ในอดีตชาวไทยพุทธ มุสลิม จีนที่ได้อาศัยอยู่ใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เคย
อยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุข มีกิจกรรมภายในหมู่บ้านก็จะช่วยเหลือกันเสมอมา
ภายในหมู่บ้านจะอยู่รวมกันทั้งไทยพุทธและมุสลิม ไม่เคยมีปัญหาเมื่อชาวมุสลิม
จะจัด กิจกรรมงานบุญของมัสยิด ทั้งครอบครัวของไทยพุทธจะไปช่วย เชิญ
มิตรญาติมาร่วมงาน และบริจาคเงินเพื่อสร้างมัสยิด ,วัด จะมีผู้ร่วมงานทั้งโต๊ะ
ครู โต๊ะอีหม่าม พระและเจ้าอาวาสมาร่วมงานกัน จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน
ปัจจุบันความประทับใจที่เคยมีมาในอดีตกลับกลายเป็นความหวาดระแวง
สับสน ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาเฉพาะพื้นที่ ยิ่งนานวัน จะขยายวงกว้างไปสู่ใน
พื้นที่อื่นๆ ปัญหาระหว่าง ไทยพุทธ-ไทยมุสลิมนั้นจะเกิดขึ้น ถ้าหากเยาวชน
ไม่มีกระบวนการการมีส่วนร่วม และหาแนวทางแก้ปัญหาร่วมกัน ทำไมคนไทย
พุทธ-ไทยอิสลาม ที่เคยดีกัน เคยไปมาหาสู่กัน กลับมีความหวาดระแวงต่อกัน
โดยมีมือที่สามจะมาก่อความวุ่นวายให้เกิดความหวาดระแวงภายในหมู่บ้าน
กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบคอยสังเกตการณ์อยู่ ปัญหาระหว่างคนพุทธกับ มุสลิม
จึงเป็นประเด็นเรื่องศาสนาเพื่ออำพรางคดีในขณะเดียวกันที่มีเหตุการณ์ยิงพระ
สงฆ์หรือยิงวัด คนไทยพุทธก็ไม่เชื่อว่าไทยพุทธด้วยกันเป็นผู้กระทำ จึงกลาย
เป็นสงครามจิตวิทยา ที่ต่างฝ่ายพยายามโยนความผิดเพื่อให้สังคมมองคนในสาม
จังหวัดชายแดนอย่างผิดๆ การแก้ปัญหาอย่างผิดๆ คงไม่มีใครจะแก้ปัญหา
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ตราบใดความจริงไม่ปรากฏให้ชาวบ้านรู้จักแยก
แยะว่าใครคือคนดี ใครคือโจร
บางครั้งการเสนอข่าวสารทำให้ชาวบ้านไม่พอใจเพราะข้อมูลที่ชาวบ้านทราบ
จากคนในพื้นที่ ไม่ตรงกับข้อมูลที่สื่อต่างๆ เสนอ เหมือนเป็นการเพิ่มความแค้น
ให้เพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยพุทธกับมุสลิมเกิด
ช่องว่าง จากปัญหาต่างๆใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ฝ่ายต่างๆ ก็ได้รับผล
กระทบจากเหตุความไม่สงบและความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง จึง
มีปัญหาที่เกิดขึ้น เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหายาเสพติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ปัญหาการเรียนหนังสือของเด็กๆ ความบาดหมาง การสร้างเงื่อนไข การ
สร้างความไม่เป็นธรรม และการเลือกปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่
กลุ่มก่อความไม่สงบใช้ในการปลุกระดมให้ประชาชน ต่อต้าน และเกลียดชังเจ้า
หน้าที่รัฐ รวมถึงการแย่งชิงมวลชนไปสนับสนุนฝ่ายตน เป็นเรื่องที่จะต้องขจัดให้
หมดสิ้นไป และยอมให้เกิดขึ้นอีกไม่ได้