บุญใหญ่วาระสุดท้ายกับการบริจาคอวัยวะของแม่ และได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ
|
 |
เมื่อวันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2554 พาแม่ไปหาหมอ เพื่อเจาะเลือดตามใบนัดที่รพ.กระทุ่มแบน เวลา 7.30 ก่อนเจาะเลือด ผู้ช่วยวัดความดันแม่ได้ 160 เกินจากปกติ 140 แต่ก็ยังเห็นแม่นั่งนิ่งเฉย ตัวเราเองก็คิดว่าอาจจะเป็น เพราะแม่ตื่นเช้ามืดและอดน้ำอดอาหารตั้งแต่ 2 ทุ่มของคืนวันที่ 27 มิ.ย.และกว่าที่จะได้เจาะเลือดก็เกือบ 8.30โมง แม่ไม่ได้พกยามากินตามที่หมอสั่ง เรายังดุแม่ไปนิดหนึ่งว่า ก็ถามแล้วไม่ใช่หรือว่าเอายามาด้วยหรือเปล่า ก็แม่เป็นคน บอกเองว่าเอายามาด้วย หรือนี่จะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แม่เสียชีวิต เพราะขณะที่รอแม่ตรวจความดัน วัดรอบเอว ผช.พยาบาลยังพูดแซวเล่นกับคนไข้ว่า วันนี้ใครไม่ได้เอายามากินถ้ามากับลูกหลานให้รีบกลับเอายามากินด้วย เพราะ เวลารอพบหมอ หรือ รอผลตรวจเลือด คุณตาคุณยาย(คนไข้)มักจะความดันขึ้น ยาลดความดันกินตอนเช้าน่ะ หลังจากที่เจาะเลือดเสร็จเกือบ 9โมง ซื้อข้าวซื้อน้ำให้แม่กินแล้ว พ่อมาด้วย ก็เลยบอกพ่อช่วยรอผลตรวจเลือด แทนด้วยแล้วกัน จะรีบไปทำงานก่อน (ทั้งที่ใจหนึ่งอยากจะกลับบ้านไปเอายาที่บ้านแล้วกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพื่อ เอามาให้แม่กินหลังกินข้าว นี่แหละการตัดสินใจที่ผิด) ทั้งวันก็มาทำงานปกติ ตอนหัวค่ำ เห็นแม่นั่งดูโทรทัศน์ เราถามแม่ว่า : ความดันเท่าไร พ่อตอบว่า : รอผลเลือดความดันยังอยู่ที่ 165 เราถามพ่อว่า : ให้แม่กินยาตอนกี่โมง พ่อบอกว่า : 11โมง เราถามแม่ว่า : ผลเลือดเป็นยังไง แม่บอกว่า : หมอบอกว่าดีๆๆๆๆ ป้าดีๆๆๆๆ (ประโยคสุดท้ายที่เราได้ยินจากแม่) เราบอกว่า : ไม่เชื่อ ขอดูผลหน่อย แต่ผลเลือดอยู่ที่แฟ้มประวัติคนไข้ แต่ก็ยังไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้คาใจ เพราะว่าแม่เราน้ำหนักตัวน่าจะอยู่ที่ 80 กก. ส่วนสูง 155 ซม. รอบเอววัดได้ที่ 42 นิ้ว แล้วพ่อเราเป็นคนทำกับข้าวให้แม่กิน กับข้าวที่กินจะรสจัด เค็ม, ใส่ผงชูรส, เผ็ด ผลไม้ก็ชอบซื้อให้กินแบบหวานๆๆ ในใจเรากลัวเรื่องน้ำตาล ห้ามหลายครั้ง แต่พ่อกับแม่ก็กินเหมือนเดิมแต่เราก็ไม่ได้คิดมาก เพราะถ้าเราซื้ออะไรให้กินก็จะเลี่ยง หวานมันเค็ม
วันที่ 29 มิถุนายน 2554 เวลาประมาณ 04.00 น. น้องชายเคาะประตูห้องเรียกว่า แม่เป็นอะไรไม่รู้ เราเห็นแม่ชัก กัดฟัน หรือริมฝีปากไม่รู้ เราตกใจ กลัวแม่จะกัดลิ้น บอกน้องให้เรียกน้องสาว บอกพ่อให้โทรศัพท์ 1669 รีบง้างปากแม่ แต่แม่กัดฟันแน่นมากง้างไม่ออก รีบเอานิ้วแหย่เข้าปากได้นิดหนึ่ง มีสติรีบชักนิ้วออกเพราะแม่กัดแรงมากทำให้เรารู้สึกเจ็บมาก รีบคว้าผ้าขนหนูที่อยู่ใกล้ตัวง้างปากยัดเข้าไปในปาก ถามพ่อแล้วโทร 1669 ยัง เราใจร้อนจึงโทรไปอีกครั้ง เจ้าหน้าที่บอกว่ารถออกมารับแล้ว ไม่รู้ว่านานเท่าไร รถพยาบาลมาถึงบ้าน รีบปฐมพยาบาลแม่ ส่งแม่ไปรพ.กระทุ่มแบน ถึงห้องฉุกเฉิน ซักพัก หมอส่งแม่ไปยังห้อง CT-SCAN เรายังคิดอยู่แม่คงเป็นแค่เส้นเลือดฝอยในสมองแตกอีกมั้งเนี่ยะ เพื่อนคงสงสัยว่า เส้นเลือดฝอยในสมองแตก (เพื่อนสมาชิก อาจจะต่อว่าเรา ว่า ยังชะล่าใจ ก็เราผ่านประสบการณ์แม่เส้นเลือดในสมองแตกมา 2 ครั้งแล้วก็เตรียมใจไว้บ้างแล้ว)
เมื่อประมาณปี 2546 แม่เราลื่นล้มหัวฟาดเส้นเลือดฝอยในสมองแตก (ซีกไหนจำไม่ได้)ได้รับการรักษาที่สถาบันประสาทวิทยา นอนไม่ได้สติรักษาอยู่เป็นเดือน ไม่ได้ผ่าตัด คุณหมอให้ยาละลายเลือดที่แตกทางสายน้ำเกลือ ก็ทำกายภาพบำบัดหัดเดินหัดพูดใหม่ประมาณ 6-7 เดือน แม่ก็กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ก็ไปตามนัดคุณหมอที่สถาบันประสาท ประมาณ 1ปีกว่าๆๆ (ค่าใช้จ่ายหมอจ่ายเองประมาณ 40,000.- บาท)
หลังจากนั้นประมาณปี 2549 แม่ก็เส้นเลือดโป่งพองที่สมอง (เส้นเลือดฝอยแตกซีกตรงกันข้าม) หยุดยาและไม่ได้หาหมอที่สถาบันประสาทเกือบ 1 ปี เพราะว่าไม่มีคนพามา พ่อขับรถที่สนามบิน น้องสาวอยู่ด้วยคิดว่าแม่ไม่เป็นอะไรจึงไม่ได้พาหาหมอ น้องชายแยกไปมีครอบครัว ตัวเราเองก็มาทำงานและพักที่กรุงเทพไม่ได้กลับมาหาแม่เลย จะเจอแม่ก็ตอนวันที่แม่จะมาพบหมอที่สถาบันประสาท ครั้งนี้ก็รักษาอาการเกือบ 1 เดือน ไม่ได้ผ่าตัด หมอบอกว่า ใช้ยาละลายทางสายน้ำเกลือเหมือนเดิม แต่หมอบอกว่า แม่เป็นโรคเส้นเลือดในสมองโป่งพอง อาจจะกลับมาเป็นได้อีก อย่าหายอย่าหยุดยาเองต้องมาหาหมอให้ตรงตามที่นัดไว้ แต่ทางกายภาพแม่ยังพอเดินได้ แต่ก็ไม่คล่องเหมือนคนปกติ การพูดลิ้นยังรัวๆๆๆ ต้องคนคุ้นเคยและอยู่กันเป็นประจำถึงจะพอเข้าใจที่แม่พูด เพราะเซลล์สมองบางส่วนถูกทำลาย การฟื้นฟูนั้นค่อนข้างยากเพราะอายุมากแล้ว แต่ก็ช่วยเหลือตัวเองได้ กินข้าว,ขับถ่าย,อาบน้ำ,แต่งตัวเองได้ ถ้าเป็นคะแนนก็ 70-80 แต่ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ ต้องมีคนติดตามอยู่ตลอดเวลา (ครั้งนี้ค่ารักษาใช้สิทธิ์บัตรทอง+จ่ายเอง 10,000.-กว่าบาท) รักษาที่สถาบันประสาทซักระยะหนึ่ง พ่อบอกว่า มาที่สถาบันประสาท ค่าใช้จ่ายการเดินทางสูง และตัวยาที่คุณหมอให้มา ที่รพ.กระทุ่มแบนก็มีให้ เพราะพ่อไปปรึกษาหมอทั้ง 2 แห่งแล้ว พ่อจึงให้แม่ตรวจและรับยาที่รพ.กระทุ่มแบนมาด้วยตลอด ยาที่ได้รับก็เป็นยาลดความดัน จำไมได้ชื่อยาอะไรแต่มีค่า 5mg และยากันชัก หลังจากที่ได้รับการตรวจนัดและรับยาที่รพ.กระทุ่มแบนแม่ก็ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลอีกเลย จนกระทั่งวันที่ 29 มิถุนายน 2554 เราก็มาทำงานปกติ ก็คิดทำใจแล้วว่า คราวนี้เส้นฝอยโป่งพองแตกที่ส่วนไหน คงจะนอนโรงพยาบาลอีกยาว จนกระทั้งเวลาประมาณ 9โมงเช้า น้องสาวโทร.มาบอกว่า สแกนแล้วเจอ เส้นเลือดแตกที่แกนสมอง สมองตาย พอเราได้ยินคำว่า สมองตาย งงแล้วร้องไห้ เพราะเคยอ่านทางอินเตอร์เน็ทไม่เกิน 3 วัน ถ้ามีปฏิหารย์ก็ต้องเป็นเจ้าหญิงนิทรา ตั้งสติได้ โทรศัพท์หาหมอที่สถาบันประสาทจะทำเรื่องย้ายแม่เข้า หมอบอกว่าทำใจเถอะ มาก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งรพ.กระทุ่มแบน คุณพยาบาลบอกว่าทำใจ ตอนนี้แม่ย้ายเข้าห้อง I.C.U. มีเครื่องช่วยหายใจ คิดปรึกษาน้องทำไงดี ไม่ได้เตรียมใจรับเรื่องการสูญเสียแม่เลยเพราะไม่เคยมีการสูญเสียคนในครอบครัว ตลอดเวลาตั้งแต่ปี 2551 ที่เรากลับมาอยู่บ้าน ดูแลแม่,พ่อและหลานสาวก็ไม่คิดว่าจะสูญเสียแม่ไปเร็วขนาดนี้ เพราะจะเห็นหน้าแม่,พูดคุยกันทุกวันเช้า ค่ำ ไม่มีวันไหนที่ไม่เห็นแม่ เห็นแม่ทุกวัน เพราะตลอดเวลาเกือบ 3ปี จะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อน ปฏิเสธเพื่อน เพราะเป็นห่วงแม่กลัวว่าแม่อยู่คนเดียวจะไม่ได้รับความปลอดภัย จะชดเชยช่วงเวลาหนึ่งที่ไปเรียนหนังสือและทำงานในกรุงเทพเคยช่วงหนึ่งเกือบ 2 ปีทิ้งแม่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมแม่เลยซักครั้ง คุยแค่โทรศัพท์แต่เราไม่ยอมกลับบ้าน
ตลอดวันที่ 29 มิถุนายน ตั้งสติคิดเรื่องจัดงานแม่ นั่งเช็คทางอินเตอร์เน็ท ดูคลิปในยูทูปเรื่อง สมองตายทุกอย่าง เริ่มทำใจได้แล้ว แต่ก็ยังเสียใจ ร้องไห้ที่พูดไม่ดีและการกระทำที่ไม่ดีกับแม่ อยากจะทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ให้กับแม่ ยอมรับว่าช่วงสิ้นเดือนไม่มีเงิน ไม่รู้ว่าค่าทำบุญแม่จะมากน้อยแค่ไหนเงินเดือนก็ไม่ออกเพราะว่าติดวันศุกร์ที่ 1 ก.ค. กว่าเช็คจะขึ้นเงินได้ก็วันที่ 4 ก.ค. ไปที่ เวป การบริจาคศพให้เป็นอาจารย์ใหญ่ คิดแล้วคิดอีกจะทำไงดี พ่อจะยอมไหม น้องจะยอมไหม บอกตามตรงว่า อยากจะจัดงานบุญให้แม่ใช้จ่ายน้อยที่สุด แม่ได้บุญมากที่สุด เพราะช่วงชีวิตของแม่ ขอเล่าว่าแม่เราเป็นลูกครึ่งไทยจีน ก๋งมาจากเมืองจีน มีความเชื่อการไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ แต่การเข้าวัดหรือปฏิบัติตามศาสนาพุทธของแม่น้อยมากเห็นแต่แม่ไปงานเที่ยวปิดทองฝังลูกนิมิต หรืองานประจำปี,งานบวชบ้าง ยิ่งช่วง 4-5ปี หลังแม่เดินไม่สะดวก แม่แทบจะไม่ได้ทำบุญ ส่วนการนั่งสมาธิ,การปฏิบัติธรรม,การสวดมนต์,แม่เราน้อยมาก แต่เราและพ่อเราจะเป็นคนเชื่อการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เราจะอธิษฐาน,ปฏิบัติ,สวดมนต์,ทำบุญกฐินผ้าป่าจะใส่ชื่อแม่เสมอ
ทางเลือกการทำบุญใหญ่ครั้งสุดท้ายให้กับแม่
ทางเลือกที่ 1 บริจาคร่างให้กับคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ ซึ่ง ณ ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องบอกว่า นักศึกษากำลังต้องการร่างเพื่อศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างกระดูก ทางเลือก
1. คนในครอบครัวจะนำร่างมาบำเพ็ญกุศลก่อนแล้วบริจาค จะมีเจ้าหน้าที่จากคณะ มาฉีดยาที่ร่างให้ 2. เจ้าหน้าที่มารับร่างไปเลย หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือน คนในครอบครัวรับร่างมาบำเพ็ญกุศลและก็ฌาปนกิจศพเอง 3. เจ้าหน้าที่มารับร่างไปเลย แล้วประมาณอีก 1 ปี รอพระราชทานเพลิงศพรวมกับอาจารย์ใหญ่ท่านอื่น คนในครอบครัวตัดเล็บหรือตัดผมของเจ้าของร่างไปบำเพ็ญกุศลได้ หมายเหตุ : ร่างนั้นจะต้องสมบูรณ์ และ อวัยวะภายในยังอยู่ครบ
ทางเลือกที่ 2 บริจาคอวัยวะ ให้กับ สภากาชาดไทย แต่คนในครอบครัวต้องรับร่างมาทำพิธีทางศาสนาเอง เราคิดแล้วว่าเอาล่ะซิ คิดเรื่องเงินทำบุญให้กับแม่ล่ะ จะหาเงินทำบุญให้กับแม่ได้ที่ไหน
วันที่ 29 มิถุนายน เราปรึกษากับน้องสาวและญาติทางแม่(น้าสาวน้าชาย)ทุกคนเห็นดีด้วย แล้วว่าเราจะบริจาคร่างแม่ให้กับคณะวิทยาศาสตร์ เราคุยกับพ่อ แล้วครอบครัวเราไม่ค่อยมีเงิน ดูเหมือนพ่อเค้าก็ทำใจ แต่ใจพ่อเค้าก็อยากจัดงานบุญให้กับแม่ แต่เราบอกว่าเราไม่มีเงิน และเงินจัดงานก็คงเยอะอยู่ แต่พ่อบอกว่าจะช่วงเย็น ป้า(พี่สาวของพ่อ)มาเยี่ยมแม่ พ่อพูดคุยกับป้าเรื่องงาน ป้าถามว่าจะเอายังไงเรื่องงานแม่ เราก็บอกว่า เราจะบริจาคร่างแม่ให้กับคณะวิทยาศาสตร์ ม.มหิดล ไม่อนาถาเนอะ ป้าบอกไม่อนาถาหรอก แต่ถ้าจะจัดงานบุญก็ไม่มีปัญหา เค้าจะจัดการให้แต่เราก็เกรงใจอยู่เหมือนกัน
คืนทั้งคืนของวันที่ 29 เราไม่ได้หลับและนอนเลย คิดเสมอ คิดสับสนจะยังไงดี นอนร้องไห้ตลอด เราก็อยาก - จัดงานบุญให้กับแม่ ตามความตั้งใจของพ่อ - อยากจะดูแลแม่ต่อ(ทั้งที่เป็นเจ้าหญิงนิทรา) แต่หมอที่สถาบันประสาทก็แนะนำว่าแล้วคนในครอบครัวพร้อมที่จะดูแลค่าใช้จ่ายของแม่หรือเปล่า - บริจาคร่างให้กับคณะวิทยาศาสตร์ รออีก 1 ปี รอพระราชทานเพลิงศพ และทำบุญเรียบง่าย วันที่ 30 มิถุนายน (จุดเปลี่ยน) เราเวลาประมาณ 8 โมงเช้าโทรศัพท์ไปที่สภากาชาดไทย 1666 ต่อ 3 ผู้ป่วย สมองตาย ได้คุยกับเจ้าหน้าที่ได้รับคำแนะนำว่า การที่สภากาชาดไทยจะรับบริจาคอวัยวะนั้น ผู้ป่วย สมองตายจะต้องยังมีลมหายใจอยู่และต้องมีการทดสอบทางการแพทย์ 2 ครั้ง (เราเรียกไม่ถูก) รู้แต่ว่าถ้าทดสอบไม่ผ่าน ทางสภากาชาดไทยก็ไม่สามารถรับอวัยวะของผู้บริจาคได้ ณ วินาทีนั้น เราตอบ ตกลง บริจาคอวัยวะของแม่ให้กับสภากาชาดไทย คุณเจ้าหน้าที่ ติดต่อประสานงานกับคุณพยาบาลห้อง I.C.U. รพ.กระทุ่มแบน คุณหัวหน้าพยาบาลโทรศัพท์ติดต่อให้เราไปที่ห้อง I.C.U.และอธิบายขั้นตอนต่าง จำได้แค่ คุณหมอต้องทำการทดสอบว่าผู้ป่วย สมองตาย 100% และอวัยวะภายใน (หัวใจ,ปอด,ตับ,ไต,ดวงตา)ส่วนใดบริจาคได้บ้าง
เวลา 12.00 เราเข้าไปหาแม่ที่เตียง เราส่งกระแสจิตไปบอกแม่ แม่ เจี๊ยบคิดอะไรอยู่ แม่คงรับรู้ทุกอย่างที่เจี๊ยบคิด เจี๊ยบจะทำให้ดีที่สุด เราสองคนรวมจิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียวกันน่ะแม่น่ะ (แม่เราเหมือนนอนหลับมีเครื่องช่วยหายใจเนื้อตัวยังอุ่นๆๆ เราโทรศัพท์บอกพ่อว่าเราตกลงบริจาคอวัยวะของแม่ให้กับสภากาชาดไทย แต่ทางสภากาชาดไทยต้องทดสอบก่อน) แล้วเรื่องฌาปนกิจ ก็จะบำเพ็ญกุศล 3 วันและเผาคืนวันที่ 3 เลย และเราก็โทรคุยกับป้า(พี่สาวพ่อ) ป้าก็ช่วยค่าใช้จ่ายเรื่องงานบุญ แต่พ่อเค้ามีความเชื่อเรื่องเวลาการตาย พ่อเค้าขอร้องคุณหัวหน้าพยาบาล I.C.U.ช่วยให้แม่จากไปก่อน 4 โมงเช้าเพราะจะได้ให้ลูกๆๆหลานๆๆมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้จะได้ไม่ยากจนขัดสน (ความเชื่อ)
เวลาช่วงบ่าย คุณเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย บอกว่าต้องให้คุณหมอทดสอบวิธีทางแพทย์ 6 ชม จำนวน 2 ครั้งถ้าผ่านการทดสอบ คุณหมอจากสภากาชาดก็จะเข้ามาผ่าตัดรับอวัยวะจากผู้ป่วยได้ ถ้าไม่ผ่านการทดสอบก็จะยกเลิก (ลุ้นระทึก) ช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่สภากาชาดก็โทรศัพท์สอบถามรายละเอียด,ประวัติของแม่อยู่เป็นระยะ เพื่อเป็นข้อมูล ตลอดวันตลอดคืนเรากับน้องสาว,หลานสาวและน้องเขยนั่งส่งจิตอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนแม่ อยากเข้าไปหาแม่แต่กลัวทำใจไม่ได้ นั่งอยู่หน้าห้อง วนเวียนอยู่แต่หน้าตึก แวะขอเข้าไปหาตอน 3 ทุ่ม(เลยเวลาห้ามเยี่ยม) คุณพยาบาลบอกว่า คุณแม่หัวใจแผ่วๆๆๆ ใจเราก็แป่ว กลัวทดสอบไม่ผ่าน กังวลแม่จะทนไม่ไหวถึงเวลา 8.00 น. คุณพยาบาลถามว่าจะให้ไฟฟ้ากระตุ้นไหม ถ้าใช้ไฟฟ้ากระตุ้น อวัยวะภายในก็บริจาคไม่ได้ แต่เรื่องเวลาเสียชีวิตจะรอถึงพรุ่งนี้เช้าก็จะไม่ได้ตามความเชื่อของพ่อ เราตัดสินใจลงนามใบอนุญาตว่าถ้าแม่รอไม่ไหวก็ให้เค้าไปสบายไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้เช้า ให้แม่เค้าไปอย่างสงบ ไม่ต้องใช้เครื่องไฟฟ้ากระตุ้นหัวใจ แต่คุณพยาบาลเค้าก็บอกว่าอยากให้แม่อดทนรอถึงพรุ่งนี้เช้าเหมือนกันจะได้บุญใหญ่
ก่อนออกจากห้อง I.C.U.เราขอดูผลเลือดที่แม่เจาะเมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ผลเลือดของแม่เราไม่มีค่าเกินเลยทั้งไขมันสูงไม่มี, เกาต์ไม่มี,เบาหวานไม่เป็น แม่เราไม่ได้โกหกให้เราสบายใจ
เรารีบไปนั่งสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูป, สมเด็จโต ที่หน้าโรงพยาบาลขอให้จิตวิญญาณแม่เข้มแข็งจะได้ทำบุญครั้งใหญ่ และจุดธูปบอกท่านศาลพระภูมิเจ้าที่และศาลตายายโปรดช่วยคุ้มครองแม่ให้อดทนถึงพรุ่งนี้เช้า
เวลา 23.00 น. เจ้าหน้าที่สภากาชาดโทรศัพท์มาบอกว่า การทดสอบของแม่ผ่านหมด เจ้าหน้าที่สภากาชาดนัดยืนยันคุณหมอมาผ่าตัดคุณแม่ได้เวลา 8.00 น. เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเตรียมห้องผ่าตัดตอนเช้าเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่แม่บริจาคได้คือ ตับ, ไต และ ดวงตา สำหรับปอดและหัวใจ แม่อายุเกิน 45 ไม่ได้ ณ เวลานั้น เรารู้สึกปลื้มใจมาก และเรากับน้องสาว,หลานสาวและน้องเขยว่า เรา 4 คนจะอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนแม่จนถึงวาระสุดท้ายที่หมอมานอนรอนั่งรออยู่ที่หน้าห้อง I.C.U. วนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลตลอดจนรุ่งเช้า
วันที่ 1 ก.ค.2554 เวลาประมาณ 08.00 น. คุณหมอจากสภากาชาดไทย พาแม่เข้าห้องผ่าตัดโรงพยาบาลระหว่างนั้นเรา,น้องสาว,หลานสาวและน้องเขยกลับบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว เพื่อเตรียมตัวกลับมารับแม่ การผ่าตัดรับบริจาคอวัยวะ(ตับ,ไต และดวงตา) ของแม่ผ่านไปเรียบร้อย แม่หมดลมหายใจเวลา 08.45 น. ของวันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2554 แม่จากไปด้วยอายุ 58 ปี 7 เดือน 5 วัน
เวลาประมาณ 09.00 น. เจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย โทรศัพท์แจ้งว่า การผ่าตัดรับอวัยวะของแม่เรียบร้อยผ่านไปโดยดี ทางสภากาชาดไทยจะดำเนินการขอพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ ให้กับแม่ ความปลื้มปิติท่วมท้นจนหาเปรียบประมาณมิได้ ครอบครัวเราลืมความโศกเศร้าเป็นปลิดทิ้ง แม่ได้บริจาคอวัยวะเราก็ปลื้มปิติยินดี และยิ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโดยที่ครอบครัวเราไม่เคยคาดคิดเกินคำบรรยายที่จะเอ่ย
ขอจบตอนที่ 1 และ เราจะมาเล่างานพระราชทานเพลิงศพ เป็นกรณีพิเศษ ของแม่พร้อมกับรูปถ่าย ให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านในตอนต่อไปค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 54 12:46:35
แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 54 11:50:07
จากคุณ |
:
pa_jeab
|
เขียนเมื่อ |
:
8 ก.ค. 54 16:34:53
|
|
|
|