Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เรื่องเล่าจากสวนอ้อย (ผู้น่าสงสาร) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากสวนอ้อย

ฉากชีวิต ฉบับพิมพ์ ครั้งที่ ๒

ผู้น่าสงสาร

" เพทาย "

ในสมัยก่อนคนจีนจากแผ่นดินใหญ่ ที่หลั่งไหลเข้ามาทำมาหากินในแผ่นดินไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนมากจะมีอาชีพค่อนข้างต่ำ และยากจนค่นแค้น ส่วนน้อยที่เข้ามาค้าขายเป็นเจ้าสัว แต่ทุกคนก็มีอาชีพ แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติ และภาษา ซึ่งล้วนแต่ทำงานกันตัวเป็นเกลียว ไม่มีคนจีนนั่งขอทานเลย นอกจากจะมีนักดนตรีจีนคณะเล็ก ๆ สองหรือสามคนที่มีซอเป็นหลัก หรือคณะเชิดสิงห์โตเท่านั้น ที่จะเดินเรี่ยรายไป ตามหน้าร้านค้าของคนจีนด้วยกันเอง ในเทศกาลตรุษหรือสารทจีน

จนกระทั่งถึงสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกที่เป็นพ่อค้าก็กลายเป็นมหาเศรษฐี ส่วนกลุ่มที่ทำมาหากินในระดับรองหรือระดับล่าง ส่วนใหญ่ก็มีฐานะดีขึ้นกว่าเดิม หรือไม่ก็มั่งคั่งสมบูรณ์ จนแทบจะไม่มีผู้ใดต้องลำบากยากแค้นเหมือนบรรพบุรุษอีกต่อไป เขาเหล่านั้นเดิมเรียกกันว่าลูกจีน แต่ในปัจจุบันถือว่าเป็นคนไทย เชื้อสายจีน

เขาเหล่านั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็ด้วยความขยันหมั่นเพียร ความมานะอดทน ความมัธยัสถ์ อดออมถนอมใช้ จนถึงปัจจุบันคนรุ่นที่สาม ก็ได้กลายเป็นไทยแท้และอยู่ในทุก วงการทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับชั้นจนถึงระดับบริหารประเทศ

ดังนั้นจึงมีผู้แสดงตนอย่างภาคภูมิใจว่า เขานั้นเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ให้ได้เห็นได้ยินได้ฟังกันอยู่เสมอมา อย่างมากมาย ไม่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร

ส่วนคนไทยที่เป็นไท้ยเป็นไทยนั้น ไม่ค่อยจะมีอะไรโอ้อวดสักเท่าใดนัก นอกจากจะเป็นผู้ที่ด้อยโอกาส ขาดแคลนในสิ่งต่าง ๆ จนต้องชุมนุมกันเรียกร้องสิทธิและผลประโยชน์กันอยู่บ่อย ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ตามสถานการณ์ ซึ่งมักจะก่อความรำคาญให้แก่ผู้บริหารบ้านเมืองอยู่เสมอ

นานมาแล้ว ผมเคยเห็นลูกจีนคนหนึ่งเป็นหญิง บิดามารดามีอาชีพขายก๋วยเตี๋ยวบะหมี่ เธอผู้นั้นเป็นนิสิตในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเด่นมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ตอนเย็นที่เธอกลับจากเรียนหนังสือ ยังไม่ทันจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพียงดึงชายเสื้อสีขาวออกนอกกระโปรง สีดำเท่านั้น แม้แต่เข็มเครื่องหมายสถาบันก็ยังไม่ได้ปลดออกด้วยซ้ำไป เธอก็รีบเข้ามาช่วยบริการยกอาหารที่ลูกค้าสั่ง เก็บถ้วยชามไปให้คนล้าง ซึ่งเชื่อว่าเธอได้ทำหน้าที่นี้มาตั้งแต่เด็กเรียนชั้นประถม และเชื่อต่อไปอีกว่า ในการเรียนหลายปีที่ผ่านมา บิดามารดาของเธอคงไม่มีเวลาหรือความรู้พอที่จะช่วยเธอทำการบ้าน ดังเช่นที่พ่อแม่ทั้งหลายต้องทำอยู่ในเวลานี้ อย่างแน่นอน แต่เธอก็ได้สอบผ่านเข้าไปจนถึงมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง

เด็กอย่างนี้คงมีอยู่อีกมากมาย ซึ่งในปัจจุบันได้ดำเนินชีวิตอยู่ในอาชีพที่มีเกียรติสูงแทบทุกสาขา ต่างกับเด็กไทยในสมัยนี้ ซึ่งเมื่อเลิกเรียนแล้วก็เที่ยวไปเดินอยู่ในศูนย์การค้า พลาซ่า หรือเข้าบาร์เข้าผับไปเลย จึงมองเห็นแต่ชุดขาวดำเต็มไปหมด ทั้งที่มีเข็มและไม่มีเข็มเครื่องหมาย เมื่อรับปริญญากันมาทีละมากมาย ก็ต้องเดินหางานทำจนแทบจะชนกันตาย

ผมจึงเกิดความชื่นชมอย่างมาก เมื่อได้เห็นเด็กสาวผู้หนึ่ง ที่เธอนั่งรถเก๋งคันเล็กสีแดงสด ไปทำงานแต่เช้าตรู่ ขณะที่ผมเพิ่งเดินออกไปหาซื้ออาหารหวานคาวใส่บาตร เธอจะยื่นหน้าจากรถออกมาสั่งซื้อข้าวและแกง ใส่ถุงหลายอย่าง คงจะนำไปรับประทานยังที่ทำงาน แต่เมื่อกลับมาตอนเย็นค่ำ เธอก็จะต้องช่วยแม่ขายข้าวและแกงถุง เช่นเดียวกับเจ้าที่ออกขายเมื่อตอนเช้า โดยแทบจะไม่ได้เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว จากชุดสาวสำนักงานเลย

กิริยามารยาทของเธอขณะที่ขายของ ก็คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงเป็นมืออาชีพ และเป็นกันเองกับลูกค้า ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสน่ารัก เพราะไม่ได้ฝืนทำ ผมจึงมักจะสะสมถุงพลาสติกที่สะอาดและยางเส้นที่ใช้รัดปากถุง เอาไปให้เธอบ่อย ๆ ซึ่งเธอก็แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจ และมักจะคิดราคาลดให้เป็นพิเศษเมื่อผมซื้ออาหารถุงของเธอ ซึ่งผมก็ต้องขอร้องไม่ให้ทำเช่นนั้น เพราะผมไม่ได้ต้องการสิ่งใดตอบแทนในการเอื้อเฟื้อเล็ก ๆ น้อย ๆ นอกจากเพื่อสนับสนุน การกระทำความดีของเธอเท่านั้น

ในการเดินเข้าออกหมู่บ้านของผมนั้น ผมมักจะพบเห็นคนขอทานอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน บนสะพานลอย และตามสี่แยกเล็ก ๆ ของซอยภายในหมู่บ้าน ทั้งคนพิการทางตา ซึ่งตั้งวงดนตรีมีเครื่องขยายเสียง ที่ดังจนก่อความรำคาญให้แก่ผู้อยู่ใกล้เคียง มากกว่าที่จะชวนฟัง บางทีก็มีออร์แกนเล็ก ๆ ตัวเดียวดีดไปร้องไป หรือชายดีดหญิงร้อง สุดท้ายใช้การเป่าใบไม้ให้เป็นเพลงก็ยังมี

ส่วนที่พิการอย่างอื่นนั้น ส่วนใหญ่จะขออย่างเดียว บางทีก็ชอบนั่งหรือนอนตากแดด เพื่อให้ดูน่าสงสารมากขึ้น อีกหลายรายที่ชอบอุ้มทารก หรือปล่อยให้คนหนึ่งนอนคนหนึ่งนั่งเล่นดินทราย ซึ่งว่ากันว่าเป็นขบวนการที่มีผู้ควบคุม เอารถมาส่งในพื้นที่และรับกลับด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยเห็นด้วยตาเอง ขบวนที่ว่านี้เดี๋ยวนี้หายไปแล้ว

แต่มีอยู่คนหนึ่งเป็นหญิงอายุค่อนข้างชราแล้ว นุ่งผ้าถุงเรียบร้อย สวมเสื้อที่ดูดี แต่มีลักษณะเป็นคนชนบท ชอบนั่งเงียบ ๆ อยู่ตรงหัวมุมซอยเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ลักษณะไม่น่าจะใช่คนขอทาน ผมไม่ทราบว่าแกมาจากไหน ดูคล้ายกับผู้เฒ่าผู้แก่ที่มานั่งรอรับลูกหลาน ซึ่งกลับจากโรงเรียนอนุบาลประเภทที่มีรถรับส่งมากกว่า สายตาที่มองดูรอบ ๆ กายอย่างเหม่อลอยนั้นชวนให้น่าสมเพช

เวลาผมเดินผ่านแกจะมองตามผม ด้วยสายตาเศร้า ๆ เช่นนั้นเสมอ ทำให้ผมนึกถึงคนชราที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง ไม่สามารถจะทำมาหากินอย่างอื่นได้ นอกจากรอความเมตตาจากเพื่อนมนุษย์ที่มีจิตเป็นกุศล ช่วยบริจาคเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ พอหาอาหารประทังชีวิตไปวัน ๆ เท่านั้น

ผมไม่ค่อยได้พบแกทุกวัน แต่วันหนึ่งเห็นแกเอามือวางแบอยู่บนหัวเข่าที่นั่งชันอยู่ข้างหนึ่ง โดยไม่พูดว่าอะไร ผมจึงควานหาเศษเหรียญในกระเป๋ากางเกง ใจก็คิดว่าไม่น่าจะให้เพียงบาทเดียว เพราะไม่ได้เห็นภาชนะอื่นใดที่จะใส่เงิน เหมือนคนอื่น พอดีเจอเหรียญห้าบาท ก็ใส่ลงในฝ่ามือนั้นแล้วก็รีบเดินเลยไป

หลังจากนั้นถ้าผมเจอแกอีกก็ให้เหรียญห้าบาท หรือกำเศษเหรียญบาทให้ไปโดยไม่ได้นับ ผมก็ไม่ทราบว่าแกจะมีรายได้วันละเท่าไร เพราะที่ตรงนั้นไม่ใช่ทางที่จะมีผู้เดินผ่านมากมาย แต่เป็นทางที่ผมต้องผ่านเป็นประจำ นาน ๆ จึงจะพบแกสักครั้ง ทุกครั้งที่เจอก็ไม่ได้ยินคำขอ และไม่ได้มีคำขอบคุณ ออกจากปากของแกเลยสักครั้งเดียว มีแต่แววตาเท่านั้นที่บอกถึงความรู้สึก

ยิ่งบางครั้งผมมีแต่เหรียญสิบบาท และตัดใจส่งให้ไป แกจะเงยหน้าสบตาผม และมีแววของความตื่นเต้นยินดีปรากฎขึ้นอย่างชัดเจน

วันนี้เมื่อผมกลับเข้าบ้านก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว พอผ่านบริเวณที่ว่าก็มองเห็นหญิงชราเจ้าเก่านั่งอยู่อย่างเคยแต่ไกล ผมจึงควานมือลงไปในกระเป๋ากางเกง ด้วยความเคยชิน แต่ปรากฎว่าไม่มีเศษเหรียญอยู่เลย เพราะควักจ่ายค่ารถเมล์ไปจนหมดสิ้นแม้แต่เหรียญสลึง ครั้นเปิดกระเป๋าสตางค์ดูก็มีธนบัตรใบละยี่สิบบาทเหลืออยู่เพียงใบเดียว ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเดินมาถึงตัวแกแล้ว จึงตัดใจยัดธนบัตรใบนั้นใส่ลงในฝ่ามือ แกเงยหน้าขึ้นมองดูผมเหมือนจะไม่เชื่อใจ ผมยิ้มให้แล้วก็ขยับจะเดินเลยไป

ก็พอดีมีรถเก๋งขนาดใหญ่สีดำวาววาม แล่นเฉียดเข้าซอยมา แกรีบเก็บธนบัตรยัดใส่ชายพกอย่างเร่งร้อน แล้วรีบลุกขึ้นยืนจะเดินออกจากที่นั้น รถเก๋งคันนั้นก็เบรคหยุดลงตรงหน้า ประตูรถเปิดออกโดยแรง แล้วก็มีเสียงดังลั่นซอย

" ต๊าย...คุณแม่ มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่น่ะ "

รู้สึกว่าหญิงชราตกใจงก ๆ เงิ่น ๆ ไม่ทันจะทำอย่างไร เจ้าของเสียงก็ก้าวลงมาจากรถ จากเครื่องแต่งตัวและเครื่องประดับครบครัน แสดงถึงฐานะอันสูงส่งของเธอผู้นั้น ทำให้ผมพลอยตกตลึงไปด้วย

" เย็นค่ำแล้วมาเดินอยู่ได้ เดี๋ยวก็กลับบ้านไม่ถูกหรอก ไปขึ้นรถเถอะ หนูจะไปส่ง "

ว่าแล้วเธอก็จูงมือหญิงผู้เป็นมารดาให้ก้าวขึ้นนั่งบนรถด้านหลัง แล้วหันมาหาผมซึ่งยืนเบิ่งอยู่ อย่างที่ไม่รู้ว่าจะทำตนอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น

" คุณแม่เป็นโรคสมองเสื่อมค่ะ ทำอะไรไปไม่ค่อยรู้ตัว นี่เอามาพักอยู่กับหลานสาว เพราะที่บ้านต้องออกไปทำงานกันหมด ไม่มีใครดูแล คนใช้ก็หายาก "

ผมคงจะยิ้มอย่างแหยเต็มที เธอจึงพูดต่อโดยไม่สนใจ

" เห็นเขาว่าชอบออกมาเดินเล่นบ่อย ๆ แล้วก็กลับบ้านไม่ค่อยจะถูก ต้องออกมาตามกันอยู่เสมอ ห้ามก็ไม่ฟัง พอเผลอก็ออกมาทุกที เคราะห์ยังดีที่ไม่ไปไกล หรือขึ้นรถเมล์ไปถึงไหน ๆ ละก็ยุ่งกันใหญ่แน่ "

ผมก็ยังคงเป็นเบื้ออยู่อย่างเดิม

" นี่หนูจะมาเยี่ยมน่ะค่ะ ก็เจอเข้าพอดี ถ้าคุณลุงเจออีกกรุณาพาไปส่งบ้านด้วยนะคะ ไม่ไกลหรอกค่ะ บ้านสีเขียวหัวมุมแยกหน้านี้เอง "

และโดยไม่สนใจฟังว่าผมจะเอ่ยอะไรออกมา เธอก็ขึ้นรถ ขับออกไปจากที่นั้น ผมมองตามท้ายรถไปไม่ไกล ก็เห็นเลี้ยวเข้าไปในบ้านหลังที่เธอชี้บอก

ผมก้าวเดินไปทางบ้านผม ซึ่งเป็นคนละทางกับบ้านนั้น ความคิดหลายอย่างประดังขึ้นมาในใจ นึกถึงหญิงชราผู้น่าสงสาร แต่แม้จะช่วยตนเองไม่ค่อยได้ ก็ยังดีที่มีลูกหลาน คอยเอาใจใส่ดูแลอยู่ ไม่ได้ทอดทิ้งอย่างที่ผมคิด

ส่วนผมนั้นแม้จะช่วยตนเองได้ แต่ขณะนี้ก็ไม่เหลือเงินติดตัวเลย และที่สำคัญก็คือ อีกตั้งสองวัน กว่าเงินบำนาญจะออก.

##########

จาก นิตยสารทหารปืนใหญ่
ตุลาคม ๒๕๔๔

 
 

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 2 ก.ค. 54 06:42:06




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com