ความคิดเห็นที่ 1 แน่ะนำห้องศาลาประชาคม ครับ แล้วเข้าไปที่หัวข้อปัญหาชีวิต มีคนมาตอบกระทู้ให้เยอะเลยทีเดียว แล้วที่บอกว่าอาจารย์มาตีสนิท เป็นอาจารย์ชายหรือหญิงครับ อย่าบอกว่าอาจารย์ชายมาตีสนิทลูกชายคุณนะ จากคุณ : to contineus in english เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:19:34

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณครับ แต่เป็นอาจารย์ผู้ชายครับ ไม่รู้ว่าเป็นเกย์หรือเปล่า จากคุณ : peelpor@hotmail.com เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:36:19 A:124.120.209.136 X: TicketID:320479

ความคิดเห็นที่ 3 โพสที่ศาลาประชาคมก็ดีเหมือนกันครับ คุณ จขกท จะได้คำตอบ คำแนะนำ ส่วนตัวผมมีลูกสาวเรียนจบแล้ว เมื่อลูกเรียนมหาวิทยาลัย ผมถือว่าเด็กมาถึงก้าวสุดท้าย ก่อนที่จะก้าวออกไปในโลกแห่งภูมิปัญญา เราจะเห็นว่า มหาวิทยาลัยทุกแห่ง ส่งเสริมให้เด็กมีความพร้อมที่จะออกไปสู่โลกภายนอก เช่น การให้เด็กฝึกงาน การฝึกงานไม่ใช่ส่งเด็กไปเรียนตามรูปแบบ "หลักสูตร" ที่เรียนในมหาวิทยาลัย เจตนาหลัก ส่งเสริมให้เด็กเตรียมความพร้อม หัดสังเกต ชีวิตทำงาน ฯลฯ ที่ผมไตเติ้ลมาทั้งหมด เพื่อจะบอก คุณ จขกท ในฐานะ คุณพ่อ คุณควรจะสนับสนุน ส่งเสริม "ลูกชาย" เป็นเด็กผู้ชาย ให้หัดแก้ปัญหา ถ้าแก้ปัญหาไม่ได้ อับจนปัญญาจริงๆ ปรึกษาคุณพ่อ แล้วสุมหัว เอ้ย Brain Strom ร่วมด้วยช่วยกันสองคนพ่อลูก คบคิดจะหาทางออกแก้ปัญหาอย่างไร โดยวิธีนี้ จะดีกว่า การที่คุณพ่อเที่ยวค้นหาคำตอบ ไปป้อนลูกชาย ครับ จะโกรธก็ตามใจ ผมพูดด้วยความตั้งใจดี จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:40:08

ความคิดเห็นที่ 4 ผมอยากแนะนำ ให้ จขกท ลองตั้งโจทย์ ถามลูกชายว่า ลูกคิดอย่างไร ? ลูกจะทำอย่างไร ? ถ้าเด็กรีบตอบว่า คิดไม่ออก โดยไม่ได้ใช้ความพยายามเอาเสียเลย ลูกผมตอบอย่างนี้ ผมตบกระโหลกทันที เจ็บวันนี้ เพื่อวันข้างหน้าจะไม่เจ็บ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:43:41

ความคิดเห็นที่ 5 แก้ปัญหาให้ลูกก่อนดีไหมครับ เป็นผม ในฐานะผู้ปกครอง ผมจะไปพบอาจารย์ท่านนั้นเลย แล้วไปถามดีๆ ว่า ลูกชายมีปัญหา ไม่อยากมาเรียน เพราะคุณมาขอมีความสัมพันธุ์ด้วย จริงหรือเปล่า ทำไมทำอย่างนั้น สิ่งที่ผมกังวลจากวที่อ่านข้อมูลเท่าที่มี คืเ 1. ลูกคุณมีปัญหาไม่ไปเรียน เป็นเรื่องสำคัญ เป็นอนาคตของเขา แต่คุณยังนิ่งนอนใจ ไม่แก้ปัญหาอย่างฉับพลัน ตีอ้อม ยื้อเวลา ทำไม ถ้าเป็นลูกสาว ป่านนี้ ลูกท้องไปแล้ว 2. เรื่องที่ลูกคุณเล่าจริงหรือเปล่า ผมกังวลมาก เพราะเคยเห็นเด็กหลายคน ที่ชอบคิดว่า "พ่อแม่โง่" มักปั้นแต่งเรื่อง มากลบเกลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง คุณต้อง "รู้ให้ทันเด็ก" ระวัง "ความรักทำให้คนตาบอด" 3. ถ้าเรื่องเล่าของลูกเป็นความจริง คุณไม่สงสัยหรือ ทำไม อาจารย์ผู้ชายเขากล้าขนาดนั้น ไม่สงสัยหรือ ว่า ลูกคุณเป็นเกย์ ถ้าลูกไม่เป็นเกย์ น่าจะตะบันหน้าไอ่อาจารย์คนนี้ไปแล้ว 4. โรงเรียนนี้ไม่มีอาจารย์คนเดียว และลูกคุณก็ไม่ใช่เด็กๆ ไม่มีเพื่อนฝูงให้ช่วยเหลือ หรือคอยปกป้องดูแลกันได้เลยหรือ ผมสงสัยว่า ทำไมคุณถึงไม่ไปลุย หรือทำไมลูกคุณถึงใช้วิธีหลบหน้าไม่ไปเรียนเพื่อแก้ปัญหานี้ ถ้าผมเป็นลูกคุณ แล้วเจอเรื่องแบบนี้ ผมคงนัดแนะเพื่อนช่วยกันถ่ายวิดีโอหลักฐาน ตอนมันขอจะมีความสัมพันธุ์ด้วย หรือไม่ก็หลอกมันออกไปที่เปลี่ยว แล้วชวนเพื่อนไปรุมกระทีบให้เข็ดไปแล้ว คุณไม่สงสัยบ้างเหรอ ตั้งสติ แล้วคิดทบทวน เหตุและผล ให้ดีๆ ระวัง... อภิชาติบุตร ... ลูกที่ดีกว่าพ่อแม่ ... คือ พวกที่คิดว่าพ่อแม่โง่กว่า ตามไม่ทัน จากคุณ : ต้องถามหน่อย เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:52:38

ความคิดเห็นที่ 6 เห็นด้วยกับคุณ TinyNu ครับ ถ้าไม่หัดแก้ปัญหาเองบ้าง ต่อไปจะยิ่งลำบากครับ กับสังคมแบบนี้ มีเด็กใกล้จบหลายๆ คนมาขอข้อมูลที่ออฟฟิศผม ก็เลยคุยกันบ้าง เด็กหลายคนมีทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ค่อยดีนัก คิดว่าจบไปแล้ว จะได้งานที่มีความสำคัญทันที ตอนไปฝึกงานโดนให้ไปเดินเอกสารบ้าง ให้ไปถ่ายเอกสารบ้าง ให้ไปชงกาแฟบ้างก็ไม่ค่อยพอใจกัน หาว่าโดนกลั่นแกล้ง โดนดูถูก จนต้องอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมต้องทำ ถึงได้เข้าใจ :) จากคุณ : TonMai2K เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 10:53:04

ความคิดเห็นที่ 7 หาโอกาสไปรู้จักคุณอาจารย์ให้ได้ครับ  แต่คงอย่าพึ่งคุยประเด็นปัญหาที่ลูกคุณระบายให้ฟัง  ไปเพื่อสังเกตุอาจารย์เบื้องต้นก่อนว่าเป็นคนอย่างไร  ดูสิว่าอาจารย์เขามีความเห็นในลูกคุณอย่างไรในเรื่องการเรียน(เรื่องที่ว่าอย่าพึ่งเข้าประเด็นคุย)  แล้วมีโอกาสมาระบายสิ่งที่เห็น สิ่งที่อาจารย์แนะนำ(หากสะดวก) ในกระทู้นี้ได้ครับ มีผู้เชี่ยวชาญสาขาจิตวิทยาไม่น้อยคอยให้คำปรึกษา   ผมยังมีลูกสาวที่มีเด็กหนุ่มรุ่นพี่มาจีบจนโทรศัพท์มาคุยกันเป็นชั่วโมงมาแล้วครับ  ลูกสาวเราเขาก็คุยติดลมบางครั้งหลับคาโทรศัพท์(บ่ิอย)  ผมก็ทำได้เพียงให้ข้อแนะนำดีๆไปก็เท่านั้น ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้เลย  เด็กรุ่นหลังปกครองไม่ง่ายเหมือนเด็กรุ่นอากงกาม่า จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 11:07:16

ความคิดเห็นที่ 8 คำแนะนำดีๆและมีประโยชน์ทั้งนั้นเลยค่ะ หวังว่าคุณคงหาทางออกได้ในเร็ววันนี้นะคะ จากคุณ : Me Neither เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 11:29:44

ความคิดเห็นที่ 9 เด็กมาปรึกษา แสดงว่าเด็กไม่เล่นด้วย ( หากเรื่องที่ปรึกษานั้นเป็นจริง ) เราต้องคุยกับลูกให้กระจ่างว่า อ.ท่านนั้นมาทำ มาพูดอย่างไรบ้าง แล้วลูกทำอะไรโต้ตอบไป หากลูกเราไม่เล่นด้วย อ.ท่านนั้นคงไม่กล้าทำอะไรมาก หรือหากยังทำหรือกลั่นแกล้งอีก ก็ช่วยกันจัดการต่อไป  เครื่องอัดเสียงหรือแอบถ่ายมีขายเยอะแยะ หรือง่ายๆ ก็ขู่อาจารย์กลับไปเลยว่าจะเอาเรื่องไปฟ้องผู้ใหญ่หรือร้องเรียน น.ส.พ แค่นี้ก็คงกลัวแย่แล้ว    คงต้องย้ำอีกนิดนะครับว่า ต้องหาสาเหตุก่อนว่า ทำไมอ.ถึงมาเจาะจงที่ลูกเรา มีเหตุปัจจัยอื่นๆหรือไม่  ลองฟังความเห็นต่อไปครับ    ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : Gee Dai เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 11:31:02

ความคิดเห็นที่ 10 ให้ลูกชายรู้จัก "อดนม" ได้แล้วมั้งครับ บัณฑิตทุกคนที่จบมหาวิทยาลัยออกมา ล้วนต้องทำงานซึ่งมีผลกระทบต่อ ชีวิตของผู้อื่นไม่มากก็น้อย...หากมัน..เอ๊ย เขา ยังไม่สามารถฟันฝ่าปัญหา ที่เผชิญอยู่ ด้วยลำพังปัญญาตนเอง เพราะ "พ่อแม่เข้าแทรกแซง" วิธีการ แก้ไขปัญหาของเขา สังคมเราในอนาคตคงแย่   เลิกป้อนขวดนมให้ลูกได้แล้วครับ... จากคุณ : ลุงอ่ำ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 11:33:49

ความคิดเห็นที่ 11 ผมคิดว่า จขกท.ไม่ลองหาโอกาสไปเยี่ยมอาจารย์เพื่อประเมินตัวอาจารย์ชายคนนั้นบ้างหรือครับว่า มีท่าทางอาการอย่างที่ลูกชายเขากล่าวถึงหรือไม่ ? โดยอ้างเรื่องการศึกษา และความประพฤติของเขาเท่าที่อาจารย์ได้พบเห็นระหว่างเรียนก็ได้ หากเพียงแค่ทราบ แต่ไม่เคยเข้าไปเห็นข้อเท็จจริง ข้อมูลที่ได้อาจคลาดเคลื่อนนะครับ ที่กล่าว มิได้หมายว่าจะปกป้องตัวอาจารย์ หรือไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องลูกเขาที่บอกมานั้นเป็นความจริง แต่ผมมองในแง่ตรวจสอบเพื่อหาข้อมูลเบื้องต้น เหมือนหมอที่นัดคนไข้ไปตรวจร่างกายนั่นแหละ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 13:02:57

ความคิดเห็นที่ 12 ผมขอขอบคุณนะครับ ทุกคำตอบที่ให้ผมมาเป็นข้อคิดคที่ดีมากๆ คือแบบนี้ครับ ผมพูดตรงๆว่าลูกชายไม่ได้มีพฤติกรรมที่ส่อเค้าว่าเป็นเกย์ และการอบรมของผม ผมจะสอนให้เขาแก้ไขกับชีวิตของเขาเอง เพราะทุกวันนี้ เขาใกล้จบแล้ว คือ อยู่ปี4 เรื่องของเรื่องคือ ผมพยายามสืบหาข้อมูลเองนานเกือบปีเหมือนกัน ได้เข้าไปใหล้ชิดกับเพื่อนๆของเขา และกับนักศึกษาที่เรียนกับอาจารย์ท่านนี้มา คือ อาจารย์ท่านนี้ เคยได้ถูกร้องเรียนมาแล้วครับ แต่อาจจะนานมาแล้ว คือ คล้ายๆกับว่า เขาค่อนข้าง "แอบ" ไม่ใช่ว่าลูกผมหน้าดีมากๆ แต่คือ อาจารย์ท่าน สอนวิชา รัฐศาสตร์ แล้วมีอยู่ช่วงนึงลูกผมเข้าไปสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลด้านการศึกษา ตั้งแต่นั้นมา อาจารย์ท่านนี้ ได้มีการนัดออกไปเจอ หรือ ไปข้างนอกกัน ซึ่งลูกชายผมเคยเปิดโฟนให้หัง คำพูดของอาจรย์ท่านนี้ มันสื่อออกไปทางนั้นจริงๆครับ ถ้าลูกผมมีอาการผิดปกติของความเป็นชาย ผมตอบตามตรงว่า คนที่เป็นพ่อ จะ มีเซนท์ที่รู้ทันที แล้วเท่าที่ผมรู้มาจากในมหาลัยด้วยกัน คือ เคยมีนักศึกษาหลายคนแล้วที่เคยเจอปัญหาแบบนี้ คนไหนที่ถูกใจแล้วตกลงกับเขาด้วยก็ดีไป แต่ถ้าคนไหนที่เขาไม่เล่นด้วย เขาจะเกลียดคคนนนั้นทันที มีการว่า ยุแยง กลั่นแกล้ง แต่ ผมก็ไม่เข้าใจว่า การที่เรื่องทั้งหมดที่อาจารย์ท่านนี้ยังสอนอยู่ได้ เป้นเพราะว่า หลักฐานทางการกระทำของเขาอาจจะไม่เพียงพอหรือเปล่า เรื่องๆของเรื่องคือแบบนี้ครับ ผมมั่นใจว่าผมเป็นกลางและดูความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ไม่เข้าข้างลูกผมแน่ ขอบคุรครับ จากคุณ : peelpor@hotmail.com เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 17:02:56 A:124.120.209.136 X: TicketID:320479

ความคิดเห็นที่ 13 เด็กหลายคนมีทัศนคติเกี่ยวกับการทำงานที่ไม่ค่อยดีนัก คิดว่าจบไปแล้ว จะได้งานที่มีความสำคัญทันที >>>>>>>>    ผมเห็นว่า เด็กมักจะคาดหวังว่า เมื่อเรียนจบไปแล้ว ก้าวออกไปทำงาน ได้ทำงานที่เรียนทันที แต่ในชีวิตจริง ไม่ใช่   ก้าวออกไปในชีวิตจริง ต้องพร้อมจะต่อสู้กับอุปสรรคมากมาย ผมอยากจะเตือนให้ เตรียมความพร้อมให้เด็กไว้ก่อนล่วงหน้า จะดีกับชีวิตทำงานครับ จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 09:30:14

ความคิดเห็นที่ 14 ตอนไปฝึกงานโดนให้ไปเดินเอกสารบ้าง ให้ไปถ่ายเอกสารบ้าง ให้ไปชงกาแฟบ้างก็ไม่ค่อยพอใจกัน หาว่าโดนกลั่นแกล้ง โดนดูถูก >>>>>>>> ปัญหานี้ผมเชื่อว่า เป็นปัญหาที่พ่อแม่ทุกคนต้องเจอ เมื่อลูกมาฟ้องว่า ที่ทำงานใช้ชงกาแฟ ถ่ายเอกสาร เดินเอกสาร และเด็กไม่เข้าใจ คิดว่า ไม่ตรงกับที่เรียน ไม่ตรงกับหลักสูตรการเรียน ผมเคยคุยกับโรงเรียน จึงเข้าใจ ความมุ่งหมายที่ให้เด็กฝึกงาน   เขาต้องการให้เด็กได้เรียนรู้ชีวิตการทำงาน ได้รู้จักสังเกตการทำงาน เพื่อให้เกิดความพร้อมจะออกไปทำงาน เป็นการแนะแนว การใช้ชีวิตทำงานร่วมกับคนอื่น การฝึกงาน ไม่ใช่ว่า ต้องทำตามหลักสูตร 1..2..3 อย่างที่เด็กเข้าใจ ลูกสาวผมตอนแรกก็โอดคราญอย่างนี้ คนทำงานรุ่นๆเดียวกันเรียก น้อง บ้าง ผมก็อธิบายให้เข้าใจ ตอนนี้ลูกสาวจบออกมาทำงาน รู้จักเอาตัวรอด happy กับงานดี จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 09:34:32