช อย่างนี้จะดีกว่า น่าเชื่อถือกว่า จะได้ไม่เจอหลักสูตรแปลกๆใครจะไปรุ้พวกหลักสูตรหาเงนิ พยาบาลก็เคยมีมาแล้ว คนเรียนไปสองปีหลักสูตรไม่ผ่าน ปิดไปดื้อๆ  ต้องดูสถาบันด้วย ว่าจริงๆเป็นอย่างไร อย่าเชื่อแต่ที่เค้าพยายามบอก ต้องหาข้อมูลรอบด้าน  โฆษณาอะไรก้อว่าไป แต่วันนึงพอเรื่องแดงหลักสูตรไม่ผ่าน ปิดไปสะงั้น คนซวยก้อคือคนเรียน ที่ทำอะไรไม่ได้ อีกอย่าง ค่าเรียนแพงมากด้วย เรียนหมอดีกว่า จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 53 01:46:59

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณ ,,, คุณคุยด้วยนะมากคะ กระจ่างชัดไปปอีกขั้นนึง เรื่องของแวดวงการศึกษาไทยยังมีเรื่องกำกวมอยู่มาก แพทย์เฉพาะทางด้านสายตาเราก็มีกันอยู่แล้ว ก็น่าจะเจาะจงไปเลยคะ รึจะเป็นผู้ช่วยแพทย์ก็น่าจะระบุไปเลยดีก่า ,,, เป็นคณะที่กำกวมแบบนี้ ก็งงเหมือนกันคะ ว่าจบมาทำงานอะไรได้ ออกไปช่วยชุมชนตรวจสายตาแล้วชุมชนก็มีแต่ชาวบ้าน บางที เป็นต้อเนื้อ ต้มลม ต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่"หมอตา"ประเภทนี้ไม่สามารถผ่าตัดตาได้ ???? เฮ้อ สงคมไทย จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 12 ต.ค. 53 11:49:12

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นวิธีการหารายได้อีกวิธีหนึ่งของสถาบันการศึกษาที่ไม่มีความรับผิดชอบ จากคุณ : phahurat เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 08:53:45

ความคิดเห็นที่ 11 ค่าเทอมคงแพงมากจริง ๆ >,< จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 14:09:15

ความคิดเห็นที่ 12 ค้นหาข้อมูลต่อ แพงมากจริงๆคะ 2,000,000 บาท/คน รัฐบาลสนับสนุน เหลือออกค่าใช้จ่าย 7-8 แสนบาทต่อคนต่อหกปีคะ ,,, อ่านแล้วตกใจ เลยลองไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมในเวบคณะเค้ามี เหมือนเวบบอร์ด ร้างมากกว่าคะ ไม่มีข้อมูลที่เป็ยสาระ อัพเดตในปัจจุบันเลย จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 14:38:54

ความคิดเห็นที่ 13 http://www.pantip.com/cafe/isolate/topic/M9798277/M9798277.html#6 แตกประเด็น เป็นข้อมูลเพิ่มเติมคะ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วจะทราบความจริงเพ่ิม ข้อมูลที่กล่าวมาจริงทั้งนั้นคะ ไม่ได้โจมตี อยากให้คนในสังคมรับรู้ ว่าหลักสูตรต้องควรพิจารณาไตร่ตรองดูให้ดีๆ ก็ถือว่าแลกเปลี่ยนข้อมูลสู่กันฟังนะคะ จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 16:47:18

ความคิดเห็นที่ 14 พูดง่ายๆว่าคุณแอบอิจฉาเขาหรือเปล่า และบางทีเพื่อนคนก็อาจจะโอ้อวดเกินไป เลยทำให้คุณอยากสืบให้ได้ว่าคณะนี้เรียนยังไง และจากการที่บอกว่ามีการ ลอกข้อสอบกัน นั้นแสดงให้เห็นว่า คุณไม่มีทางจะรับคณะนี้เด็ดขาด เหมือนคุณมีอะไรบางอย่างที่ฝังใจ อาจจะไปสอบกับเพื่อนแล้วไม่ได้ หรือไม่มีเงินเรียนอย่างไรก็ไม่ทราบ เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเบื้องต้น ด้วยความเคารพ ไม่มีอคติใดๆ จากคุณ : GazaBo เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 18:43:15

ความคิดเห็นที่ 15 คนที่สอบเข้า รับหมดทุกคน ไม่ต้องกลัวว่าจะเข้าไม่ได้...ไม่ได้จบสายวิทย์ก็เรียนได้ แต่เข้าไปจะเรียนจบหรือไม่ขึ้นกับแต่ละคน ถ้าอ่อนก็ต้องเข้ากลุ่มซิกแซก ลอกข้อสอบ จะได้ผ่านไปด้วยดี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ได้โจมตี ฝังใจอะไร ไม่ใช่คนแบบนั้น แค่นำเสนอมุมหนึ่งให้สังคมได้รู้ คนมากมายที่บ้านสนับสนุนให้ลูกได้รับการศึกษา ยอมเสียเงินเท่าไรเท่ากัน แต่ก็เป็นสิทธิที่จะเลือกหลักสูตรที่ดีที่สุด ต้องพิจาณาไต่รตรอง จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ส่วนตัวเราไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ก็ถ้าจะเป็นมุมมองว่าเราไม่มีเงินเรียนแล้วอิจฉาหรือเปล่า ต้องออกตัวก่อนว่าไม่ใช่   แค่มาเจอคนที่มีความเห็นคล้ายกัน รู้สึกคล้ายกัน ก็เลยนำสิ่งที่รู้ มาเป็นข้อมูลเพิ่ม เพื่อที่จะได้ไม่ต้อง งง สับสน จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 53 19:46:00

ความคิดเห็นที่ 16 บอกตรง ๆ เลยคะ ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคนที่เรียนคณะนี้ (ไม่เคยทราบว่ามีอยู่ในประเทศนี้ด้วย) จนคุยกะคนๆนี้ คุยกันแค่ผ่าน MSN คะ ,, ติดต่อกันมา 1 ปีแล้ว(คุยกันดีคะ) และเป็นเรื่องจริงที่พอทราบถึงคำว่า ดร. แล้วก็เลยเสาะแสวงหาความเป็นจริง เพราะไม่ทราบว่ามีเรื่องราวแบบนี้ในประเทศไทยเราด้วย แต่อิจฉาไม๊ ไม่หรอกคะ,,,ในเมื่อเอาค่าเทอมแลกขนาดนั้น ก็ต้องยอมล่ะคะงานนี้ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 16:24:32

ความคิดเห็นที่ 17 และที่ไม่อิจฉาเพราะว่า เงินเดือนของแอร์โฮสเตท คงไม่น้อยหน้าหมอตากลุ่มนี้ และดิฉันเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐบาล เอนทรานซ์เข้าปกติคะ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 16:55:49

ความคิดเห็นที่ 18 มีข้อมูลเยอะ เพราะมีคนรู้จักที่รู้จักวงการนี้ รู้จักคนในนั้น ได้คุยกันบ่อย แลกเปลี่ยนข้อมูล ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ว่ากันไป เป็นวิจารณญาณของแต่ละคน ที่รู้มา ในแต่ละปีจะมีคนที่เข้ามาเรียน แล้วก็ตัดสินใจไม่เรียน ( อาจจะทุกปีอันนี้ไม่แน่ใจ ต้องสอบถามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ค่อยมีการบอก ว่ามีคนเข้าไปเรียนแล้วก็ตัดสินใจออกไป คงเกี่ยวกับเรื่องภาพลักษณ์ส่วนหนึ่งด้วย ว่าทำไมนศ.อยู่ได้แค่ครึ่งเทอม หรือ เทอมเดียว แล้วก็ตัดสินใจออก เป็นเพราะอะไร จะว่าเรียนไม่ไหว ก็คงต้องลองเรียนนานอยู่เป็นปี2 ปี3ปี ถึงจะรู้ว่าเรียนไม่ไหว ไม่ใช่แค่เวลาไม่นานก็ตัดสินใจออก) แต่มีคนหนึ่งรู้จักสนิทกัน เรียน ม.รัฐ จบเกรดดีเยี่ยม เค้าตัดสินใจไม่เรียนต่อเพราะรับไม่ได้กับความไม่พร้อมของระบบ หลักสูตรอินเตอร์(ในชื่อม.รัฐ)ที่ลอกกันกระจาย เหมือนสร้างภาพขายหลักสูตร อะไรประมาณนี้ จะมองว่าเค้าเรียนไม่ไหวหรือเปล่าก็คงไม่ใช่ เค้าบอกเรียนได้ง่ายๆสบายๆ เกรดก็ได้ดีอยู่  มีบางวิชาที่ติดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงคะแนนไม่ดี ทั้งๆที่เขียนข้อสอบ7 หน้า แต่คนที่เขียน 3-4 หน้า จาก 8 หน้า กลับได้คะแนนดีกว่า แต่เค้าก็ไม่อยากตั้งแง่อะไร คิดว่าอาจจะเขียนตรงใจอจ.ก็ได้ อจ.ไม่ได้มองในแง่ของความพยายามในการเขียนข้อสอบทั้งหมด อจ.มองว่าเขียนไม่ครบถ้วนแต่ตรงใจอย่างนั้นหรือเปล่า (แต่ก็น่าสงสัยว่าทำไมจะตรงใจได้ขนาดนั้นจัง เขียนข้อสอบครึ่งเดียว น้อยไปไม๊ หรือว่าอจ.ใช้ความรู้สึกส่วนตัว ทัศนคติส่วนตัวในการช่วย ให้คะแนนนศ.หรือเปล่า) เคยมีกรณีนศ.ร้องเรียนอจ.ว่าคะแนนไม่ดีขขอดูข้อสอบ แต่ว่าอจ.(ทำหน้าไม่พอใจ หรือว่าเป็นคนหน้าตาแบบนั้นอยู่แล้วหรือเปล่า อันนี้ไม่ทราบ ไม่ออกความเห็นละกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นใส่สีตีข่าว)  และใช้เวลาการเรียนการสอนไปเกือบ 2 ชม.จาก 3 ชม. เอาขอ้สอบของนศ.คนนั้นมาให้ดูตามที่ขอดู แต่นศ.คนอื่นเห็นกันหมด อย่างนี้ถือว่าเหมาะสมหรือไม่ การขอดูข้อสอบเป็นสิทธฺของนศ. และควรจะเป็นในสถานที่ค่อนข้างส่วนตัว ไม่ใช่ในเวลาเรียนที่นศ.คนอื่นต้องเสียเวลาเรียนไปด้วย และทำแบบนี้เหมือนเป็นการทำให้นศ.คนที่ขอดูข้อสอบ เสียหน้าทำให้ได้อาย ว่าทำสอบไม่ได้แล้วมาหาเรื่องอจ. ซึ่งเรื่องจริงแล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่อจ.มีอคติ มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับนศ. ก็เลยมองข้ามส่วนถูกที่ต้องไป ไม่ให้คะแนน มองแต่ในตรงส่วนที่หักคะแนนได้อย่างเดียว  แต่อันนี้ไม่ขอวิจารณ์ อาจจะเป็นวิชาที่คล้ายกม. หรืออะะไรทำนองที่ว่าผิดนิดเดียวก็ให้ 0 เลย ตรงอืนแม้จะถูกต้องก็ไม่มอง ก็เป็นปัญหาของคนที่ตั้งใจเรียนโดยไม่ลอกข้อสอบไป จะหินมาก ผ่านยาก ทั้งที่หลักสูตรให้คนที่ไม่ได้จบสายวิทย์เรียนได้ ก็น่าจะเข้าใจว่าพื้นฐานนศ.ต่างกันและจะคาดหวังให้ผลสอบออกมาเท่ากับคนเรียนวิทย์ ในช่วงเวลาเรียนแต่ละเทอม คงเป็นไปได้ยาก นศ.ต้องมาใช้วิธีเอาตัวรอดกันเองโดยการลอก ใครรับไม่ได้ก็เสียเงินเรียนใหม่กันไปเอง เห้อ เหนื่อยใจประเทศไทย หลักสูตรอินเตอร์  ว่าแล้วว่างๆจะเอากรณีอจ.กับนศ.แบบนี้ แตกกระทู้ต่อ อยากทราบความเห็นแต่ละคนจะมองอย่างไร :) จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 18:33:34

ความคิดเห็นที่ 19 Good job คะ เป็นประเด็นที่น่าสนใจจริงๆ ดิฉันเรียนภาคปกติ ลอกก็ไม่ได้,, ข้อเขียนบานกระจุย กว่าจะจบเลือดตาแทบกระเด็น ,,, ขอบคุณความยากที่ทำให้เราผ่านทุกอย่างได้คะ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 22:05:26

ความคิดเห็นที่ 20 http://www.ihs.ru.ac.th/main02/ihs1/Optometry2.htm จากคุณ : GazaBo เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 22:13:07

ความคิดเห็นที่ 21 http://www.opt.indiana.edu/programs/interntl/thailand.htm จากคุณ : GazaBo เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 22:18:17

ความคิดเห็นที่ 22 www.thaiod.com จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 14 ต.ค. 53 23:00:22

ความคิดเห็นที่ 23 http://www.ihs.ru.ac.th/main02/ihs1/Optometry2.htm อ่านดูใน Agreement Between Ramkhamhaeng University And Indiana University School Of Optometry สัญญาทำเมื่อปี 2001 และช่วงท้ายต่อจากข้อ 6 ระบุว่า The agreement shall remain in effect for an initial period of 5 yrs unless either U. gives a 1 yr notice of intent to discontinue. At the end of 5 yrs the agreement will be re-evaluated นี่ก็ปี 2010 ซึ่ง Indiana ไม่ได้ต่อสัญญาความร่วมมือแล้ว แต่ไม่ทราบว่ายกเลิกไปตั้งแต่เมื่อไหร่  เพิ่งอ่านเจอ แสดงว่าเป็นจริง จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 53 00:47:43

ความคิดเห็นที่ 24 http://www.thaiod.com/forum.php?mod=viewthread&tid=444&extra=page%3D3 => อันนี้เป็นข้อมูลของนักเรียนที่เรียนสายศิลป์, ปวช. จะขอเข้ารับการศึกษาในสาขานี้คะ ถ้าสอบเข้าเรียนได้ก็ถือว่าเก่งคะ เข้าได้ไม่ได้เท่าทนเรียนจนจบได้อ่ะเนอะ ต่างกับข้อสอบของแพทย์เป็นข้อสอบกลางที่ต้องประชันความรู้กันทั้งประเทศ ส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ของทางคณะนี้คะ เป็นไปตามที่คุณ คุยด้วยคนนะบอกจริงๆ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 53 09:33:05

ความคิดเห็นที่ 25 อย่าภูมิใจที่หลอกคนอื่นได้สำเร็จ เพราะมันต้องแลกมากับการเป็นคนที่ด้อยคุณค่าของตัวคุณเอง ~ท่านว.วชิรเมธี~ จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 15 ต.ค. 53 13:42:00

ความคิดเห็นที่ 26 เค้าบอกว่าคนเรียนศิลป์ ไม่มีพื้นฐานวิทย์ไปสอบ ก็รับหมด ผ่านหมด ไม่มีใครตกสักคนเป็นข้อสอบกากบาท ไม่มีข้อเขียน ที่ม.เปิดสอบเอง (บางคน งง ขนาดกามั่วๆยังผ่าน สอบเข้าได้สะอย่างนั้น) ว้าวๆๆ สงสัยจ่ายแพง เลยออกข้อสอบให้ง่ายๆหน่อย  น่าไปลองสอบเข้าให้ได้เล่นๆเนอะ ให้ได้โปรไฟล์ว่าสอบติด ดอกเตอร์ แต่ไม่เรียน หุหุ กลัวจบมาหัวสูง ต้องทำงานเงินเือนเยอะ ทดแทนค่าเรียนที่จ่ายไปเยอะ  ไม่งั้นน้อยหน้า เสียชื่อ หมด อุตส่าห์เสียเงินทอง ร่ำเรียนกัีนเสียขนาดนี้  ลำบากประชาชน ต้องไปจ่ายค่ารพ. เจอคนเก่งก็ดีไป แต่ถ้าพวกจบมาไม่ได้มาตรฐาน เสียทั้งเงิน ทั้งความรุ้สึกแน่ อย่างว่าแหละนะทุกวงการมีหมด ขนาดหมอบางรพ.ก็มีข่าวว่าชอบเลี้ยงไข้ รักษาหมดไปเท่าไร ไม่หายสักที  เห้อ... จากคุณ : คุยด้วยคนนะ เขียนเมื่อ : 16 ต.ค. 53 01:55:38

ความคิดเห็นที่ 27 อ้าวหรอ คนรู้จักที่เรียนบอกว่า 21 นี้จะได้เรียนกับอ.ฝรั่งอีกวิชาแล้วอะ อินเดียน่าไม่สนับสนุนยังไงหว่า? ผมไม่รู้นะ แต่เป็นผม ผมจะฟังความหลายๆฝ่าย ไอ้คำว่า ได้ข่าวว่า จากเม้นบนๆนี่น่าเชื่อถือจังเลยนะครับ ผมก็ยังอยากฟังจากผู้รู้จริงๆอะ รอเขาเข้ามาตอบละกัน จากคุณ : ได้ฟังมาคนละแบบ เขียนเมื่อ : 2 พ.ย. 53 23:28:36 A:125.24.101.191 X: TicketID:294091

ความคิดเห็นที่ 28 คุณได้ฟังมาคนละแบบ ลองอ่าน คห. 23 ดูนะคะ พอจะมีข้อมูลตรงนี้อยู่คะ,,ในเรื่องของการต่อสัญญากะมหาวิทยาลัยอินเดียน่า จากคุณ : WaLLiiE เขียนเมื่อ : 3 พ.ย. 53 17:15:14