|
เรียน คุณ panda_bs ครับ
ที่คุณถามว่า "แล้วลุงแอ๊ดไม่หนักแย่หรอครับ การที่ต้องเรียนกับคนที่อายุน้อยกว่า และ
บางครั้งที่กำลังฟังมันคือสิ่งที่ไม่สามารถเอาไปใช้งานจริงๆได้ เพราะเราเคยทำมาก่อน
น่ะครับ"
ลุงแอ็ดใคร่ขอบอกว่า......ตอนเรียนปี 1 ลุงแอ็ดเกือบจะรับไม่ได้จริงๆ ไม่ใช่เพราะ
อาจารย์ท่านอายุน้อยกว่า แต่สิ่งที่ท่านพูด ท่านสอน มันถอดออกมาจาก "ทฤษฎี" ทั้ง
เล่มอย่างที่เรารู้กันอยู่ ลุงเลยออกอาการเหมือนคุณตรงว่า
"อาจารย์ครับ ขอประทานกราบเรียนด้วยความเคารพอย่างสูงครับ....ผมว่าที่อาจารย์
พูด.....ในแง่ของความเป็นจริงแล้ว มัน.....บลาๆ ๆ ๆ..."
แต่เพราะลุงแอ็ดเป็น สว. อาจารย์ท่านเลยเกรงใจ จะค้านประสบการณ์ที่ลุงเคยทำมาก็
ไม่กล้า หรือจะย้ำว่า "ทฤษฏี" ของตัวเองถูกก็ไม่ค่อยแน่ใจ ท่านเลยตอบอ้อมๆ แอ้มๆ
หลบหลีกๆ ไปเสีย ลุงซึ่งพอรู้ดังนั้น ก็หยุดถาม เพราะไม่อยากจะให้อาจารย์แกเสียหน้า
ดังนั้น อย่างที่ลุยเคยพูดในบทก่อนๆ ว่า "การถามคำถาม" นี้เป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ยิ่ง
ถ้าไปเจอท่านปริญญาเอกเข้า นอกจากท่านจะไม่ยอมแล้ว ท่านจะมองเราอย่างดูถูกดู
หมิ่นได้ ดังนั้น "การถาม" ก็เป็นเรื่องที่สำคัญพอๆ กับการเรียนนะครับ ถามอย่างไร....
ให้ผู้ถูกถามยินดีตอบ ถามอย่างไรจึงจะไม่ให้ผู้รู้เสียหน้าในการตอบ และถามอย่างไร
เราจึงจะมีกำลังใจที่ "จะถาม" ต่อไป
ในเรื่อง "ทฤษฎี" กับ "หลักปฏิบัติ" นั้น มันไม่ได้ขัดแย้งอะไรกันหรอกครับ
เพราะ "ทฤษฎี" เมื่อนำมาปฏิบัติ มันต้องนำมาปรับ มา Apply ใช้กันอยู่แล้ว ไม่มีใคร
นำทฤษฏีไปใช้กันอย่างตรงเผงหรอก
แม้แต่ทฤษฏี 2 สูง ของคุณธนินทร์ เจียรวรนนท์ ที่ท่านนายกเอามากล่าวถึง พอจะ
ทำจริงๆ ก็ต้องมีการปรับใช้ ใช้กับประชาชนใช้อย่างไร ใช้กับเกษตรกรใช้อย่างไร ใช้
กับข้าราชการใช้อย่างไร.....ไม่ใช่เอาไปใช้เหมือนกันหมดทั้งดุ้น
แต่ที่มันมีปัญหาระหว่างผู้มีประสบการณ์อย่างลุงแอ็ด หรืออีกหลายท่านที่มาเรียนเอา
ตอนอายุมากแล้ว มันก็มีแต่ประสบการณ์ ไม่ค่อยจะมีทฤษฎี หรือลืมมันเกือบหมด
แล้ว ส่วนอาจารย์ที่มาสอน ส่วนใหญ่ก็ไม่มีประสบการณ์ ท่านมีแต่ "ทฤษฎี" ที่จะเอา
มาสอน (ถ้าไม่ให้ท่านสอน "ทฤษฎี" หรือ "หลักการ" แล้วจะให้ท่านสอนอะไรเล่า
ครับ)
ดังนั้น พอตอนปีสอง ลุงก็เลยร้อง อ๋อ.....ว่า ไอ้เจ้า "ทฤษฎี" มันก็คือ "หลักการ" นั่น
เอง เราไม่เคยเรียนมาเลย พอมาเรียนหลักการ เข้าเท่านั้น ก็เกิดไปสอดคล้องกับไอ้
สิ่งที่เราทำกันจริงๆ.....เรียกว่า "ทฤษฎี" มัน Work แต่ถ้ามันไม่ Work ก็ลองปรับปัจจัย
ต่างๆ ดู ปรับไปปรับมา เดี๊ยวมันก็เข้ากันได้เองนั่นแหละ ดังนั้น หากเรารู้ทฤษฏีมา
ก่อน มันก็สามารถแก้ปัญหา หรือตัดสินใจได้เร็วขึ้น...ไม่ต้องไปลองผิด ลองถูก
ยกตัวอย่าง เช่น ทฤษฏีง่ายๆ ที่ว่า 1 + 1 = 2 ....... ใครๆ ก็รู้ทฤษฎีนี้ ใครเถียงมีสิทธิ
โดนอาจารย์ต่อว่ายับเยิน
แต่เรามีประสบการณ์มาก่อน เราก็รู้ว่า "มันไม่แน่เสมอไป" เพราะ ถ้าเอาน้ำสองแก้ว
รวมใส่ในแก้วเดียวกัน จะเป็นกี่แก้ว คำตอบก็คือ หนึ่ง, ถ้าเอาทราย 2 กอง มารวมกัน
จะเป็นกี่กอง ก็ต้องตอบว่า 1, แต่ถ้าเอา ผู้หญิง + ผู้ชาย จะมีลูกกี่คน คำตอบจะเป็น
2, 3, 4, 5, หรืออะไรก็ได้ หรือคิดลึกไปถึงพุทธศาสตร์ ไม่ก็จะเป็น "อนัตตา" โดยไม่
มีสิ่งใดเลยที่เป็น 1 หรือ 2 เป็นต้น
ดังนั้น ถ้าเรามีประสบการณ์มาก่อน เราก็จะถามขึ้นมาว่า
เรากำลังพูดกันถึงเรื่องอะไร เรื่องคณิตศาตร์หรือ เรื่องมนุษย์ศาตร์หรือ
หรือเรื่องของพุทธศาสตร์ เราจะให้ความเห็นได้ถูกต้อง
พอลุงรู้ซึ้งถึงสัจธรรมอันนี้แล้ว คราวนี้ก็ Clear หัวใจ Clear สมอง ยินดีรับรู้ต่อไป ไม่
ว่าอาจารย์จะสอนว่า "ทฤษฏี" มันเป็นอะไร เป็นอย่างไร....เพราะเรามาเรียนก็เพื่อ "รับ
รู้ ทฤษฏี หรือ หลักการ" ที่เขาเรียนกันนั่นเองครับ
จากคุณ |
:
ลุงแอ็ด
|
เขียนเมื่อ |
:
4 มี.ค. 54 09:45:16
|
|
|
|
|