PANTIP.COM : M10628828 ใครพูดอะไร เกี่ยวกับเขาพระวิหาร []

ความคิดเห็นที่ 15

ข้อมูลจาก ไทยโพสต์

วีรชัย"ขี่ม้าส่งเมือง"เฒ่านัมฮง
เปลว สีเงิน 2 มิถุนายน 2554 - 00:00

ครับ...ยกแรก ที่เวที "ศาลโลก" ระหว่างไทย-เขมร ว่าด้วยเรื่อง "มาตรการชั่วคราว" ก็จบลง ท่านที่ติดตามดูมาทั้ง ๒ วัน คือ ๓๑ และ ๓๑ พ.ค.๕๔ คงให้คะแนนจากการ "ออกอาวุธ" ของทั้ง ๒ ฝ่ายได้แล้วกระมังว่า นายฮอร์ นัมฮง ตัวแทนประเทศเขมร กับ ดร.วีรชัย พลาศรัย ตัวแทนประเทศไทย ฝ่ายไหนออกอาวุธได้จะแจ้ง และเข้าเป้ามากกว่า?

ตามสายตาผม เมื่อดูทั้ง ๒ วัน รวมคะแนนแล้ว ผมว่าฝ่ายไทย นอกจากเก็บอาวุธฝ่ายเขมรได้หมดแล้ว แถมยังโต้กลับชนิดครบเครื่องและมีลำหัก-ลำโค่นเหนือกว่า เรียกว่าเข้าเป้า-เข้าตากรรมการทุกเม็ด ทุกดอก ทำเอานายฮอร์ นัมฮง "ออกอาการ"
และใช้สไตล์ "มวยวัด" แถกสีข้างแก้การโต้กลับของไทยในวันที่ ๒ สลับกับการกอดเอว ดร.วีรชัย วนเป็นวัวพันหลัก รอเสียงระฆังหมดยก!

พูดไปก็จะว่าเข้าข้างกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า มาจับทิศทาง-หยั่งกระแสจาก "สื่อเขมร" ซึ่งต้องเคร่งครัดต่ออารมณ์นายกฯ ฮุน เซน เป็นพิเศษ ซึ่งนั่นพอจะใช้เป็นตัวประเมินอาการได้ว่า ครบยกแล้วกระดี๊-กระด๊า หรือว่าหน้าเหลือง-ตัวเหลืองเป็นปลากรอบรมขี้ควาย?
ฉะนั้น วันนี้ผมจะ "ลอกข่าว" ในเว็บ "กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ที่ถ่ายทอดจากสื่อเขมรอีกทีมารวบรวมไว้อีกวัน นอกจากเหตุผลแรก เหตุผลหลักคือ เพื่อความสมบูรณ์ของเรื่องราวที่ต่อเนื่อง อันอาจเป็นประโยชน์เพื่อการศึกษาของคนในอนาคต ดังนี้ครับ

เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ อ้างสำนักข่าวซีอีเอ็นของกัมพูชา วันนี้ (๑ มิ.ย.๕๔) ได้รายงานประเด็นโต้แย้งในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า ไทยพยายามเต็มที่จะขัดขวางไม่ให้ศาลโลกรับคำร้องกัมพูชา ขอให้ตีความคำตัดสินเดิมเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ เกี่ยวกับปัญหาพระวิหาร โดยการแถลงสรุปวันที่สอง (๓๑ พ.ค.) ฝ่ายละ ๑ ชั่วโมง

สำนักข่าวซีอีเอ็นระบุว่า ไทยได้ยกประเด็นขึ้นว่า กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน ไทยเป็นผู้รักในสันติไม่ต้องการหาเรื่องกัมพูชา
ในประเด็นนี้ กัมพูชาตอบโต้ว่า
ถ้าไทยเป็นประเทศรักสันติ เป็นประเทศรับเคราะห์จากการรุกรานของกัมพูชา เหตุใดไทยเอาแต่ปฏิเสธ ไม่รับกลไกการสลายความขัดแย้งโดยสันติวิธี ไม่ว่าจะเป็นที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติที่อาเซียน หรือที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ตาม
แม้แต่ผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียจะเข้ามาตรวจสอบการหยุดยิง ไทยก็ขัดขวาง นี่หรือผู้รักในสันติและเป็นผู้รับเคราะห์ ขณะที่กัมพูชากลับแสวงหาทุกกลไกเพื่อแก้ปัญหาโดยสันติวิธี โดยมีฝ่ายที่ ๓ เข้าร่วม แต่ไทยไม่เห็นชอบ

ประเด็นที่ ๒ บันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ.๒๕๔๓ (MOU) เป็นหลักฐานยืนยันว่า กัมพูชาก็รับทราบเช่นเดียวกับไทยแล้วว่า คำตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕ กล่าวถึงแต่เพียงตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้น ไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับพรมแดน เนื่องจากศาลไม่ได้กำหนดพรมแดนดังกล่าว ไทยและกัมพูชาจึงได้ร่วมทำบันทึกความเข้าใจ พ.ศ.๒๕๔๓ เพื่อกำหนดพรมแดน ดังนั้น ไทยและกัมพูชาไม่ได้วิวาทกันในคำตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕ ซึ่งหมายความว่า ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอตีความคำตัดสินของกัมพูชาแต่อย่างใด
ประเด็นนี้ กัมพูชาได้โต้แย้งว่า
บันทึกความเข้าใจฯ พ.ศ.๒๕๔๓ ไม่ใช่การร่วมกันเพื่อกำหนดเขตแดน แต่เพื่อจัดทำหลักเขตแดน หมายความว่าเรื่องพรมแดนเสร็จสิ้นแล้วในทางแผนที่ ขาดแต่การปักหลักเขต ด้วยเหตุนี้ กัมพูชาจึงได้เห็นชอบร่วมกับไทยเพื่อจัดทำหลักเขต กัมพูชาก็ได้มอบหนังสือบันทึกความเข้าใจ พ.ศ.๒๕๔๓ จำนวน ๑ ฉบับ ให้กับองค์คณะผู้พิพากษา เพื่อพิจารณาเอกสารความตกลงด้วยตนเอง

ประเด็นต่อมา ไทยได้ยกขึ้นว่า กัมพูชาได้สร้างเรื่องขึ้นเกี่ยวกับการโต้แย้งในความหมายและขอบเขตของคำตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕ ในความเป็นจริง ไม่มีการโต้แย้งอะไรที่ต้องให้ศาลตีความ ไทยยังเสนออีกว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ได้ให้ไทยถอนทหารและกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดออกจากปราสาทพระวิหาร และจากบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารนั้น ครอบคลุมเฉพาะขณะเวลาที่ศาลตัดสินเท่านั้น ไม่ใช่ข้อผูกพันของไทยที่ต้องปฏิบัติตามไปตลอด
ในประเด็นนี้ เป็นเรื่องง่ายสำหรับกัมพูชาที่จะโต้แย้ง เนื่องจากมีนัยครบถ้วนบอกว่า
ไทยและกัมพูชาเห็นต่างกันเกี่ยวกับความหมายของคำตัดสิน พ.ศ.๒๕๐๕ กล่าวคือ กัมพูชาเห็นว่า คำตัดสินดังกล่าวมีผลบังคับไปตลอดทุกวัน แต่ไทยเห็นว่ามีผลเฉพาะในเวลาที่ศาลตัดสินเท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุผลครบถ้วนที่ศาลควรตีความคำตัดสินดังกล่าวอีกครั้ง

สำหรับประเด็นมาตรการชั่วคราวเร่งด่วนนั้น ไทยพยายามอ้างว่าไม่มีสถานการณ์อะไรต้องให้ศาลออกมาตรการเร่งด่วน เนื่องจากไม่มีความขัดแย้งที่พระวิหารอีก มีเฉพาะที่ปราสาทตาควายและตาเมือน ซึ่งอยู่ห่างจากพระวิหาร ดังนั้น คำร้องขอมาตรการชั่วคราวเร่งด่วนของกัมพูชาไม่มีมูลฐานแต่อย่างใด
ต่อประเด็นนี้ กัมพูชาตอบโต้แย้งว่า
เมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ในเวลาที่กัมพูชายื่นคำร้องถึงศาลกรุงเฮก การปะทะด้วยอาวุธก็ได้เกิดขึ้นเช่นกันที่พื้นที่ปราสาทพระวิหาร ไทยได้บินล่วงล้ำน่านฟ้าของกัมพูชา และได้ยิงปืนใหญ่มาในพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ดังนั้น มาตรการเร่งด่วนที่กัมพูชาเสนอขอสำหรับพื้นที่พระวิหาร เป็นเขตอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ควรออกมาตรการ
สำนักข่าวของกัมพูชาสรุปในตอนท้ายว่า ต่อประเด็นคำขอมาตรการชั่วคราว ฝ่ายไทยมีข้อโต้แย้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ฝ่ายไทยกลับใช้เวลาอย่างมากในการกล่าวเกี่ยวกับคำร้องขอตีความคำตัดสิน ดังนั้น เป้าหมายของไทยคือ ทำอย่างไรก็ตามเพื่อขัดขวางไม่ให้มีการตีความคำตัดสินเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๕ อีกครั้ง เนื่องจากเป็นทั้งความยุ่งยากและอันตรายอย่างยิ่งต่อไทย

ขณะที่ผู้แทนไทย นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก อาศัยข้อ ๖๐ ของธรรมนูญศาลโลก ขอให้ศาลถอนคำร้องของกัมพูชาออกจากทะเบียนคดี
เอาละ...ทีนี้มาดู "คำแถลงปิด" ฝ่ายไทยในวันสุดท้าย (๓๑ พ.ค.) บ้าง นายวีรชัย พลาศรัย ชี้แจงโดยกล่าวย้ำถึงสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์ของกัมพูชา โดยการร้องขอให้มีมาตรการคุ้มครอง เพื่อต้องการให้ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่อย่างไม่มีเงื่อนไข ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาได้วางกองกำลังติดอาวุธอยู่ในพื้นที่ตัวปราสาทพระวิหาร จึงเป็นสิ่งที่ลักลั่นขัดแย้งกับการร้องขอครั้งนี้

ขณะเดียวกัน ความพยายามของกัมพูชาในการนำเอากรณีการสู้รบปะทะกันตามแนวชายแดนด้านปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควาย พยายามชี้ให้ศาลเห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร เป็นสิ่งที่ไทยได้ชี้แจงว่า จะไม่มีสถานการณ์รุนแรงในลักษณะนี้ หากกัมพูชาไม่พยายามสร้างสถานการณ์
ส่วนประเด็นที่ไทยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ คือ กัมพูชาพยายามเปิดประเด็นให้ศาลพิจารณาคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี ๒๕๐๕ ซึ่งไม่ได้มีความชัดเจนเกี่ยวกับการกำหนดเส้นเขตแดนที่ระบุว่า เป็นพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร กัมพูชาจึงอ้างแผนที่มาตราส่วน ๑ ต่อ ๒๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร เพื่อให้ศาลพิจารณาในประเด็นของเขตแดน
เรื่องนี้ ไทยได้ชี้แจงตลอดทั้ง ๒ วันว่า ศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินกรณีเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งได้มีข้อตกลงในกลไกการแก้ปัญหาร่วมกันในระดับทวิภาคี ทั้งกรอบการลงนามในข้อตกลง หรือเอ็มโอยูปี ๒๕๔๓ โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ คือ มีกลไกเพื่อเจรจาร่วมในคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือ GBC ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

ครับ...เป็นอันว่า "จบ-ครบถ้วน" บนเวทีศาลโลก "คดีแรก" ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ พ.ค.๕๔ ว่าด้วยเรื่องเขมรร้องขอให้ศาลโลกออกมาตรการชั่วคราว สิ่งที่ทั้ง ๒ ฝ่ายต้องปฏิบัติต่อจากจบให้ปากคำนี้แล้วก็คือ

กลับไปเขียนรายงานเป็นคำชี้แจงถึงเหตุการณ์ปะทะกันที่ชายแดน "ฝ่ายใคร-ฝ่ายมัน" ว่า แต่ละฝ่าย มีคนเจ็บ-คนตายเท่าไหร่-บ้านเรือนพังเสียหาย สัตว์เลี้ยงเป็นตายขาดไหน อย่างไร ชาวบ้านต้องอพยพหลบหนีกันขนาดไหน อย่างไร เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมหลักฐาน-เอกสารส่งไปให้ศาลโลกภายในวันที่ ๗ มิ.ย.
เมื่อศาลโลกรับรายงานแล้ว ก็จะเอาของไทยให้เขมร และเอาของเขมรให้ไทย เมื่อทั้ง ๒ ฝ่ายอ่านแล้ว จะชี้แจง-โต้แย้งกันอย่างไร ก็เขียนส่งกลับไปให้ศาลโลกภายในวันที่ ๑๔ มิ.ย.

เรียกว่า ให้เวลาแก้โจทย์ของกันและกัน ๑๕ วัน หลังจากนั้นศาลโลกก็จะนัดฟังคำวินิจฉัยภายใน ๓๐ มิ.ย.นี้ ก็จะได้รู้กันว่าหวยที่ออก ข.ไข่ หรือ ท.ทหาร?

แต่ผมว่า ขนาด "สื่อเขมร-ฮุน เซน สั่ง" ที่รายงานข่าว "เที่ยงตรง" จนตัวโก่งแล้ว ดีที่สุด...ก็ให้ "อารมณ์รักชาติ" ผ่านบรรยากาศข่าวเอาใจได้แค่นี้ จนสามารถมองเห็นว่า ลูกแก้การโต้กลับของไทย นายฮอร์ นัมฮง แก้เหมือนแก้ผ้าแล้วเอาสีข้างเข้ารับ แดงเถือกไปด้วยรอยเท้าผสมแข้ง ทำท่าหาทางกลับ "โตนเลสาบ" เพื่อโดดน้ำตายไม่ถูก.

จากคุณ : boublekao

เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 10:21:04