Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
พ่อมีเมียน้อย แม่เป็นโรค ญาติก็แย่ เพื่อนก็จ้องจะยืมตัง ชีวิตมีอะไรแย่กว่านี้อีก เฮ้อออออออออออออออ !!! ติดต่อทีมงาน

ผมอายุ 24 ปีครับ

ผมไม่รู้จะไประบายความอึดอัดใจอย่างนี้ที่ไหน ไม่รู้จะระบายกับใคร ยังไงขอรบกวนใช้พื้นที่ตรงนี้ระบายความในใจหน่อยนะครับ

ผมขอเล่าเรื่องยาวหน่อยนะครับ เพราะ อยากให้ทราบถึงปัญหา แล้วก็รบกวนขอคำชีิแนะ ขอความคิดเห็นหน่อยนะครับ ผมไม่มีที่พึ่ง ที่ระบายแล้วจริงๆครับ พิมพ์ไปก็เครียดไป น้ำตาปริ่มไป มันอัดอั้นมานาน เกี่ยวกับเรื่อง ครอบครัว คนใกล้ตัว หนำซ้ำชีวิตก็เหมือนจะพังทลายอีก

ตั้งแต่เด็กมา ครอบครัวผมก็ไม่ใช่ครอบครัวอบอุ่นอะไรนัก เกิดมาเป็นลูกข้าราชการธรรมดา สมาชิกมีอยูด้วยกัน สามคน พ่อ แม่ ลูก แค่นี้จริงๆครับ

ผมไม่ถูกกับญาติฝ่ายพ่อ เพราะ เค้าจะเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ (ใครมีญาตินิสัยไม่ค่อยดีจะเข้าใจครับ ) แต่พ่อจะเข้าข้างทางญาติมากๆ อย่างเวลาญาติผมที่อายุไล่เลี่ยกัน เค้าสอบได้ที่นั่นที่นี่ โรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ ทำงานที่นั่นที่นี่ ผมก็จะโดนตีหัวก่อนล่ะ คือ พ่อเค้าจะชอบเอามาเปรียบเทียบอ่ะครับ ว่าทำไมคนนู้นดี คนนี้ดี แล้วก็จะมาซัดผมก่อนประจำ

ผม จะเกลียดพ่อมาก และยอมรับเลยว่ากลัว ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากอยู่ด้วย เคยเจอไหมครับ ที่ตกเย็นมาตั้งแต่ห้าโมงเย็นต้องรีบมาหุงข้าว กวาดบ้าน ถูบ้าน ขัดห้องน้ำ ล้างรถ

หลังจากนั้น ทุ่มนึง ต้องติวหนังสือ

ระหว่างติวถ้าทำโจทย์ข้อไหนไม่ถูกจะโดนตบรูหู โดนตีหัว กระชากหู ถ้าเกรดไม่ดีก็ต้องไปตัดผมให้เป็นทรงหัวเขียง เพราะผมยาว สำหรับพ่อผม เป็นสัญลักษณ์ของคำว่า " โง่ "

หลังจากนั้นสามทุ่ม คือเวลานวดเท้า ถ้านวดไม่ถูกใจจะโดนถีบเข้าเต็มๆหน้า .. นี่เป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องเจอ

ส่วนแม่ผม เค้าจะไม่กล้าห้ามปรามพ่อ เพราะจะกลัวพ่ออีกทีนึง ผมเคยโดนดึงหูจนมันดังวิ๊งๆๆๆๆอยู่ในหัว ทั้งเอาสันหนังสือทุบหัว (เหมือนนรกเลยครับเวลาติวหนังสือ) น้ำตาไหลอาบแก้มทุกวัน มันคือเรื่องจริง ชีวิตจริงในวัยเด็กของผมที่จะโดนอย่างนี้ทุกวัน ตั้งแต่ ป.ห้า ยัน ม.สาม มันคือความน่ากลัว มันคือ " นรก "

ผมเหมือนที่ระบายอารมณ์ของพ่อจากการทำงานกลับมา การติวหนังสือของพ่อสำหรับผม มันเปรียบเสมือนการระบายอารมณ์ของพ่อ เสียงรถยนต์พ่อเข้ามาบ้านเมื่อไร นั่นล่ะ คือเสียงของนรกในวัยเด็กของผม

พอมาตอนม.สี่ ผมอยากเป็นหมอ แต่พ่อไม่ยอมให้เป็น พ่ออยากให้เข้าโรงเรียนนายร้อย

ตอนจะเข้าม.สี่ โชคดีที่ส่วนตัวผมเป็นคนตั้งใจเรียน (ถึงจะดูโง่ในสายตาพ่อที่เวลาเค้าถามเกี่ยวกับคำขวัญประจำจังหวัดใด ผมตอบได้ไม่หมดก็จะโดนด่าว่า " โง่ " )

ตอนนั้นมีโควต้าของรร. มหิดลวิทย์ มาที่โรงเรียน ถือว่าโชคดีมาก

พอประกาศผล ผมได้รอบแรก ดีใจมากก

ตอนนั้นม.สาม รร.บ้านนอกคนนึง ติดได้นี่ถือว่าเป็นที่ฮือฮา แต่แม่กับพ่อไม่เห็นด้วย เพราะเค้าไม่อยากให้ไปไกลๆ มันไกลหูไกลตา แล้วก็บอกว่า เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน จนผมต้องให้ครูมาพูดให้

ตอนนั้นคิดว่า สังคมที่โรงเรียนประจำอำเภอ ทั้งหนังสือ ทั้งการติว การเรียน การสอน มันต่างกัน อธิบายให้เค้าฟังยังไง ก็ไม่ฟัง ร้องไห้ยังไงก็ไม่ให้ไป เคยคิดจะหนีไปเรียนก็ไม่รู้จะไปอยู่ยังไง เข้ากรุงเทพก็ไม่เป็น

รู้สึกเกลียดพ่อกับแม่มาก มันเหมือนกับว่า เรามีโอกาสแต่เค้าปิดกั้น (ทั้งๆที่ โรงเรียนนายร้อยของพ่อถ้าสอบติดก็ต้องไปเรียนไกลเหมือนกัน แต่พอสอบติดมหิดล กลับไม่ให้ไป )

พอขึ้นม.สี่ พ่อก็เลิกส่งเสียผม ทั้งค่าเทอม ค่าขนม (มีบ้างที่ให้ ห้าร้อย พันนึง เป็นครั้งคราว) กลายเป็นหน้าที่แม่ทั้งหมดที่ต้องส่งเสียผม เพราะผมเลือกทางเดินที่จะเป็นหมอ ไม่ใช่ นายร้อย ตามที่พ่อหวัง

ตอนนั้นผมได้ค่าขนมเดือนละ " เก้าร้อยบาท " (รวมน้ำมันรถมอไซต์ กับ ค่ากินตลอดเดือน)

ค่าเทอม สองพันสอง สำหรับโรงเรียนรัฐบาล

แล้วแม่ก็จะบ่นเสมอสำหรับค่าเทอมว่าจะเอาที่ไหนให้ ทั้งๆที่ตอนนั้น เสื้อนักเรียน รองเท้า เข็มขัด ผมใช้มาตลอดสามปีเต็ม ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยบ่น

ผมอยากเรียนพิเศษ ก็ต้องอาศัยยืมพี่สาวทางฝ่ายแม่ มาเรียน เป็นค่าเทอมที่จะนั่งรถไปเรียน อ.อุ๊ ในเมือง เพราะ พ่อกับแม่ ไม่มีเงิน ลำบากมากๆในตอนนั้น ตื่นเช้ามาหนาวก็หนาว ต้องนั่งรถไปตีห้า เข้าเมือง เพื่อไปเรียนตอนเจ็ดโมง แต่ก็กัดฟันว่าต้องทำให้ได้ กลับมาบ้านก็พยายามทบทวน เพื่อนฝูงนี่ก็แทบจะไม่มีเวลาเที่ยวด้วย บางคืนก็นึกอยากเที่ยว นอนร้องไห้คนเดียว เพราะ หลังจากสองทุ่ม พ่อกับแม่จะไม่ให้ออกบ้าน มันเป็นชีวิตที่เหมือนอยู่ในกรงขังมากๆ แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเราต้องออกไปให้ได้ สอบเอ็นทรานซ์ติด เราจะออกไปจากที่นี่

หลังจาก ม.หก ก็สอบติดได้ที่ธรรมศาสตร์ ตอนนั้นแม่ตรวจผลออกมาเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก พ่อกับแม่ พูดพร้อมกันว่า " ถ้าไปก็ไม่ต้องมาเรียกว่า ครอบครัว "

ตอนนั้นผมคิดจะไปให้ไกลๆ ก็ฝันสลาย เพราะผมใจอ่อนกับน้ำตาของแม่ แม่ร้องไห้ แล้วบอกว่า " แกทิ้งชั้นได้ลงคอ "

ผมก็เลยไม่ไป (ทั้งๆที่ตอนนั้นแม่ผมบอกว่า ถ้าเอนทรานซ์ไม่ติด รามคำแหงก็ไม่ต้องไปเรียน แกได้เรียนแค่ราชภัฎ ส่วนพ่อก็บอกว่า อย่าฝันสูง แต่ทุกอย่างมันเหมือนแรงผลักดันว่าเราต้องไปได้ไกล เราต้องไปได้ดี ซึ่งมันก็ทำได้จริงๆ )

ผมทนอีกสี่ปี กับ มหาวิทยาลัยที่ใกล้บ้านที่สุด ( และไม่ใช่คณะแพทย์อย่างที่ใจหวัง) แน่นอนว่าผมอยากเลือกที่จะอยู่หอในมหาวิทยาลัย แต่แน่นอนว่า ที่บ้านไม่ปล่อยให้ไป เป็นชีวิตที่อึดอัดมาตลอด เที่ยวก็ไม่เที่ยว เรียนก็เครียด เงินก็ไม่มีใช้ ได้แต่อาศัยยืมพี่สาวของแม่คนเดิม ซึ่งแอบให้เงินเรามาตลอด แต่ก็ครั้งละไม่มาก เพราะผมก็เกรงใจเค้า พูดง่ายๆ ยืมแล้วผมไม่มีปัญญาคืน แต่เค้าก็ให้ยืมตลอด เพราะรู้ว่าผมไม่เคยเอาไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย

จนเรียนจบ แน่นอน ผมไม่คิดจะอยุ่บ้านให้ทรมานอีกต่อไป

กลับมาบ้านทุกเย็นจะโดนพ่อด่า ด่าตลอดในเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ ด่าว่าผมโง่ อย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็จะขุดคุ้ยเอาเรื่องเดิมๆมาด่า เช่น ถ้าแกเรียนโรงเรียนนายร้อย ป่านนี้แกมีเงินเดือนกินไปแล้ว ไม่ต้องมาแบมือขอเงินอีกตั้งหลายปี

ส่วนแม่ก้มากลายเป็นเหมือนคนบ้า แม่ผมเป็นครูสอนคอมพิวเตอร์ แม่เอาเงินทั้งหมดไปเรียน ปริญญาโท และเอาเวลาทั้งหมดอยู่กับการทำเวปที่บ้าน และจะเหมือนคนบ้าเวลาผมเข้ามาบ้านจะโดนจับผิดตลอดว่า แต่งตัวหล่อไปไหน แกซื้อเสื้อผ้ามาทำไมมันไม่ใช่สิ่งจำเป็น แกไปไหนมาถึงกลับดึก แกมัวแต่เที่ยวใช่ไหม ฯลฯ

ผมยิ่งอยุ่ใกล้ๆผมยิ่งอึดอัด เหมือนคนบ้า ซื้อเสื้อผ้าก็ไม่ได้ ซื้อกางเกงในก็โดนด่า บางทีผ้าเช็ดตัวมันขึ้นรา กางเกงในมันขาด ผมก็อยากซื้อใหม่ แต่ก็ต้องโดนด่าว่าทำตัวเหมือนหาเงินได้เอง

พอผมจบมา เค้าก็จะให้ทำราชการเหมือนเค้า แต่ผมก็ไม่ยอม เพราะ คิดว่ามันไม่ใช่ ก็โดนด่าว่าโง่ตลอดเวลา

ผมผิดด้วยหรอ ที่ผมไม่อยากทำราชการเหมือนพวกเค้า ผมแค่อยากพ้นปัญหาด้านการเงินไวๆ อยากมีเงินเก็บ เพราะผมเห็นพวกเค้ามีเงินเดือน แต่ก็ลำบาก ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไรหมด นอกจากซื้อหวย

แล้วผมก็ไม่อยากให้ลูกผมต้องมาลำบาก ทรมานเหมือนผม ชีวิตในครอบครัวแบบนี้ตั้งแต่เด็กมันเหมือนฝันร้าย

พูดเรื่องพ่อแม่ครอบครัวเมื่อไรมันอยากจะร้องไห้ น้ำตามันปริ่มออกมาเลย ใครไม่เคยเจอคงไม่รู้สึกหรอก

อย่างผมเวลาไปเจอครอบครัวที่เค้าอบอุ่น ตามใจลูกหน่อยจะอิจฉามากๆ อย่างข้างบ้านเค้าสอบติดโรงเรียนประจำจังหวัด พ่อแม่เค้าปิดซอยเลี้ยง แล้วซื้อรถยนต์ให้ขับไปอีก

แต่ของผมไม่มีวันได้แบบนั้น ทำตัวดีไม่เคยมีคำชม บางทีก็อยากได้คำชมบ้าง ให้มีแรง ให้มีไฟ คำชมคนอื่นมันไม่เหมือนคำชมจากปาก พ่อ แม่ เราหรอกครับ

พอจบมหาวิทยาลัย ผมก็เริ่มจากทำงานใกล้ๆบ้านก่อน ก็เป็นบริษัทเล็กๆเงินเดือนไม่มาก ตกเย็นมาก็กลับบ้านไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหน แฟนก็มี แต่แม่ไม่ชอบ พ่อไม่สนับสนุน เลยไม่ได้เอาเข้าบ้าน

ส่วนพ่อ ผมจะเกลียดท่านมาก ไม่เคยคิดว่าเป็นพ่อเลย เพราะพอผมจบปริญญาตรี ผมจับได้ว่า พ่อไปมีเมียน้อย ก่อนหน้านี้เรามีบ้านหลังเดียวโทรมๆ แต่พ่อบอกว่าจะไปปลูกบ้านอีกหนึ่งหลัง เพื่อเอาหลังเก่าให้เค้าเช่า ส่วนหลังใหม่จะเอาไว้อยู่กับ พ่อ แม่ ลูก

แต่สุดท้าย พอสร้างเสร็จ พ่อก็เอาหลังใหม่ไปอยู่กินกับเมียน้อย ทิ้งแม่เอาไว้ในบ้านเก่าๆหลังนั้น ตกดึกถึงจะกลับมาบ้าน แต่ตอนเช้า ยันเย็น รวมถึงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ พ่อเอาเวลาทั้งหมดไปอยู่กับเมียน้อยหลังใหม่หลังนั้น โดยที่แม่ไม่รู้เลยว่าพ่อมีเมียน้อย พ่อบอกว่างานยุ่ง แม่ก็หลับหูหลับตาเชื่อ แต่ความจริงก็คือความจริง เพียงแต่ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้ในครอบครัว ไม่อยากตอกย้ำ ผมไม่อยากอาฆาต พยาบาทกับพ่อกับแม่

ผมรู้ว่าพ่อเก็บเงินมาตลอดจนซื้อบ้านหลังใหม่ได้ แต่ก็เงินของเค้าไม่ใช่เงินของผม แต่ผมก็มีแอบน้อยใจบ้าง ถ้าเงินจำนวนนั้นผมได้เอามาเรียนพิเศษตอนเด็กๆ เอามาซื้อหนังสือไว้อ่าน เพื่อจะได้มีความรู้ตามทันเด็กในเมืองบ้าง พิมพ์เรื่องนี้ ตอนนี้ผมรู้สึกขนลุก น้ำตาปริ่มๆ มันน่าน้อยใจนะ ที่บางทีผมอยากมีอนาคตดีๆ เพื่อจะมาเลี้ยงตัวเองและพวกเค้าได้ แต่เค้าเอาเงินไปซื้อบ้านหลังใหม่ดีๆ ไว้อยู่กับเมียน้อย เอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าแต่งตัวยี่ห้อดังๆ ไว้ออกไปกินข้าวกับเมียน้อย ส่วนแม่ผมใช้กางเกงในขึ้นรา ผ้าเช็ดตัวที่แทบจะเรียกว่าผ้าขี้ริ้วได้อยู่แล้ว อยู่บ้านเก่าๆ หลังโทรมๆ ปลวกก็แทะ

ญาติทางฝ่ายพ่อผมก็เอาเรื่องนี้มาบอกแม่ทางอ้อม (เหมือนจะให้แม่ผมอกแตกตาย ) แต่แม่ก็หลับหูหลับตาเถียงแทน ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง

ผมรู้อยู่เต็มอกว่าความจริงคืออะไร พ่อกลับบ้านดึกไปไหน แต่แม่ก็จะเถียงแทน พร้อมสนับสนุนคำพูดของพ่ออีก

ความอดทนผมสิ้นสุดเมื่ออายุ 23 ปี ผมรู้สึกว่า " ผมไม่ใช่คนในครอบครัว " อีกต่อไป ในเมื่อคำพูดของผมไม่มีความหมายอะไรเลยในครอบครัว อีกทั้งการกระทำของพ่อ มันเหมือนความทุเรศที่ผมรับไม่ได้ และเบื่อกับการอยู่แบบต้องทนอยู่

พ่อผมเข้ามาบ้านจะกัดผมทุกเย็น ทั้งเรื่องเงินเดือน ว่า ไหนไม่รับราชการ กรูก็นึกว่าเมิงจะหาเงินเดือนได้เยอะกว่านี้ เดี๋ยวก็เป็นหนี้สินเหมือนกรู ไม่พ้นกันหรอก ทำอย่างนี้เมื่อไรจะรวย ถ้าออกไปทำธุรกิจส่วนตัว หน้าอย่างเมิงอย่าฝันสูง เดี๋ยวก็เจ๊ง ไปไม่รอดหรอก หาเมียหน้าอย่างนี้เนี่ยนะ อย่าเอาเข้าบ้านเลย ฯลฯ

คำพูดทุกคำผมจำขึ้นใจ จนแล้วจนรอดผมก็ตัดสินใจเก็บเอาทุกอย่างมาตั้งตัวที่กรุงเทพ พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน

ตอนมาเมืองกรุงใหม่ๆ ผมมีไฟมาก ประมาณว่าเราต้องสร้างชีวิตตัวเองให้ได้ ส่วนแฟนก็เลิกไป เพราะเค้าก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมชีวิตผมดูไม่มีจุดหมายปลายทาง ไม่มีความมั่นคง ไม่รักครอบครัว ผมก็ไม่รู้จะอธิบายให้เค้าฟังยังไง เพราะยังไงเค้าก็ไม่มีวันเข้าใจ

ผมหารค่าห้องกับเพื่อน ห้องที่เช่าอยู่ 2200 บาท หารสามคน ก็ตกเดือนละไม่ถึงพันบาท เงินเดือนที่เหลือก็พออยู่พอกิน แต่ก็อาจจะไม่มีอนาคตหากไม่ทำชีวิตให้ดีกว่านี้ เพราะค่าเดินทางก็ไกลเหมือนกัน ค่ากินก็แพง

อยู่ไปได้เกือบปี เพื่อนผมติดเชื้อ HIV ไปหนึ่งคน พร้อมมีหนี้ท่วมหัวอีกหลายหมื่นบาท ส่วนอีกคนก็หนีหนี้ย้ายออกห้องไป กลายเป็นเหลือผม กับ เพื่อนที่ติด HIV แต่ผมสงสารเพื่อนคนนี้มากกกกกกกกก เค้าคือเพื่อนสนิทที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา แต่ในตอนนี้ไม่มีปัญญาช่วยเค้าได้จริงๆ เพราะเค้ายืมเงินแทบทุกวัน แทบทุกเดือน ยืมวันละ สองร้อย ค่าข้าวก็ไม่มีผมก็ออกให้ นานๆไปหลายๆเดือน ก็กลายเป็นหลักหมื่น

โน๊ตบุ๊คเอาทิ้งไว้ห้อง เพื่อนผมเค้าก็เอาไปเล่นจนพัง ซ่อมไปสองรอบ บางวันผมไม่อยู่ เพื่อนผมดันลืมเอากุญแจไว้ในห้อง ไม่มีตังไปเรียกช่างมาไขอีก ผมก็วิ่งกลับเข้ามาเปิดให้ และหลายรอบมากที่เค้าลืมกุญแจห้องไว้

ผมสงสารเพื่อน แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง เพราะเค้าไม่เอาการเอางานแล้ว จะกลับไปบ้านก็ไม่ได้เพราะมีหนี้สินท่วมหัว แถมมีเชื้ออีก บางวันผมให้ยืมไปพันนึง นึกว่าเค้าจะเอาไปหางานหรืออะไรทำ เค้าก็ไปซื้อพิซซ่า ไปซื้อเคเอฟซี มากินที่ห้องอีก กลับมาห้องก็รก สกปรกหมด แถมยืมตังรายวันอีก

สงสารก็สงสาร เพื่อนคนนี้เค้าก็ช่วยผมสมัยเรียนมาตลอด แต่ก็ไม่รู้จะทำไงแล้วเหมือนกัน ยิ่งอยู่ยิ่งเสียสุขภาพจิตอีก อยากย้ายห้องก็ไม่มีเงินพอ เฮ้อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ ชีวิต !!!

อยากจะบอกว่า ผมก็มีหนี้เหมือนกัน แต่ก็ทนๆเอา เดือนไหนต้องใช้หนี้ก็กินน้ำก๊อก บางทียืมเงินเพื่อนมา เค้าก็เอาเราไปพูดเสียๆหายๆ ว่าเราเอาเงินไปเที่ยว สุรุ่ยสุร่าย ไม่ดูแลครอบครัวบ้าง ทิ้งพ่อทิ้งแม่มากรุงเทพ เพื่อความสะดวกสบาย แต่เค้าไม่รู้หรอกว่าบางทีรองเท้าขาดจะซื้อเปลี่ยนก็ต้องยืมเพื่อนเอา เสื้อผ้าไม่มี สแล็คไม่มีมันก็ต้องซื้อ มัดจำห้องตอนเข้ามาใหม่ๆก็ต้องใช้เงิน เพราะมันอยู่ระหว่างสร้างเนื้อสร้างตัวจริงๆ อยู่ กทม ก็ไม่มีใคร เพื่อนไม่ช่วยเพื่อนก็ไม่รู้จะว่าไง มันเป็นเอดส์ ก็บอกใครไม่ได้อีก คนเอาไปพูดในทางผิดๆมันก็เยอะ แต่ก็ไม่มีอารมณ์จะไปเถียง

บางวันพ่อก็ยังตามมากัดไม่เลิก ส่งญาติพ่อที่กรุงเทพ ให้มาดูพฤติกรรม มาดูสภาพห้อง งานเป็นยังไง ทำอะไรเงินเดือนเท่าไร มีบ้านหรือยัง มันเป็นหนี้ไหม พ่อส่งญาติมาดูทุกเรื่องหมด บางทีก็มาห้องผมที่กรุงเทพเอง แล้วก็บอกว่า อยู่กันอย่างรูหนูเนี่ยนะ เดินทางก็ไกล ชาตินี้ยัีงไงก็จน เมิงมันโง่ ไม่มีแผนในชีวิต อย่างนั้นอย่างงนี้

บางทีพ่อพูดเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุ 24 แต่ผมก็ไม่อยากไปโมโห หรือ โกรธ อะไรท่าน ที่มากัดได้ทุกวัน ก็ได้แต่หวังว่าคงเป็นแรงผลักดันให้ผมประสบผลสำเร็จ

ระบายมาเสียยาว ยังไงก็คุยเป็นเพื่อนบ้างนะครับ ผมท้อ เสียใจ เครียด ไม่รู้ระบายที่ไหนแล้วจริงๆ ...

จากคุณ : มนุษย์อมทุกข์
เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 54 00:21:13 A:110.164.246.190 X: TicketID:303927




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com