Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ชีวิตระหว่างสงคราม (๔/๑) ติดต่อทีมงาน

ย้อนอดีต

ชีวิตระหว่างสงคราม

ตอนที่ ๔/๑

เมื่อเข้าสู่ภาวะปกติก็คืออยู่ระหว่างสงครามตามเดิม ผมเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๓ ทางราชการเห็นว่าหยุดเรียนกันหลายครั้ง เลยอนุโลมให้สอบไม่ต้องถึง ๕๐ % ก็เลื่อนชั้นได้ ดูเหมือนจะเป็น ๓๕ % จำไม่ได้แน่ ผมจึงเลื่อนขึ้นไปเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๔ เลิกเป็นลูกเสือ แต่ได้เป็นยุวชนทหาร ปีที่ ๑ เริ่มฝึกแบบนักเรียนรักษาดินแดนเดี๋ยวนี้ เครื่องแต่งกาย เสื้อกางเกงขาสั้นสีกากีแกมเขียวแทนเครื่องแบบลูกเสือ ไม่มีผ้าพันคอ ปกเสื้อติดเครื่องหมายเหล่าทหารราบ คือปืนเล็กยาวไขว้กับตับกระสุน อินทรธนูติดเลข ๑ ตามชั้นปีของตน สวมหมวกแก็ปทรงหม้อตาลเหมือนทหาร มีผ้าพันขอบหมวกสีแดง ตราหน้าหมวกเป็น  อุนาโลมประกอบตัวหนังสือ รักชาติยิ่งชีพ เลียนแบบทหารที่มีอักษรว่า สละชีพเพื่อชาติ

ขณะนั้นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๖ เป็นยุวชนปีที่ ๓ แล้ว เราเพิ่งเริ่มฝึกท่ามือเปล่าและท่าอาวุธ ด้วยปืนเล็กยาวโบราณที่ปลดประจำการไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็น ปลย.๔๕ คือเริ่มใช้เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๕ เราฝึกกันที่สนามของโรงเรียนโดยมีครูเป็นนายสิบ และผู้ควบคุมการฝึกเป็นร้อยโท ท่านแต่งเครื่องแบบทหารสวมท็อปบู๊ทสง่างามมาก  ตัวยุวชนทหารเองก็ดูขึงขังมิใช่น้อย

เด็กลูกเสือจะมองเราอย่างนับถือ  เพราะยุวชนทหารมีชื่อเสียงมาก เมื่อต่อสู้ต้านทานทหารญี่ปุ่น ที่ยกพลขึ้นบกจังหวัดปัตตานี และยุวชนทหารก็ต้องทำความเคารพด้วยการวันทยาหัตถ์ ต่อทหารและตำรวจตั้งแต่นายสิบขึ้นไป

กระดุมเม็ดบนที่ติดลูกกระเดือกซึ่งเพิ่งโผล่ ห้ามปลดออกแบะอกเป็นอันขาด

เมื่อย่างเข้า พ.ศ.๒๔๘๖ แม่บันทึกเรื่องงานวันของแม่ ซึ่งน่าจะเป็นวันแม่ครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๖

วันนี้เป็นวันครบรอบปีที่ตั้งกระทรวงสาธารณสุขขึ้น จึงมีงานฉลอง คือ

๑.เลี้ยงพระและเลี้ยงแพทย์ในกระทรวง และมีงานเล่นเบ็ดเตล็ด

๒.มีงานวันของแม่ที่สวนอัมพร เลี้ยงของว่างแก่แม่และเด็ก แจกของเล่นแก่เด็ก มีการประกวดสุขภาพของแม่ และมีการแสดงเบ็ดเตล็ดอีกหลายอย่าง ไม่ต้องเสียค่าผ่านประตู แต่ต้องแต่งกายสุภาพตามวัฒนธรรม (ผู้หญิงต้องนุ่งกระโปรงหรือผ้าซิ่น สวมหมวก) ค่าโดยสารรถยนต์เรือยนต์ลดครึ่งราคา แต่ต้องมีบัตรประจำตัว คือไปขอเจ้าหน้าที่ก่อนวันงาน

ฉันเองไม่นึกสนุกจึงไม่ไป แต่อยากให้ลูกไปสนุกกับเขาบ้าง จึงสั่งให้ลูกชายไปเที่ยวตอนบ่าย เมื่อกลับจาก ร.ร. แต่เขาไม่ยักไป

เขาบอกว่าอายกางเกงก้นปะ

ที่ว่าบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ ก็คืออยู่ในภาวะสงครามเช่นเดิมนั่นเอง  ความกลัวภัยทางอากาศก็กลับมาครอบงำจิตใจอีก  ชีวิตประจำวันก็คงเหมือนเดิม แม่ไปสอนนักเรียนที่ ร.ร.ปัญญานิธิ น้องก็ไปเรียนหนังสือกับแม่ ผมก็ไปเรียนและฝึกยุวชนทหารที่วัดราชา  บางทีก็มีหวอกลางคืน บางทีก็กลางวัน จนเกิดความเคยชินขึ้น แม่จึงบันทึกไว้ครั้งหนึ่งว่า

วันเสาร์ ๑๐ เมษ ๘๖ คืนนี้เวลาประมาณ ๑๑ น.มีหวูดอันตรายเกิดขึ้น ต่อมาสักครู่มีเสียงเครื่องบินและเหมือนเสียงปืนแต่ไกลมาก   แล้วก็เงียบ ฉันหลับสบายทั้งสามคนแม่ลูก มารู้สึกตื่นเมื่อเสียงหวูดปลอดอันตราย ที่จริงก็ดีหลับแล้วไม่รู้สึกกลัว ยิ่งตายเมื่อเวลาหลับก็ยิ่งดี จิตใจไม่หวาดกลัว

ชีวิตของแม่ในยามสงคราม คงเศร้าหมองและหดหู่มาตลอดเวลา เพราะการครองชีพที่เพิ่มขึ้น ตามลูกสองคนที่โตขึ้น แต่รายได้น้อยเหลือเกิน แม่เคยบันทึกไว้ว่า เริ่มขออนุญาตกระทรวงศึกษาธิการ เป็นครูตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม ๒๔๘๒ สอนนักเรียนชั้น ป.๑ ได้เงินเดือน ๘ บาท ๑๐ บาท ๑๒ บาทตามลำดับ

พ.ศ.๒๔๘๓ ได้เงินเดือน ๑๕ บาท พ.ศ.๒๔๘๔ ได้เงินเดือน ๑๘ บาท พ.ศ.๒๔๘๕ ได้เงินเดือน ๒๐ บาท พ.ศ.๒๔๘๖ ได้เงินเดือน ๒๕ บาท

แต่เมื่อโรงเรียนปิดเพราะภัยทางอากาศ หรือน้ำท่วม ก็ไม่ได้เงินเดือนตามนั้น ไปขอเงินเดือน แต่ละครั้ง เจ้าของหรือผู้จัดการ ร.ร.ก็ให้มาทีละ ๒ – ๕ บาท รวมแล้วก็ไม่เกินครึ่งของเงินเดือน

ส่วนผมเองมีค่าเลี้ยงดูจากพ่อ ที่บ้านสวนฝั่งธนบุรี เดือนละ ๔ บาท แม่จึงต้องเที่ยวขอยืมแบบไม่มีโอกาสใช้หนี้คืน จากญาติที่สนิท และผู้มีพระคุณ ที่ร้านขายยาหอมบรรทัดคู่มือ หน้าวัดมหรรณพาราม จนท่านยกให้โดยไม่ต้องใช้หนี้

พอถึงเดือนตุลาคม ๒๔๘๖ กระทรวงศึกษาธิการมีคำสั่งให้โรงเรียนสอบไล่ชั้นประถม     ป.๑-ป.๔  ทั้งหมดทุกโรงเรียน แล้วปิดการเรียนตั้งแต่ ๓๑ ตุลาคม ชั้นมัธยมปีที่ ๑-๕ สอบพฤศจิกายน ส่วน ม.๖ คงเรียนต่อไป ผมอยู่ชั้น ม.๔ จึงต้องสอบไล่ก่อน ร.ร.จะปิด ได้เกิน ๕๐ % ไปไม่มาก ถ้าโรงเรียนเปิด ก็จะได้เลื่อนขึ้นไปเรียนชั้น ม.๕ แม่บันทึกเรื่องราวไว้ว่า

พุธ ๑๐ พ.ย.๘๖ วันนี้เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองมาแนะนำว่าให้อพยพ เขาว่าเด็กและคนแก่ควรไป ให้ผู้ชายเฝ้าบ้าน ไปได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น ฉันถามว่า ถ้าไม่ไปจะเอาผิดไหม เขาว่าก็ไม่เอาผิด ดังนั้นเราตกลงว่ายังไม่อพยพ นอกจากจะมีเหตุร้ายแรงจริง ๆ จึงจะไป

อาทิตย์ ๓ ธันว์ หวอมาอีกแล้วคืนนี้ ๒ ครั้ง รวม ๑๑ เครื่อง ชนิดป้อมบินสี่เครื่องยนต์ เขาเคยขู่มาตั้งแต่เดือนตุลาแล้วว่า เครื่องบินของเขาจะมากลางวัน มาอย่างละลอกคลื่นทีเดียว รัฐบาลของเราเลยฉวยโอกาส ประกาศตักเตือนให้ราษฎรอพยพไปอยู่ที่ปลอดภัย นักเรียนในพระนครธนบุรีให้รีบสอบไล่ให้เสร็จภายในเดือน ตุลาคม ส่วนชั้น ม.๖ ชั้นเดียวให้เรียนต่อไป เพราะเป็นนักเรียนรุ่นโต รู้จักหลบหลีกอันตรายได้เอง ส่วนชั้นอื่น ๆ  เป็นนักเรียนเล็ก จะได้อพยพไปกับผู้ปกครอง

เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนต่างก็พากันอพยพไป โดยมากไปอย่างไม่มีจุดหมาย หวังแต่จะหลบภัยชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีหลักแหล่งทำมาหากิน มีแต่ควักเงินออกไปเรื่อย ๆ พอถึงเดือนธันว์ก็ยังเงียบไม่มีหวอ พวกที่ไปจึงพากันกลับบ้านกันหลายราย บ้างมาถึง ๗ วัน ๓ วัน วันเดียว ก็พอดีหวอมา บ้างก็ตาย บ้างก็บ้านพัง น่าอนาถ  

มาคราวนี้เขามีของแปลกมาให้เราชม และทำลายขวัญเราด้วย ทุกทีเมื่อหวอมา ฉันเคยนั่งหรือนอนอยู่ในมุ้ง แต่คราวนี้ต้องวิ่งลงหลุมหลบภัย เพราะตกใจขวัญเสีย สิ่งที่แปลกนี้คือพลุสีแดง ส่องแสงสว่างจ้าราวกับเดือนหงาย เห็นหน้ากันถนัด อ่านหนังสือได้ เขาทิ้งลงมาเป็นระยะ ๆ สว่างไปได้ไกล เช่นทิ้งลงที่บางซื่อ แสงสว่างถึงสามเสน บางคนเพลินชม บางคนวิ่งหนี

การกระทำของข้าศึกนี้ พวกเรารู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำส่งเดช คือเขาเลือกจุดหมายจะทำลายแต่ที่สำคัญ ๆ เท่านั้น หากแต่พลาดจึงไปถูกบ้านเล็กเรือนน้อย ผู้คนตาย เพราะบินสูงลิบสุดระยะปืน และใช้พลุสีแดงส่องดูจุดหมาย เหมาะที่ไหนก็ลงมาทิ้งบอมบ์ แล้วก็บินขึ้นสูงอีก ก่อนนี้เรากลัวหวอเมื่อตอนเดือนหงาย ใจคอไม่สบายไปตามกัน เดือนมืดเราสบายใจ ต่อไปนี้เดือนหงายหรือเดือนมืด ก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ.

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : วันลอยกระทง 53 05:40:11




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com