Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ผมออกจากบ้าน ทิ้งพ่อทิ้งแม่มา เพราะอึดอัดกับพวกท่าน ผมควรแก้ปัญหาอย่างไรดี รับฟังและขอคำแนะนำด้วยด้วยครับ ติดต่อทีมงาน

ผมเป็นลูกคนเดียวของที่บ้านครับ ที่บ้านเป็นคนต่างจังหวัด

พ่อกับแม่ รับราชการทั้งคู่

บ้านเราฐานะค่อนข้างจน เนื่องด้วย พ่อกับแม่ผม มีรายได้มาอยู่ทางเดียวคือ เงินเดือนข้าราชการ ก็อาศัยอยู่กับบ้านของหลวงมาตลอด

คุณพ่อ เป็นคนเจ้าระเบียบสุดๆๆๆๆๆในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต  อย่างตั้งแต่เด็กเล็กๆมาผมต้องอยู่ในกรอบในเกณฑ์ตลอด  กลับบ้านก่อนห้าโมงเย็น หลับก่อนสามทุ่ม ใช้เงินไม่เกินวันละ ยี่สิบ ทำอย่างนี้มาตั้งแต่ เด็กๆ จนถึงม.สี่

ทุกเย็นกลับมาที่บ้าน ผมต้องทำความสะอาดบ้าน ล้างจาน ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ ตอนห้าโมงเย็น  หลังจากเสร็จประมาณหนึ่งทุ่ม ก็ต้องทบทวนหนังสือโดยคุณพ่อ  ซึ่งท่านอยากให้สอบเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อย (แต่ในตอนนั้นใจผมอยากเป็นหมอ)

คุณพ่ออยากให้เป็นนักเรียนนายร้อย เพราะ ท่านมีความเห็นว่า เป็นงานที่มั่นคง เลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่สอบเข้าไป (ซึ่งจริงๆผมไม่ได้อยากเป็นนายร้อยเลยซักนิด แต่ก็ออกความเห็นไม่ได้ จะโดนด่าว่า โง่ ไม่มีหัวคิด )

ตอนทบทวนหนังสือทุกๆคืนกับคุณพ่อ มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นจริงๆ เพราะ ท่านเป็นคนที่ถ้าไม่ได้ดั่งใจซัดลูกเดียว เหมือนเป็นการระบายอารมณ์จากงานตอนเช้ามา  

จริงๆ มันเหมือนฝันร้ายของผม อ่านหนังสือไม่เข้าใจก็เอาสันหนังสือฟาดหัว ตอบคำถามข้อไหนไม่ได้โดนดึงหู ทุบหลัง จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ไปโรงเรียนแล้วันไม่ได้ยินอะไรเลย มันวิ้งๆตลอด ครูเลยพาไปหาหมอ ซึ่งก็เป็นเกี่ยวกับปัญหาในช่องหู (ซึ่งก็จากการโดนกระชากทุกคืน ตบบ้องหูไรงี้ )

ซึ่งมันค่อนข้างโหดร้ายนะ สำหรับเด็กในวัยนั้น ผมจำได้เลย ผมร้องไห้ขี้มูกโป่ง ไม่หลับถึงเช้าในบางคืน ตอนเย็นไม่อยากกลับบ้าน  ไม่อยากให้ถึงหนึ่งทุ่ม อยากอยู่โรงเรียนไม่ต้องกลับมาบ้าน

หลังจากติวหนังสือเสร็จ ก็ต้องมานวดเท้า เกาหลัง นวดบ่าให้พ่อประมาณชั่วโมงนึง ถึงจะเข้านอนได้ ถ้านวดไม่ถูกใจ หรือเถียง หรือเมามา แกก็เอาตีนถีบหน้านี่ล่ะ  อันนี้คือเรื่องจริงครับ

หลังจากพ้นช่วงม.สี่ไป  ผมสอบนายร้อยไม่ติด  แกก็ให้ไปสอบใหม่ตอนม.ห้า ก็ไม่ติดอีก  หลังจากนั้นก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของ คุณแม่ผมมาดูแล

ตอนนั้นผมอยากเรียนหมอมากๆๆๆๆๆ แต่ด้วยความที่ผมชอบทำพวกกิจกรรมด้วย แล้วเกรดตอนนั้นก็ยังสามกว่าๆอยู่  ผมก้เลยไปสมัครเป็นสโมสรนักเรียนของโรงเรียนด้วย แต่มันต้องกลับบ้านเกินสามทุ่มในบางครั้ง และต้องตื่นมาประมาณตีห้า เพื่อไปทำกิจกรรมตรงนี้ด้วย (ในบางวัน)

ซึ่งตรงนี้ คุณแม่ผม ท่านก็ไม่เห็นด้วย เพราะมันดึก แต่ผมก็ออกความเห็นไปว่า จะไม่ให้กระทบอะไรต่อการเรียน ซึ่งก็ไม่มีใครฟัง  ผมก็เลยแอบทำแล้วค่อยให้เพื่อนมาส่ง เพราะตอนนั้นอยากทำกิจกรรมส่วนรวม อยากมีประสบการณ์ชีวิต แต่ท่านบอกว่า เกรดจะตก  ผมก็บอกว่า มันจะตกได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยปล่อยเรื่องการเรียนเลย

มีอยู่อาทิตย์นึงก่อนงานกีฬาสีโรงเรียนจะเริ่ม  ผมต้องไปช่วยสโมสรนักเรียนจัดการเรื่องนี้ กว่าจะเสร็จก็ปาไปสี่ทุ่ม  ผมให้เพื่อนมาส่ง แล้วก็อ่านหนังสือต่อยันตีสอง  แกออกมาเห็นก็ด่าๆๆๆๆ บอกว่ามันเสียสุขภาพ จะไปเอามันทำไมกิจกรรมไร้สาระ เพื่อนฝูงเดี๋ยวมันก็ทิ้งกันไป ไม่มีใครมาอยู่กับแกหรอก ซึ่งตรงนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย ก็ออกความเห็นไปต่างๆนาๆ แต่แกก็ไม่ฟัง ไม่เห็นด้วย ให้ไปลาออกจากชมรมพรุ่งนี้เลย

ซึ่งตอนนั้นมันอึดอัดมาก  ทั้งๆที่อีกไม่กี่วันงานกิจกรรมก็จะผ่านไปหมดสิ้นอยู่แล้ว ผมกลับต้องทื้งตรงนั้นมา แล้วก็กลับบ้านห้าโมงเย็น มันเพื่ออะไร ในเมื่อกลับมาตอนนั้นมันก็ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสืออะไรอยู่ดี สู้ทำสิ่งที่อยากทำให้เสร็จ แล้วค่อยมาเคลียร์ตรงนี้ต่อ ก็สบายใจกว่า

ตอนนั้นผมก็อยากเรียนพิเศษ แต่ติดปัญหาตรงที่ไม่มีเงินไปเรียนหรอก อย่างที่ดังๆ ก็แพง อย่างที่ถูกๆ โจทย์ก็คัดมาสู้ที่ดังๆไม่ได้อยู่ดี ก็อาศัยอ่านเอง  อยากได้ก้ต้องขวนขวายหนังสือเอามาอ่านเอง ซึ่งตอนนั้นก็อาศัยยืมหนังสือเพื่อนมาถ่ายเอกสาร และ หนังสือห้องสมุดโรงเรียนมาอ่าน

ผลคือ  ติดแพทย์แห่งหนึ่งในกรุงเทพ  แต่ดันไม่ได้ไป เพราะ แม่บอกว่าไปกรุงเทพมันค่าใช้จ่ายสูง จะเอาที่ไหนไป (ตอนนั้นผมได้ตังไปโรงเรียนวันละ สามสิบบาท เคยเข้ากรุงเทพครั้งเดียว ขึ้นรถเมล์ไป สิบกว่าบาทก็ยังรู้สึกว่ามันแพง ซึ่งก็จริง)

ตอนนั้นผมโกรธตัวเองมากๆๆๆๆๆ เหมือนมันก็แค้นในโชคชะตานะ  ทำไมเราไม่มีเหมือนคนอื่นเค้า  แล้วพ่อกับแม่เอาเงินไปที่ไหนหมด ทั้งๆที่ผมก็ใช้แค่วันละสามสิบบาท  ค่าเรียนโรงเรียนรัฐบาล พ่อกับแม่ก็เบิกได้เต็มจำนวน ลูกคนเดียวอีก  เอามาเทียบกับญาติๆด้วยกัน ผมรุ้สึกเหมือนทำไมครอบครัวอื่นเค้าอบอุ่น  ทั้งๆที่อาผม เค้าก็รับราชการเหมือนกัน ส่วนน้าก็เป็นแม่ค้า  ลูกก็มีตั้งสามคน แต่เค้าทำไมส่งลูกสามคนไปเรียนกรุงเทพได้หมด มีบ้านเป็นของตัวเอง แล้วทำไมบ้านเราต้องมาอยู่บ้านหลวง เดินทางระเหเร่ร่อนย้ายไปย้ายมา ไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง  อยู่กับบ้านซอมซ่อ บันไดบ้านพังๆ ห้องน้ำยังเป็นตุ่มให้อาบ  ทำไมๆๆๆๆๆๆ

สุดท้ายผมก็ต้องเรียนแถวบ้าน ซึ่งก็เคยคิดจะหนีไปกรุงเทพเหมือนกัน (ตอนนั้นอายุ 17 )  แต่กลัวหลายๆอย่าง ยังคิดเสียดายว่าถ้าเรากล้าเผชิญกับโลกกว้างตั้งแต่ตอนนั้น มันก็น่าจะดีกว่านี้ แต่ก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วล่ะ
อีกทั้งส่วนลึกๆผมก็ยังเคารพต่อพ่อกับแม่อยู่ดี ก็คิดว่า อดทนเอา เรียนจบค่อยว่ากัน ซึ่งก็เลือกคณะอะไรก็ได้ที่คะแนนมันสูงที่สุดในมหาลัยระแวกนั้น ซึ่งเลือกอะไรไปมันก็ติด สุดท้ายก็มาจบที่การเงิน

ตอนมหาลัยผมก็เริ่มแต่งเนื้อแต่งตัวมากขึ้น เพราะมันก็เป็นหนุ่มแล้วล่ะ อายุ 17 แล้ว  ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแต่งตัวด้วย ใส่ชุดนักเรียน สามปีเปลี่ยนครั้ง พอมามหาลัยก็เริ่มมีสร้อยคอเพิ่มเข้ามา มีเส้นกำไลข้อมือเหล็กที่เค้าฮิตๆกัน

ปรากฎว่าพอซื้อมาใส่เข้าบ้านมาวันแรกแค่นั้น คุณพ่อผมเห็น แล้วท่านไม่ชอบอะไรเลยเกี่ยวกับแฟชั่นต่างๆของวัยรุ่น  ท่านก็ตรงรี่เข้ามากระชากสร้อย กับ เส้นกำไลข้อมือเหล็ก แล้วตบหัวผม ด่าๆๆๆๆๆๆๆ โดยผมยืนอึ้งอยู่  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมไปทำผิดอะไรตรงไหน

ด้วยความเป็นเด็กมหาลัยผมก็ไม่หยุดแค่นั้นนะ  ก้ยังมีซื้อพวกบ็อกเซอร์มาใหม่ แทน กางเกงในเหมาแพ็คของโลตัสที่แม่ซื้อมาให้ ปรากฎว่าพอแกเห็น ก็มาบ่นอีกว่า ซื้อมาทำไม นี่เอาเงินที่ให้ไปแต่งตัวอีกแล้ว ฟุ่มเฟือย ไม่เคยสอนให้เอาเงินไปแต่งตัว ให้เอาไปกินข้าว ใช้จ่ายสิ่งที่มีประโยชน์  ของฟุ่มเฟือยอย่างนี้มันไม่จำเป็น  แล้วแกก็เอาไปทิ้ง  

พอขึ้นปีสี่ก็เลยขอเก็บของย้ายไปอยู่หอกับเพื่อนที่สนิทกัน โดยมันก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไร เพราะเพื่อนผมไม่ค่อยได้อยู่ห้อง  แต่ทุกเย็นพอเลิกเรียนมาเค้าก็จะโทรศัพท์มาตามว่า ทำอะไรอยู่ เมือ่ไรจะกลับห้อง รีบไปอ่านหนังสือ ห้ามเที่ยว  บางวันถ้าไม่รับโทรศัพท์ก็จะตามมาถึงห้อง  ถ้าตามไม่เจอก็จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเค้าจะโทรหาเพื่อนทุกคนของผมที่เค้ามีเบอร์อยู่ แล้วตรงไปหาเพื่อนคนนั้นโดยทันทีว่าผมอยู่ไหน ให้โทรตามมาให้เจอเดี๋ยวนี้  ไปมีเรื่องผู้หญิงเกี่ยวข้องหรือเปล่า ไปทำอะไรเลวร้ายไหม  

ซึ่งมีอยู่วันหนึ่ง  ผมจะไปถ่ายรูปก่อนจบปีสี่  แล้ววันนั้นผมต้องกลับไปนอนที่บ้าน ซึ่งก็โทรกำชับกับพ่อและแม่แล้วว่า จะกลับบ้านดึก เพราะจะถ่ายรูปกัน แล้วก็ไปหาไรกินก่อนแยกย้าย  ปรากฎว่าตอนนั้นประมาณทุ่มกว่าๆ  ผมยังไม่เข้าบ้าน  เค้าเกิดอารมณ์อะไรไม่รู้ โทรเข้ามือถือแล้วบอกว่าให้รีบกลับบ้านนี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว มัวแต่ไปสังสรรค์เหล้ายาปาร์ตี้แน่ๆ  

ผมฟิวขาดได้แต่มึนงง ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน(วะ)  กำลังถ่ายรูปกับเพื่อนๆอยู่ตรงหน้ามหาลัย  ปรากฎว่าเค้ามายืนอยู่ตรงหน้ามหาลัยที่กำลังถ่ายรูป ขี่มอเตอร์ไซต์มาทั้งพ่อทั้งแม่ มาตามแล้วบอกให้กลับบ้าน  จะมาสังสรรค์อะไรนักหนา ตอนเช้าก็มีเวลาเยอะแยะ พรุ่งนี้ค่อยทำ นี่มันกลางค่ำกลางคืนใช่เวลามาถ่ายรูปอะไรกัน

ต่อหน้าเพื่อนฝูงด้วย เพื่อนผมได้แต่ยืนอึ้ง และงงกับเหตุการณ์  ตอนนั้นผมจะอารมณ์ระเบิดตรงนั้นให้ได้ แต่เพื่อนก็บอกว่าใจเย็นๆ กลับไปก่อนเหอะ ผมก็เข้าใจว่า เพื่อนๆคงหมดสนุกกันแล้ว  (ทั้งๆที่ตอนนี้อายุ 21 แล้ว)

พอหลังจากเรียนจบ ที่บ้านก็บอกให้รับราชการใกล้ๆบ้านต่อไป ซึ่งตอนนั้นผมคิดว่า ไม่เอาแล้วล่ะ  นี่แทบจะไม่มีเพื่อนฝุงอะไรกับเค้าเลย วันๆแทบจะไม่ต้องทำอะไรแล้ว ต้องกลับบ้านมาห้าโมงเย็น  แค่แต่งตัวไปออกกำลังกาย ยังโดนถามว่าออกไปไหนค่ำๆมืดๆ  ซึ่งตรงนี้มันเหลืออดกับผมอีกต่อไปแล้วล่ะ  มันไร้เหตุผล มันจะมีระเบียบ มีกฎเกณฑ์อะไรขนาดนั้น

ผมก็ตัดสินใจไม่สอบราชการตามที่ท่านบอก  แล้วตอนนั้นมีเพื่อนย้ายลงมาทำงานที่กรุงเทพแล้วด้วย  ก็เลยถือโอกาสย้ายตามลงมาทำงานที่กรุงเทพด้วย โดยพ่อกับแม่ก็ไม่เห็นด้วยอยุ่แล้ว  บอกว่าทำงานไปก็เอาเงินไปละลายกับค่าเช่าห้อง ค่าเดินทาง ค่ากินเสียเปล่าๆ ไม่มีเงินเก็บหรอก

แต่ผมบอกว่า ผมมั่นใจ  ลงมาแล้วผมสาบานว่าต้องทำชีวิตตัวคนเดียวให้ได้ดิบได้ดี

ผมก็ตัดสินใจลงมาอยู่กรุงเทพ ออกจากบ้านครั้งแรก(อย่างจริงจัง) ตอนอายุ 21 ปี

ความรุ้สึกตอนมากรุงเทพครั้งงแรก เหมือนมัน ได้เปิดหูเปิดตา  อยากทำอะไรก็ทำ  

จากที่ตอนอยุ่มหาลัย ใช้เดือนละ สามพัน แทบจะไม่เคยเอาไปเที่ยว ไปทำอะไรอย่างอื่น เพราะแค่ค่าน้ำมันรถมอเตอร์ไซต์ กับ ค่ากิน ค่าจิปาถะ ก็หมดแล้วล่ะ

เชื่อไหมว่า  พอมาอยู่กรุงเทพผมทำสองงาน ลงมาปุ๊บก็หางานอะไรก็ได้ที่ได้เร็วที่สุด แบบที่เค้ารับทันที เพราะมีเงินติดตัวอยู่หมื่นกว่าบาท  นอกนั้นเอาไปจ่ายมัดจำค่าห้อง หลังจากนั้นก็ได้ทำงานแรกเป็นคอลเซ็นเตอร์ ภายในอาทิตย์เดียวก็ได้เริ่มงาน  แล้วพอเลิกงานมีอีกงานนึง มีเพื่อนขายของอยู่ที่โรงงาน  ก็ไปช่วยเค้า ได้มาอีกวันละสามร้อย เดือนนึงรวมๆได้ประมาณสองหมื่นกว่าๆ  จ่ายค่าห้อง สองพันห้า รวมน้ำไฟ  จ่ายค่ากินวันละสี่สิบ รวมๆก็พันสอง  นอกนั้นก็จ่ายจิปาถะ  รวมๆแล้วก็เหลือเก็บเหมือนกัน

แต่ด้วยความที่หักโหมสุดๆ  แทบจะไม่ได้นอน  พอซักปีนึงผ่านไป มีอยู่วันนึงจู่ๆมันก็เหมือนลุกไม่ขึ้น เหมือนมันไร้แรงไปหมด ผอมโซ ไอเหมือนเป็นวัณโรค ก็เลยต้องเข้าโรงพยาบาลเลยครับ ตอนนั้นคิดเลยว่า  อยู่อย่างนี้คงไม่รอดแน่ๆ เราคงทำสองงานไปตลอดอย่างนี้ไม่ไหว  

แต่ไม่อยากให้ใครมาดูถูก  เพราะ พ่อกับแม่เคยมาเห็นสภาพห้องของผม ซึ่งไม่มีอะไรเลย ทีวีก็ไม่มี  ตู้เย็น  อะไรก็ไม่มี มีแค่เตียง  กับ ตู้เสื้อผ้าแค่นี้ล่ะ ไว้ซุกหัวนอน  กระติกน้ำอีกอัน เค้าก็บอกว่า มาตกระกำลำบาก  เอาเงินมาละลายกับค่าห้องเดือนละสองพันกว่า นี่ล่ะหนา อยู่บ้านสบายๆไม่ชอบ ต้องมาลำบาก รถติด สุขภาพก็แย่

ตอนนั้นผมก็ฮึดสู้อีก แต่ก็ท้อเหมือนกัน เพราะจะไปทำอะไรงานเดียวที่มันได้สองหมื่นขึ้นไป แล้วรับวุฒิป.ตรีกระจอกๆแบบเรา  ซึ่งด้วยความที่ผมค่อนข้างหัวรักเรียนอยู่บ้าง  เห็นเพื่อนบอกไปสอบโทอิกไว้ ก็เลยไปสอบได้เจ็ดร้อยกว่าๆ  เลยยื่นสมัครเป็นเบลบอย โรงแรมดังที่นึง มันก็ได้ถึงจริงๆ สองหมื่นกว่าๆ  ก็คิดว่าอยู่รอดแล้วล่ะ (ด้วยงานเดียว) ยังมีเวลาพักได้หายใจหายคอบ้าง

พอได้งานที่นี่ มีเงิน มีเวลาพักผ่อน ด้วยความที่ผมรักแต่งตัวบ้างนะ  พอมีเงินก็ย้ายมาอยู่ห้องแอร์ ติดรถไฟฟ้า ขอความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตบ้าง เริ่มซื้อเสื้อผ้า ตู้เย็น ซื้อของเข้าห้องเพิ่มขึ้น

พ่อกับแม่มาเห็นห้องอีกที  ก็มาบ่นอีกว่า  นี่รักความสะดวกสบายอย่างนี้ชีวิตไม่มีทางเจริญหรอก  เอาเงินมาลง มาละลายเป็นค่าเช่าห้อง เป็นค่าความสบาย เดี๋ยวอีกหน่อยกรุงเทพมันก็จะจมหายไปในทะเล  เดี๋ยวก็หมดกัน

ซึ่งผมก็พยายามไม่คิดไรมากแล้วล่ะ  ตอนนี้มันพออยู่รอดได้บ้างแล้ว  ก็เริ่มหาทางไปต่อ

ด้วยความที่ใจผมพอจะคิดดี มองอนาคตบ้าง ไหนๆมันก็ยังมีทางอยู่ แล้วผมเห็นมีงานเสริฟบนเครื่องบิน รับวุฒิป.ตรีไม่จำกัดสาขาเยอะด้วย ก็ไปดู แบบ ไม่หวังอะไรหรอก  เพราะได้ข่าวว่าเส้นเยอะ ต้องเก่งจริงถึงจะได้  ผมก็ไปสอบแบบไม่หวังอะไรหรอก เพราะ รูปก็ไม่หล่อ เส้นก็ไม่มี  แต่ยังดีมีความขาว  กับสูงพ้นมาหน่อย ก็เลยสมัครไป

ผมก็ทำตามขั้นตอนนู่นนี่เค้านะ  คือ แบบไม่หวังจริงๆ เพราะผมจบแบบไม่ดังมา  แต่เห็นว่าเค้ารับวุฒิป.ตรีอยู่ แล้วโทอิคมันเลยที่เค้ากำหนดมา ก็เลยมาสมัคร เพราะคิดว่า ยังไงเงินเดือนมันคงเยอะกว่า สองหมื่นแน่ๆ  อยากสร้างตัวได้ อยากเก็บเงินไว้เรียนต่อตามที่ตัวเองต้องการ

มันมีขั้นตอนของเค้าอยุ่ประมาณ สี่ขั้น  พอว่ายน้ำเสร็จก็ประกาศผล  ซึ่งผมก็ไม่คิดไรหรอก ได้ก็ดวงดี ไม่ได้ก็จะไปทำ เบลบอย แล้วไปหาขายไรเพิ่มด้วย จะได้มีตั้งตัวกับเค้าได้ซักที อยากมีรถยนต์ไว้ขับสบายๆ ไม่ต้องมานั่งลำบากตื่นเช้ามาต่อคิว ไปเที่ยวไหนไกลๆได้บ้าง  จะได้ซื้อบ้านไว้บ้าง ไม่ต้องเอาเงินมาละลายเป็นค่าเช่าเหมือนที่พ่อกับแม่บอก เค้าจะได้หยุดว่าได้

เหมือนโชคช่วย  หรือเพราะผมไปไหว้พระพิฆเณศมาด้วยก็ไม่รุ้นะครับ ก้มีรายชื่อออกมาจริงๆ  แต่กว่าจะได้เข้าไปทำงานจริงๆคงอีกหลายเดือน แต่มันก็เหมือนประกันไว้ได้ว่าผมยังมีทางไปต่อนะ  

ผมก็บอกกับทางบ้านนะ  แต่เค้าก็ต่อว่าผมอีกตามเคย  ว่าไปทำแล้วมันเสี่ยงตาย ไปทำอะไรที่มันไม่เป็นกิจจะลักษณะ ทำไมไม่กลับบ้านมารับราชการ อยู่แบบนั้นมันมีความสุขตรงไหน  งานก็ไม่มั่นคง เค้าจะให้ออกเมื่อไรไม่รู้ ฯลฯ

ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมควรกลับบ้านไหม  แต่ตั้งแต่ออกจากบ้านมา มันเหมือนผมมีความสุขนะ  ไม่อึดอัดเหมือนแต่ก่อน อยากทำไรก็ทำ แต่ผมสาบานกับตัวเองด้วยว่า ต้องได้ดี ต้องได้ดี แม้เรามาอยุ่ตัวคนเดียว แต่ก็ต้องมีอนาคตที่ดี จะได้สบาย ผมก็คิดอย่างนี้นะครับ

ตอนนี้ก็ย่างจะเข้า 24 แล้วล่ะครับ  ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า อนาคตจะเป็นอย่างไรบ้างอ่ะนะ  แต่ปัจจุบันผมก็รู้แค่ว่าอยากทำไรก็ทำ อยากแต่งตัว มีเสื้อผ้าดีๆใส่กับเค้าบ้าง อยู่สบายบ้าง ผมก็ทำนะ  รู้สึกซื้อความสุขให้ตัวเองบ้าง อย่างช่วงนี้ห่วงหล่อหน่อย เพราะเหมือนใช้ร่างกายหนักมาตลอดจริงๆ (แต่ก็ปล่อยตัวด้วย ดื่มกาแฟ เหล้าเบียร์บ้าง)

ผมควรจะทำอย่างไรกับที่บ้านดีครับ  ใจจริงผมก็เหมือนกับ ทิ้งเค้ามา ไม่ดูแลเค้า  แต่ผมก็เคยกลับบ้านไป หรือพาเค้าไปเที่ยวต่างจังหวัดนะครับ แต่เค้าก็ยังเหมือนเดิม  อย่างตอนผมขับรถพาไปเที่ยว  แกก็จะบ่นบนรถยนต์ตลอดว่า ขับอย่างนี้ซักวันก็ตายเอา  ขับเร็วไป  (ทั้งๆที่เหยียบไม่เกินแปดสิบนะ) แล้วก็ยังชอบเอาเรื่องในอดีตที่ผมสอบไม่ติดนายร้อยมาเล่าตอนกินข้าวอยู่ตลอดเวลา  ซึ่งก็ไม่รู้จะเอามาพูดทำไม  พาลจะกินข้าวไม่ลงทุกที เหมือนกลับบ้านไปซักอาทิตย์นึง  มันก็เริ่มกลับมาอึดอัดเหมือนตอนเด็กๆอีกครั้ง  จนถึงตอนนี้ผมกลับบ้านไป  ผมก็ยังต้องกลับมาก่อนสองทุ่มนะ  นัดเพื่อนต่างจังหวัดมาเจอ ก็ยังกลับบบ้านดึกไม่ได้เหมือนเดิม

ซึ่งตรงนี้ผมก็อึดอัดนะ  ไม่รู้ว่าเค้าเป็นอะไร  ทำไมชอบมีเรื่องกดดันตลอด  แต่ผมก็มองโลกในแง่ดีนะ  ว่าเค้ากดดันผม  ทำให้ผมต้องรักดี  แต่กับบางคนมันก็ไม่ใช่นะ  อย่างญาติผม  ที่บ้านเค้าก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน  แต่ลูกเค้ากลายเป็นโรคประสาทไปเลย  (ซึ่งตัวผมพอเข้าใจ) แต่ผมโชคดีที่ไม่เป็น


ยังไงขอความคิดเห็นด้วยนะครับ  

ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ ^^

จากคุณ : 6_pack
เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 23:47:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com