ชายคนนั้นอายุประมาณสี่ห้าสิบปี เขามีรูปร่างท้วมมีลักษณะคล้ายอาจารย์หรือไม่ก็ ข้าราชการระดับสูง
มีศีรษะล้านเหมือนเจ้าคุณปัญจนึกในนิยายเรื่องพลนิกรกิมหงวนไม่มีผิด ขณะนี้เขากำลังคุยกับคุณน้าของหล่อนอย่างออกรส นินรินท์ถูกแนะนำให้รู้จัก เขาคือทนาย..ชื่อสมาน นินรินท์ยกมือไหว้ สีหน้ายังแปลกใจไม่หาย .......
"ลูกนินจ๋า คุณสมานเขามาคุยเรื่องบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณพ่อของหนูน่ะจ้ะ เห็นว่า อยู่ริมน้ำเจ้าพระยา เขาบอกว่าเจ้านายของเขาสนใจจะซื้อ คุณน้าเองก็เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องของตัวเอง ก็เลยอยากจะให้หนูมาคุย จะอย่างไรก็พ่อลูกกัน และมรดกหรืออะไร ต่าง ๆ คุณพ่อของหนูเขาก็ยกให้หนูหมดแล้ว คุณน้าก็เห็นว่าดีนะจ๊ะ เราทิ้งไว้บ้านหลังนั้น ก็จะผุเก่าไปเสียเปล่า ๆ หากเขาให้ราคาสมน้ำสมเนื้อ คุณน้าว่าก็ควรจะขายไป จะได้เก็บ ไว้เป็นทุนการศึกษาของหนูเอง...ฯลฯ.."
คุณน้าของหล่อนพูดเป็นจังหวะ..ด้วยน้ำเสียงต่ำสูงชวนฟัง และล้วนเต็มไปด้วยความ ปรารถนาดีไปทุกประโยค
แต่หล่อนรู้ดีว่า ที่แฝงมานั้นคืออะไร หล่อนเห็นแม้กระทั่งดวงตาที่เป็นมัน และริมฝีปากที่มีน้ำลายไหลซึม
หญิงสาวฉุกคิดถึงข้อความเมื่อคืน ที่หล่อนอ่านจากบันทึกของคุณพ่อ ".....วันหนึ่ง ที่บ้านริมน้ำหลังนั้น เราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าอีกครั้ง ฉันหวังว่า วันนั้นจะมาถึงโดยเร็ว...."
พ่อคงหมายถึงบ้านหลังที่กำลังถูกขอซื้อนี้ บ้านที่พ่อหวังว่าจะกลับมาอยู่กันพร้อมหน้าอีก ครั้งกับลูกเมียของท่าน
หล่อนจะขายบ้านหลังนั้นไปได้อย่างไร เพราะหล่อนเอง ก็หวังว่า วันแห่งการพร้อมหน้า นั้นจะมาถึงโดยเร็วอยู่เหมือนกัน สิ่งที่หล่อนทำได้จึงมีแค่รอยยิ้ม หล่อนยิ้มให้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่น้าสาริน แล้วพูดว่า "ดิฉันไม่ขายค่ะ"
สิ้นเสียงนั้นคนที่ดูจะเดือดร้อนที่สุดจะเป็นใครไปเสียมิได้ นอกเสียจากคุณน้าสาริน รองไปจากนั้นคือคุณน้าผู้ชายคนใหม่ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน สีหน้าแสดงความเสียดายเหมือนปล่อยให้ลาภก้อนใหญ่หลุด มือไปต่อหน้าต่อตา
แล้วคุณน้าสารินก็หัวเราะรื่น..ก่อนจะพูดกับทนายผู้นั้นว่า "อย่างงี้ดีกว่าค่ะ ให้เวลาหนูนินอีกสักวันสองวัน ดิฉันเองจะพยายามช่วยพูดให้ เพราะถึง อย่างไรในฐานะผู้ปกครองดิฉันก็ควรจะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจนี้ด้วย..."
หางเสียงนั้นเข้มเหมือนเช่นที่หล่อนคุ้นมาตั้งแต่เดิม "ถูกต้องแล้วครับ..เป็นเรื่องภายในที่พวกเราจะจัดการกันเอง ผมคิดว่าหลานของผมคงจะ ยังตั้งตัวไม่ได้ ให้เวลาพวกเราน้าหลานไม่นานหรอกครับ แล้วเราจะรีบติดต่อไปครับ.."
เป็นการย้ำมาอีกครั้งของนายสุพจน์ ซึ่งเขาไม่น่าจะมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เลย ...............
อาการที่นินรินท์เรียกว่า "ปีศาจอาละวาด" นั้นเกิดขึ้นทันทีที่แขกคนนั้นลาจากไป ดวงตาที่ฉ่ำเยิ้มอยู่เมื่อหยก ๆ เปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวดุดันจ้องมองหล่อนเขม็ง มือตบโต๊ะโครมแล้วโครมเล่าราวจะบดขยี้สิ่งที่ขวางทางและขัดใจผู้ปกครองบรรดาศักดิ์ คนนั้น
เหล่าคำผรุสวาทพร่างพรูออกมาจากปากสีแดงเหมือนอาบเลือดนั้นจนแทบฟังไม่ทัน "ฉันไม่เข้าใจเลย..ฉันไม่เชื่อเลยว่าแกจะกล้าหักหน้าฉันถึงขนาดนี้.." "เงินตั้งเก้าสิบล้านเชียวนะที่แกกล้าทิ้งมันไป ฉันอยากรู้นักว่าแกกินอะไรเข้าไปถึงได้โง่ ขนาดนี้"
"อย่าลืมนะว่าศาลสั่งให้ฉันเป็นผู้ปกครองของแก อายุของแกก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เพราะฉะนั้นฉันจะทำอะไรกับทรัพย์สินของแกก็ได้.."
"ฉันอุตส่าห์ให้เกียรติแก เรียกแกมารับรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้น แต่แล้วแกกลับทำฉันเจ็บ นัก.."
ฯลฯ
นินรินท์ยังคงเงียบ..เก็บงำความรู้สึกทุกอย่างเข้าหัวใจ "พ่อกับแม่ของแกน่ะไม่ตายก็เหมือนกับตายไปแล้ว ทิ้งแกไว้เป็นภาระของฉัน ทรัพย์สิน ที่เคยมีแกก็รู้ว่าแต่ละอย่างก็ติดจำนองบ้าง ขายเอาไปใช้หนี้เขาบ้าง
ทุกวันนี้ก็มีฉันนี่แหละที่ต้องยอมควักเลือดควักเนื้อออกมาเลี้ยงดูแก แล้วนี่อะไร แทนที่ จะได้เงินมาหล่อเลี้ยงต่อไป แต่แกกลับปฏิเสธมันไปอย่างโง่ ๆ
เอาล่ะ..ฉันจะไปเปิดเซฟที่ธนาคารเพื่อเอาโฉนดเดี๋ยวนี้ สิ่งที่แกต้องทำก็คือเซ็นต์ชื่อใน ฐานะผู้รับมรดก และยินยอมให้ฉันซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกขายมันไปซะ ..แกเข้าใจ ไหม?.."
นินรินท์ค่อย ๆ ลุกขึ้น พูดเสียงเรียบและนิ่งที่สุดว่า "คุณน้าจะทำอะไรก็ตามใจเถอะค่ะ..แต่ขอให้รับรู้ไว้ด้วยนะคะ ว่าหนูไม่ยอมเซ็นชื่อเด็ด ขาด..และพ่อกับแม่ของหนูก็ยังไม่ตาย ท่านรอวันจะกลับมาเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็น ของท่านคืน"
โดยไม่ยอมฟังหรือมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น หล่อนรีบเดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ เหลียวหลัง
ท่ามกลางเสียงกรี๊ดลั่นบ้าน .................
จากคุณ |
:
รันนรา
|
เขียนเมื่อ |
:
13 มิ.ย. 54 18:53:35
|
|
|
|