ถ้าเดินทางไปประเทศข้างเคียงที่มีความเจริญทางเศรษฐกิจ จะพบว่า ความเป็นอยู่ของผู้คนแบบ สังคม-เมือง ชีวิตวุ่นวายจอแจอยู่ในตัวเมือง
วิถีชีวิตของชาวเมืองเป็นไปแบบ... ต่างคนต่างอยู่ (ในตึกสูง) ... ตัวใครตัวมัน ตื่นเช้าทุกคนต่างเร่งรีบ รีบเดินกันวุ่นวายราวกับเป็นฝูงมด รีบไปทำงาน .... จนเกิดความเคยชิน และในที่สุดก็ ขาดการ สื่อสาร-ด้วยปาก
สังคมเป็นแบบนี้ ..
-เดินสวนกัน ต่างคนต่างเมินหน้า ไม่มีการมอง+แจกรอยยิ้มให้กัน ไม่มีคำทักทายให้กัน ..
-เด็กๆ จะขึ้นรถเมล์ + รถไฟฟ้า ไปไหนๆ เมื่อเดินไปถึงป้ายรถุเมล์ จะถามทาง ก็ถามไม่เป็น .... บางคนและหลายคน ก็ไปเฝ้าหน้าจอ ทำตัวเป็นสิงห์ดีบอร์ด ถามเส้นทางกันทางเน็ตฯ
ผมอาจโชคดีที่เป็นเด็กบ้านนอก สังคมบ้านนอก หรือ สังคม-ชนบท ผู้คนรู้จักกันทั้งหมู่บ้าน หรือ ทั้งเมืองก็ว่าได้ ครั้งที่เพื่อนสนิทจากเมืองกรุง ไปเที่ยวบ้านผม ผมบอกให้ถามหาบ้านคุณพ่อ ถามคำเดียว เพื่อนก็ไปยืนกดกริ่งหน้าบ้านได้ ง่ายๆ
ผมไประนอง ถามหาบ้าน "ม้า-จี่" ซึ่งเป็นชื่อพี่ชายของเพื่อน รถสองแถวก็ร้องอ๋อ
พอผมไปตกระกำลำบากใช้ชีวิตต่างแดน ผมก็จดจำชีวิตบ้านนอก เอาวิถีชีวิตบ้านนอกไปใช้ นั่นคือ ถามเขาไปเรื่อย .... คุณย่าได้ยินคำนี้ คุณย่าแอบอมยิ้มแล้วเล่าคนอื่นว่า หลานชายคนนี้ไปแบบหอย คือ ไปด้วยปาก
ผมอาจโชคดีซ้ำสอง ที่ประเทศเยอรมันสังคมเขาดี, ดีมาก ตรงที่ประเทศเขาเจริญทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม กฏหมายสังคม กฏหมายครอบครัว เป็นลักษณะกฎหมายที่ดี (กฎหมายครอบครัวของไทย ก็เอาแบบเยอรมันมาใช้)
สังคมของเยอรมัน เป็นสังคมรวม ระหว่างสังคมเมืองกับสังคมชนบทเข้าด้วยกัน
สังเกต... เมื่อเราถามหาใคร หรือ ถามเส้นทาง
เราถาม 1 คำ คนเยอรมันจะตอบ 10-20 คำ เต็มใจอธิบายอย่างละเอียด บ่อยครั้งที่เขาเดินไปส่งถึงมุมตึก บางครั้งจะพาไปส่งถึงที่
เวลาเช้าๆ ผมเดินสวนกับใคร ทั้งคนรู้จักและไม่รู้จัก จะต้องกล่าวคำ สวัสดี + รอยยิ้มให้กัน
เวลาขึ้นรถเมล์ รถราง ผู้ใหญ่เห็นเด็ก ซุกซน เล่นเสียงดัง ผู้ใหญ่จะตักเตือนทันที ไม่มีการนิ่งเฉย เขาให้ความสำคัญกับ ลำดับอาวุโส (ญี่ปุ่นก็เช่นกัน)
ความทรงจำดีเป็นความประทับใจมาตลอด ผมอยากให้สังคมของเราเป็นอย่างนี้บ้าง 