ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณ คุณกราสิกที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ จากคุณ : รัตน์แปลว่าแก้ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 07:56:41

ความคิดเห็นที่ 2 หากเราให้อภัยผู้อื่น ได้เท่ากับให้อภัยตนเอง ก็น่าจะดีนะคะ. จากคุณ : nawaporn169 เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:10:04

ความคิดเห็นที่ 3 ถอด กับ ถก ก็  เพียงพอครับ ^___^ จากคุณ : หน้าต่างไร้กลอน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:15:48

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบพระคุณค่ะ หนูเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับคุณกราสิก ค่ะ อยากให้ทุกคนปล่อยวางเรื่องราว เก่าๆ ... ให้อภัยซึ่งกันและกัน...และเริ่มต้นทำสิ่งดีดี.. เพื่อความสุข สงบ ร่มเย็น ของสังคมไทยค่ะ ป.ล. ขออนุญาตนำภาพนี้มาฝากเป็นข้อคิดนะคะ     จากคุณ : แสนดีเหมือนทราย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:16:14

ความคิดเห็นที่ 5 ดีครับเฮีย เห็น(ควร)ด้วยครับเฮีย แต่ติดนิดนึง ไอ้ตรง ถก กับ ถลอก อ่านเร็วๆ แล้วมันกลายเป็นอื่น น่ะครับเฮีย. จากคุณ : XXLGiant เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:17:31

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้นี้เป็นกระทู้แห่งมิตรภาพที่งดงามค่ะ หนูอยากให้กี้ฟแต่ให้ไม่ได้อ่ะค่ะ ขอโหวตให้นะคะ จากคุณ : แสนดีเหมือนทราย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:25:21

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าผมเข้าใจเจตนาดีของคุณกราสิกครับ แต่ในความเป้นจริง มันยากมากที่จะถอดสีเสื้อออกจากตัวเรา .........เพราะ........... มิติทางการเมืองของประเทศารขัณฑ์มันเปลี่ยนไปครับ การเปลี่ยนไปของมันทำให้การปรองดองมันเกิดได้ยาก ก่อนหน้านี้เรามีพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียวครับ นั่นก็คือพรรคประชาธิปัตย์ที่อยูมาแล้ว 60 กว่าปี ไอ้พรรคยิบย่อยอย่างความหวังใหม่, สามัคคีธรรม, ชาติไทย, ชาติพัฒนา ฯลฯ อะไรแบบนั้นมันใหญ่ไม่จริงหรอกครับ เพราะมันใหญ่แค่บางช่วงเวลาเท่านั้น ใหญ่ไปตามกระแส และ เงินทุนที่หาได้ในช่วงนั้นๆ พอชวลิตทิ้งความหวังใหม่ พรรคก็แทบล่ม พอชาติชายวางมือจากชาติพัฒฯ ก็กลายเป็นพรรคเล็กทันที พอสมบุญ ระหงษ์ สอบตก สามัคคีธรรมก็แทบสูญพันธ์ไปเลย แต่ตอนนี้มันมี 2 พรรคใหญ่มาตั้งแต่ปี 40 แล้วครับ ก้คือพรรค ปชป. และพรรคอะไรก็แล้วแต่ที่ยอมรับเถอะว่าเป็นพรรคทักษิณ 2 พรรคใหญ่ที่ว่านี้ ดันเป็นสัญญลักษณ์ที่ "ต่างขั้ว" ฝ่ายนึงเป็นอนุรักษ์นิยม อีกฝ่ายนึงเป็น ทุนนิยมเสรี แถมยังมีปัจจัยมากมายในการต่อสู้กันทางการเมืองที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความขัดแย้งที่ไม่สามารถปรองดองกันได้เลย เพราะมันเป็นการต่อสู้ในเชิงสัญญลักษณ์ครับ ก่อนที่จะบานปลายไปเป็นเรื่องของ "สีเสื้อ" ในแบบทุกวันนี้ เราต่างอออกมาเรียกร้องหาความปรองดอง ซึ่งมันควรจะเรียกร้องกันมานานแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้ที่มันสายไปแล้ว โดยที่เราอาจลืมเลือนที่จะมองไปที่ปฐมบทของมัน ว่าไอ้ "ลัทธิความเกลียดชัง"  นั้นมันมาได้ยังไง ผมว่ามันก็คงต้องดูก่อนครับ ว่า "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้น จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ??? ก่อนหน้านี้การเมืองไทยมันก็เกลียดกันครับ แต่มันไม่ได้จริงจังอะไรเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ เคยอภิปรายเรื่อง "สัญชาติ" ของบรรหาร ขุดกันไปจนถึง "เต็กเชียง แซ่เบ๊" ว่ากันถึงบรรพบุรุษ แต่ชำนิกับบรรหารก็ไม่ได้เกลียดกันจนไม่เผาผี เนวิน ชิดชอบ เคยเปิดเวทีปราศัยที่บุรีรัมย์ และพูดเป็นภาษาเขมรว่า "จะเตะก้านคอไอ้เตี้ย" ผมก็ยังเห็นเนวิน กับ บรรหาร ร่วมรัฐบาลกันได้ สิทธิชัย กิตติธเนศวร กับ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ แม้จะห้ำหั่นกันแทบเป็นแทบตาย แต่ก็ไม่ได้เกลียดชังกันจนเป็น "ลัทธิความเกลียดชัง" ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กับ เกรียง กัลตินันท์ ชี้หน้าขึ้นภาษาพ่อขุนรามกันในสภาฯชนิดสดๆออกทีวี แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดต้องมาฆ่าแกงกัน อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ เหล่านี้คือการขัดแย้งกันในเชิง "บทบาท" ของนักการเมืองครับ แต่กรณีของ "สีเสื้อ" ที่กลายมาเป็น "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้น มันก็ต้องยอมรับว่าการปฏิวัติเมื่อครั้ง 19 กย.มีผลอย่างมากจริงๆ หลายคนไม่ได้ชอบตัวตนของแม้ว แต่ชอบในการทำงานของแม้วมัน ค่าที่ว่าแม้วมันไม่ได้มีแค่ราคาคุยเหมือนบางพรรค ในปี 2540 ก่อนที่เขาจะออกไปใช้สิทธิ์นั้น เขาก็คงไตร่ตรองแล้วเป็นอย่างดีแล้ว ในเรื่องของนโยบายระหว่างแม้ว และ มาร์ค หลายคนเคยให้โอกาสพรรคมาร์ค ที่ตอนนั้นนำทัพโดย ชวน หลีกภัย ทดลองทำงานรับใช้มาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่พรรคของมาร์คทำให้พวกเขาผิดหวังทั้ง 2 ครั้ง ที่หนักหนาที่สุดก็คงเป็นเรื่อง สปก.4-01 ที่เอาที่ดินที่ควรให้คนจน ไปให้กับคนรวย แถมยังมีนโยบายเศรฐกิจที่พิสูจน์แล้วผิดพลาด จนตอนนั้นเล่นเอามองหน้ากันแทบไม่ติดภายในพรรค เพราะชวนตัดสินใจเลือกข้าง...คือธารินทร์ และได้โดดเดี่ยว "ดร.ซุป" ศุภชัยออกไป พรรคของมาร์คทำงานไม่เข้าตาพวกเขา เมื่อพวกเขามีทางเลือกใหม่ ที่มีนโยบายที่ (พวกเขามองว่า) เป็นรูปธรรมกว่า พวกเขาก็ตัดสินใจใช้สิทธิ์แห่งคะแนนเสียงของพวกเขาเลือกแม้ว เพราะหวังจะให้แม้วมาทำงานรับใช้พวกเขา... และแน่นอนว่าต้องทำให้ดีสมราคาคุยด้วย ผ่านไป 4 ปี.... แม้วรับใช้พวกเขามาแล้ว 1 สมัย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็รู้สึกพอใจในการทำงานของแม้วมัน และทำให้พวกเขาเทคะแนนเลือกแม้วมันซ้ำอีกจนได้ 300 กว่าเสียง แต่กลับโดนตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทางรัฐสภา" และตามมาด้วยการปฏิวัติ 19 กย.49 ไม่นับเรื่องบ้าๆอีกมากมาย เช่นการใช้ระบบตุลาการภิวัฒน์ ยุบพรรคโน่น พรรคนี้ จนแทบหมด แต่พรรคเก่าแก่ชนะฟาวล์ เพราะคดี "หมดอายุความ" ไม่นับการตกเก้าอี้ของสมัคร เพราะดันทำกับข้าวเก่ง และไปทำกับข้าวออกทีวี ไม่นับเรื่องการยุบพรรคจนทำให้สมชายตกเก้าอี้ ไม่นับเรื่องบ้าๆ ประเภทต้อนหัวหน้าพรรคอื่นๆเข้าค่ายทหาร แล้วก็ออกมายืนกอดกันกลมที่โรงแรมสยามซิตี้ จนได้ภาพประหลาดๆที่อภิสิทธิ์ยิ้มเฝือๆตอนกอดกับเนวิน แล้วก็ตั้งรัฐบาลก็ทำงานมาจน 2 ปีนี่แหละ ไม่นับเรื่องการแก้กฏหมายเลือกตั้ง ที่แก้กันจนฝ่ายตัวเองพออกำพอใจ แต่ก็ยังแพ้เลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นแหละ ไม่รับเรื่องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เอาฉบับหน้าแหลม ฟันดำ ทีก็คงพอรู้กันอยู่ว่าสนับสนุนพรรคไหน ไม่นับเรื่องการทำงาน ที่มีคนบางส่วนมองว่า "ดีแต่พูด" และ "ไร้ฝีมือ" "ลัทธิความเกลียดชัง" มันมีเหตุและผลในตัวครับ ไม่ใช่จู่ๆพวกเขาอยากจะ "เกลียดชัง" หรือเห็นแม้วเป็นพ่อแบบที่เสื้อเหลืองกระแนะกระแหน เพราะพวกเขาคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับตัวตนของแม้วในสิ่งที่แม้วเป็น เนื่องจากแม้วมันก็แค่มนุษย์ธรรมดาที่มีทั้งดีและแย่ในตัวตน แต่พวกเขาคงจะชอบในสิ่งที่แม้วมันทำไว้ตลอดเวลาแห่งการรับใช้ พวกเขาออกไปใช้สิทธิ์ในการไปเลือกพรรคของแม้ว ซึ่งทำให้แม้วมันได้เสียงกว่า 14 ล้านเสียง (ในตอนนั้น) พวกเขาจึงอยากให้แม้วทำงานให้จนหมดสมัย หมดอายุรัฐบาล หากถึงตอนนั้นแล้ว แม้วทำงานแย่ลง ไม่เป็นเหมือนราคาคุย พวกเขาก็อาจจะปลี่ยนทางเลือกไปเลือกมาร์คก็เป็นได้ เพราะในบ้านเรามันมีแค่ 2 พรรคที่ดูดี มีราคาที่สุด แต่ไม่ใช่เล่นวิธีใต้ดิน ทั้งปฏิวัติ ทั้งตั้งองค์กรอิสระมาเช็คบิล ทั้งตั้งรัฐบาลแบบพิลึกกึกกือ กอดกันกลมที่ รร.สยามซิตี้ พวกเขาใช้สิทธิ์ในคะแนนเสียงนั้น ด้วยการยืนเคียงข้างคนที่เขาเลือกเพื่อมาทำงานรับใช้เขา แต่กลับถูกคนบางส่วนใช้ "กฏหมู่" ปลุกม๊อบออกมายึดโน่น ยึดนี่ และมาปล้นเอาคะแนนเสียงไป แล้วแบบนี้มันจะไม่มี "ลัทธิความเกลียดชัง" ได้ยังไงละครับ ก็เพราะอีกฝ่ายเล่นไม่เคารพสิทธิ์แห่งคะแนนเสียงของเขา และเลือกที่จะเหยียดหยามคะแนนเสียงของเขา และ "เกลียดชัง" เขาก่อน พอกระแสลมเปลี่ยนทิศ และยิ่งลักษณ์ทำท่าจะได้เป็นนายกฯ คราวนี้ก็มีเสียงเรียกร้องให้ปรองดอง ไม่ให้มีการเช็คบิลแต่งตั้งโยกย้ายคนทำงานทันที มีการจุดพลุเรื่องปรองดอง สมานฉันท์ ทั้งๆที่ คกก.ชุด คณิต ณ นคร ก็เคยเสนอไปแล้ว ทั้งๆที่ คกก.ชุด อานุนทน์ ปัณยารชุณ ก็เคยเสนอไปแล้ว แต่เป็นการเสนอที่ไม่เคยได้รับการเสนอจากรัฐบาลเลย ตอนที่ตัวเองมีอำนาจ ก็กระทืบฝ่ายตรงข้ามจนบอบช้ำ หน้าตาบวมปูด แต่กลับกระทืบไป แล้วร้องหาความปรองดองไป จะให้เขารักคุณได้ยังไงล่ะครับ หากว่าคุณทั้งเตะ ทั้งต่อยเขาเละเทะขนาดนั้น ถึงคราวที่เขามีโอกาสทำคืนบ้าง ผมว่าเขาก็ต้องทำเช่นกัน ...ไม่ต่างจากที่คุณทำไว้ "ปรองดอง" มันเป็นวาทกรรมที่ไม่มีจริง นับตั้งแต่วันที่ 19 กย.2549 แล้วครับ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามปัจจัยที่มีอยู่ และเป็นไปตามเหตุ ตามผล ตามการกระทำก่อนหน้าทั้งสิ้น !!! ไม่แปลกเลย ที่จะมีคนด่ายิ่งลักษณ์ไว้ล่วงหน้า ด่าชนิดสาดเสีย เทเสีย ถึงขั้นจิกหัวว่า"E" และก็ไม่แปลกเลย ที่มีคนซ้ำเต็มอภิสิทธิ์กันอย่างที่เป็นอยู่ เพราะ "ผล" ที่เกิดขึ้น มันมาจาก "เหตุ" ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ครับ หากอยากจะเอาชนะกัน ผมว่าก็ไม่ยากเลยครับ ก็แค่ไปทำอย่างไรก็ได้ ที่จะหาคนไปลงคะแนนเลือกตั้ง จนพรรคที่ตนเองชอบได้เสียงข้างมากเป็นรัฐบาล...เท่านั้นเอง.. หากเราต่างเคารพสิทธิ์ของกันและกัน รอเวลาและลงโทษนักเลือกตั้งตามกระบวนการ ด้วยการไม่เลือกเขา และเปลี่ยนไปเลือกพรรคตรงข้าม ประเทศชาติมันก็คงไม่เป็นอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้หรอกครับ !!! แต่ไม่ใช่มาเพาะเชื้อ และรดน้ำพรวนดิน "ลัทธิความเกลียดชัง" ในแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ "ปฐมบท" ของมันอยู่ตรงไหน น่าจะพอมองออกนะครับ ผมว่ายากมากครับที่จะให้ปรองดองกันได้ อาจปรองดองกันได้แต่ปากครับ แต่พอถึงเวลาจริงๆ ถ้ามีโอกาสเมื่อไรนั้น 2 สีเสื้อที่ว่าก็ยังต้องห้ำหั่นกันอยู่ดีนั่นแหละ เพราะมันมีความเจ็บช้ำน้ำใจ จาก "อำนาจนอกระบบ" ที่สั่งสมไว้ หากปล่อยให้การเมืองขัดแย้งกันแบบการเมือง โดยที่ไม่มีอำนาจนอกระบบมาก้าวก่ายอะไรด้วย ผมเชื่อว่าความขัดแย้งมันไม่รุนแรงแบบนี้แน่นอนครับ เพราะนักการเมืองทะเลาะกันแค่ไหน ท้ายสุดมันก็จบลงได้หากผลประโยชน์ลงตัว ไม่งั้นคงไม่มีข่าวออกมาในช่วงนึงหรอก ว่าพรรคมาร์ค กับ พรรคแม้ว อาจร่วมรัฐบาลกัน !!! ที่มันแย่อยู่แบบนี้ก็เพราะอำนาจนอกระบบครับ จนทำให้เกิดสีเสื้อ 2 สีขึ้นมา และบานปลายมาจนทุกวันนี้ ที่สำคัญ ไอ้คนที่ใช้อำนาจนอกระบบนั้น ในตอนนี้กลับทะลึ่งตั้งพรรคการเมือง ลงมาเล่นการเมืองในระบบอีกต่างหาก ทั้งๆที่ตอนนั้นฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งไปกับมือ อำนาจนอกระบบแบบที่ว่านี้ บวกกับอำนาจนอระบบของคนแก่ที่หมดอำนาจไปนานแล้ว แต่ยังอยากเข้ามา "จัดแจงและชี้นำ"  ทางการเมืองอยู่นี่แหละครับ ที่ทำให้ความขัดแย้งทางสังคมบานปลาย !!! ในสังคมเล็กๆอย่าง รสก. อาจทำได้แค่การเปิดใจ และเคารพความเห็นที่แตกต่างของกันและกัน และถ้าจะเถียงกัน.... ก็ใช้ "เหตุผล" และ "ข้อมูล"มาเถียง มากกว่าที่จะใช้ "อารมณ์" ครับ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 08:33:04 จากคุณ : ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ (Toom McCartney) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:32:00

ความคิดเห็นที่ 8 สังคมในโลกปัจจุบัน  มีอะไรมากมายหลายสิ่งที่วุ่นวายอยู่แล้ว เราเข้ามาในห้องแห่งนี้...เพื่อความสุข เพื่อการผ่อนคลาย เพื่อการปรึกษาหารือ   ทำไมเราต้องไปรับเรื่อง หรือทำเรื่องที่ให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจ จะไปแบกรับความทุกข์  ความเครียดเข้ามาอีกทำไมกันคะพี่น้อง จากคุณ : จริงใจ.......สบายจริง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:45:17

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยกับคำถามครับ แต่ยังไม่เห็นคำตอบ เหมือนถามว่า เด็กหญิงม.4 โดนโจรข่มขืน สมมติโจรได้รับโทษแล้ว เด็กหญิงกับโจรจะเป็นเพื่อนกันได้ไม๊ อย่างที่บอกข้างต้นครับ ผมเห็นด้วยกับจขกท.นะครับ แต่ผมยังนึกคำตอบไม่ออกจริงๆ จากคุณ : idolation เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:46:15

ความคิดเห็นที่ 10 ชอบ คห. 5  อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี 555 ส่วนความเห็น หากคนไทยมีน้ำใจนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ก็กินขาดแล้วครับ แต่ที่เห็นๆ ส่วนใหญ่จะไม่ยอมกันท่าเดียว คงชอบหลายๆท่ากระมัง อิอิ ... จากคุณ : Resource of life เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 08:57:36

ความคิดเห็นที่ 11 ok ค่ะ ฝนจะยอม ถอด ..  เพื่อลุงอาบฯ   . . . มันต้องมีคนยอมอ่ะค่ะ ถึงจะไปกันต่อได้ . จากคุณ : หม๋องแหม๋ง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:05:51

ความคิดเห็นที่ 12 บุคคล/ปุถุชน/วิญญูชน เมื่อไม่มีเกียรติ...แล้วจะให้เกียรติคนอื่นได้อย่างไร? เมื่อไม่เคารพ...นับถือตนเอง...แล้วจะเคารพ...นับถือคนอื่นได้อย่างไร? จากคุณ : วรพัช เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:14:01

ความคิดเห็นที่ 13 ความมุ่งหวังในการทำทุกๆ สิ่ง ของคนเรา อาจแตกต่างกัน การเข้ามาเล่นในโลกไซเบอร์  ในเวป ในห้องต่างๆ คงต้องทำตัว ให้เข้ากับข้อแม้ ของสถานที่นั้นๆ สำหรับที่นี่  ห้อง ไร้สังกัด  สำหรับเรา คือ..การเข้ามาพูดคุย แลกเปลี่ยน สิ่งที่เรารู้ เราเห็น อาจเป็นในมุมมองเบาๆ พอมีรอยยิ้มให้กัน หากจะท้วงติงกันเพราะความผิดพลาด ก็บอกกล่าวกันอย่างมิตรจิต หลายกระทู้ ที่ดำเนินการยกข้อโต้แย้ง ชี้แนะ อย่างสร้างสรรค์(ตัวหนังสือ มักสื่อจิตใจผู้เขียน) น่าอ่าน น่าติดตาม อย่างที่กล่าว  ห้องนี้ จึงมีเรื่องราวหลายเรื่องมาให้รับรู้ ให้ยินดี หากเจอสิ่งที่ทำให้เราต้องขุ่นข้องหมองใจ ถ้าเตือนกันได้ ก็จะทำ แต่ถ้าอยู่เหนือการตักเตือน............ ก็จะมองข้ามสิ่งนั้นไป โดยคิดว่า...........สิ่งนั้น..จะปิดตัวเองไปโดยปริยาย ยอมรับค่ะ...ว่ายากหนักหนา กับการชี้นำคน ให้มองแต่สิ่งสวยงาม     จากคุณ : ป้าเยาว์ (@NBC) เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:14:03

ความคิดเห็นที่ 14 ***  ถอด ถก หรือ ถลอก    *** อืมๆ ถ้าไม่อยากถลอก..... ต้องไม่ถก  .....ไม่ถอด !!     (( พูดเอง  งงเอง ))  5555555 .. ปล. เสียดายกิ๊ฟหมด   ไม่งั้นจะเทให้ลุงกราสิกหมดหน้าตัก !!   .. จากคุณ : เห้อออออออออ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:21:18

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ ละเอียดมากคะ  "ลัทธิความเกลียดชัง" นั้น จุดเริ่มต้นของมันอยู่ที่ไหนกันล่ะ ??? ตรงนี้แหละที่นัฐคอยถามใครต่อใครว่า "จุดเริ่มต้นของปัญหา มันมาจากไหน" คนที่คอยตามแก้ แต่แก้แล้วไม่เป็นที่น่าพอใจ คนคอยแก้ซวย! ถือว่าไม่มีประสิทธิภาพพอ หลายคนอาจมองแบบนี้ แต่มองข้ามว่าจุดเริ่มต้นมันมาจากที่ไหน เมื่อไหร่ ใครทำ??? "เราต้องเลือกที่ คน ไม่ใช่เลือกสี หรือเลือกข้าง" ไม่งั้นจับหมู หมา กาไก่ ที่ไหนก็ได้ มาบอกว่าฉันเลือกตานี่อ่ะ เพราะฉันชอบบ้านนี้อ่ะ มีอะไรไหม แบบนี้อีกฝ่ายก็ได้แต่มองตากันปริมๆ เออ เล่นงี้เลยเหรอ พอเป็นแบบนี้เข้าก็เพิ่มความเกลียดชังมากขึ้น พอได้โอกาสก็เอาบ้าง สุดท้ายก็ไม่มีสิ้นสุด ยิ่งหาจุดเริ่มต้นกันยาก "เพราะคนไทยลืมง่าย" โดยเนื้อแท้มนุษย์ทุกคนยอมเข้าข้างตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่ถ้าถอย ยอมรับ แก้ไขตามที่คนภายนอกเห็นว่าเจ้าตัวนั้นผิดจริง มีปัญหาจริง ก็ต้องปรับปรุง ไม่ใช่ดันทุรังต่อไป ขอบคุณค่ะที่สละเวลาอ่าน จากคุณ : sugar_least เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:35:10

ความคิดเห็นที่ 16 แหม  น้อง นัท  พี่ว่านะ (อันนี้ไม่ได้พูดถึงการเมือง) ถ้าคนมันถอยเป็น ส่องกระจกมองตนเองบ้าง  กระทู้นี้ไม่เกิดแน่ ๆ จากคุณ : OH! MY...กล้วย เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:40:36

ความคิดเห็นที่ 17 จะมองแง่ไหนดี จงดูเถิด โลกนี้ มีหลายแง่ ดูให้แน่ น่าสรวล เป็นชวนหัว หรือชวนเศร้า โศกสลด ถึงหดตัว ดูให้ทั่ว ถ้วนความ ตามแสดง จะดูมัน แง่ไหน ตามใจเถิด แต่ให้เกิด ปัญญา มาเป็นแสง ส่องทางเดิน ชีวา ราคาแพง อย่าให้แพลง พลาดพลั้ง ระวังเอย ฯ ที่มา: หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ จากคุณ : คนหมุนโลก เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 09:59:10

ความคิดเห็นที่ 18 เห็นด้วยกับป้าเยาว์ค่ะ............ จากคุณ : ณัฐ วัชรพล เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:31:12

ความคิดเห็นที่ 19 ผม  ถก  จน  ถลอก..(ค่อยๆบรรจงพิมพ์ อ่านทานแปดเที่ยว ว่ามี ล.ลิงแน่นะ) ก็ไอ้เจ้าตัว ถก เป็นเหตุ พิมพ์ครั้งแรก ดัน เอา อ.อ่าง จาก ถลอก ไปใส่ตรง  ถก..! หวาดเฉียววุ้ย... แฮ่...! แค่อยากจะบอกว่า  ตอนนี้ผมถอด (ด.เด็ก นะ) เกลี้ยงเลย  เพิ่งไปอาบน้ำมาอ่ะ...!! ****แก้คำผิด เป็นคำที่พิมพ์ค่อนข้างยากนิดนึงง่ะ..!! แก้ไขเมื่อ 13 ก.ค. 54 10:51:41 จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 10:49:44

ความคิดเห็นที่ 20 แก้ไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ ก็ ไล่มันออกไป ครับ ...ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังครับ ...จะแก้ อีกฝ่ายต้อง ร่วมตบด้วย ...ถ้ามันไม่ร่วมด้วย ...ก็ต้องตบหน้ามัน จะได้ดัง จากคุณ : มับนะขู เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:15:36

ความคิดเห็นที่ 21 ช่วยกันเอาความสามัคคีกลับคืนสู่สังคมไทย เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่ รสก นี่แหล่ะเน๊าะ ____________________________________________________________ ขอบคุณครับ... จากคุณ : มิ้งกี้_มิ้งกี้ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 12:23:20

ความคิดเห็นที่ 22 ขอถอด มัจฉาทิฐิ ด้วยคนครับ อิอิ ตอนทักษิณเป็นนายกฯสมัยแรก นโยบายที่ดีก็มี ที่ใช้ไม่ได้ก็มี ที่อยากให้ทำแต่ไม่ทำก็มี สนธิ ลิ้มทองกุล ก็พูดออกรายการทีวีเข้าข้าง ทักษิณ ผมก็คุยกับเพื่อน เรื่องบ้านเมืองที่อยากให้รัฐบาลพัฒนา เช่นอยากให้เด็กไทยโตขึ้นเป็นคนเก่งคนดี อยากให้พัฒนาระบบชลประทานก่อนสนามบิน บังเอิญคนรู้จักผ่านมาได้ยิน พวกยกเอาความดีของทักษิณมาพูด ก็ขัดคอเคืองกันไป ผมรู้สึกว่าไม่มีอิสระเสรีในการแสดงความคิดเห็น เพราะ ความรักทำให้พวกนิยมทักษิณตาบอด จนความขัดแย้งมาถึงจุดแตกหักเมื่อทักษิณ ถอดรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ ออกจากช่อง 9 ผมคิดว่า ปฏิวัติ กย. 2549 เป็นเรื่องปลายเหตุ ต้นเหตุของความขัดแย้งคือทักษิณ จากคุณ : น้องแนนแฟนคลับลำดับที่หนึ่ง เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 13:50:15

ความคิดเห็นที่ 23 ..ข้างบนหน่ะ ถอด  แล้ว.. ข้างล่างก็  ถก   แล้ว.. แต่ก็ยัง  ถลอก  ....เพราะว่า  ถก  ไม่หมด.... ยังไง ยังไง..ก็ ..ถก  ให้หมดก่อนนะครับ.. ขอร้อง...เต๊อะ....จะได้ไม่ถลอก.... จากคุณ : rkoo เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:09:26

ความคิดเห็นที่ 24 เริ่มจากคิดถึงใจเขาใจเราก่อน ... ตั้งแต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จนมาถึงประชาชนคนเดินดิน อย่ามุ่งแก้แค้นเหมือนที่เป็นอยู่ อย่าคิดแต่เอาชนะและทำอะไรด้วยความสะใจ เพราะบ้านเมืองต้องเดินต่อไป และที่สำคัญที่สุด ต้องเคารพในเสียงของคนในประเทศ ทุกวันนี้เวลานี้มันไม่จบ ก็เพราะความไม่เคารพเสียงของประชาชนนี่แหล่ะ คิดอยากทำอะไรก็ทำ ไม่คิดถึงประเทศชาติ จากคุณ : เสียงจากบ้านนา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:46:07

ความคิดเห็นที่ 25 เจตนาดีครับ แต่...ปัจจุบันผมยังมองเห็น 2 มาตรฐานอยู่อีกมาก นี่ไม่รวมที่เกิดกับตัวผมเองด้วย หวังว่าคงจะเกิดขึ้นจริงๆซะที จากคุณ : เจ๋ง เจได เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 14:55:56

ความคิดเห็นที่ 26 ในความหมายขอผม .. ถอด .. ถอดสีเสื้อ ถอดหัวโขน ถอดมัจฉาทิฐิ ถก .. ถกข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้ เสนอแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ยอมรับความแตกต่าง ฯลฯ หรือ .. แถให้สีข้างถลอกไปกันทั้งสองข้างแล้วเกลียดชังกันต่อไป >>>>>>>> มาให้คะแนน ชื่นชมความหมายนี้ นี่แหละ ความจริง ในสังคมทุกแห่ง จะแก้ปัญหา ต้อง ถก กันตรงไปตรงมา ไม่ใช่ แดกดัน ด้วยความสะใจ เสร็จแล้ว ถามหาข้อ สรุป ก็ใบ้กิน พึมพัมว่า ... หาข้อสรุปไม่เจอ นี่แหละจะ ทำอย่างไร จากคุณ : TinyNu เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 15:52:14

ความคิดเห็นที่ 27 อภัยแต่ไม่ลืม จำไว้!!!!!!!!!! จากคุณ : Rhnchostylis เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 16:47:41

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วยจ้า ขอให้โลกสงบสุข จากคุณ : iSsAbElLaคนเดิมแหละ เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 19:28:55

ความคิดเห็นที่ 29 การให้อภัยกัน คือสิ่งที่ดีที่สุดนะคะ  ถอยคนละสามก้าว (สามก้าวเลยดีกว่า) แล้ว คิดไปคิดมา ว่าเราทำอะไรไปบ้างหว่า  สิ่งที่ทำทำถูกไหมหว่า เอาเป็นว่า ให้อภัยกันดีกว่า  รสก. เราจะได้สนุกสนานต่อไปเนาะ เนาะ จากคุณ : แกงไก่ไข่ดาว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:19:38

ความคิดเห็นที่ 30 ขนาด "มัจฉา" มันยังมีทิฐิ  นับประสาอะไรกับคน แซวเล่น อย่าโกรธพี่เน้อ ~ จากคุณ : ป้าหนาสองนิ้ว เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 20:28:15

ความคิดเห็นที่ 31 ป๋าว่างแล้วเหรอค่ะ   จากคุณ : ตองเจ็ด เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:03:29

ความคิดเห็นที่ 32 .....เริ่มต้นจากจุดเล็กๆที่ รสก นี่แหละเน๊าะ...... .............................................................................. อืมม เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ ถอดต้องถอด เอ้ย โหวตต้องโหวต จากคุณ : บ้านหนองจันสอน เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 21:24:50

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ ขอแถ เอ้ย ขอแย้งหน่อยครับ ที่คุณเขียน ------------------------------------------------------------------------- ในปี 2540 ก่อนที่เขาจะออกไปใช้สิทธิ์นั้น เขาก็คงไตร่ตรองแล้วเป็นอย่างดีแล้ว ในเรื่องของนโยบายระหว่างแม้ว และ มาร์ค ------------------------------------------------------------------------- ผมว่า น่าจะเป็นปี 44 มากกว่า และคุณแน่ใจหรือว่าเป็นนโยบาย ที่เลือกคุณทักษิณ คุณทักษิณเพิ่งตั้งพรรคปี 41 แล้วคิดว่านโยบายผ่านสื่อสมัยนั้นได้แค่ไหนกัน ในเมื่อตอนนั้น ปชป.เป็นรัฐบาล และเกลียดคุณทักษิณที่สุด (ปชป.ยุบสภาปี 38 เพราะคุณทักษิณ!!!) สส.ปี 44 ของ ทรท. มาจากพรรคอื่นทั้งนั้น น่าจะมีคนนึกถึงคำว่า "ดูด สส." ได้นะครับ คุณ ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ ขอแย้งอีกสักหน่อยครับ ที่คุณเขียน ------------------------------------------------------------------------- ผ่านไป 4 ปี.... แม้วรับใช้พวกเขามาแล้ว 1 สมัย ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาก็รู้สึกพอใจในการทำงานของแม้วมัน และทำให้พวกเขาเทคะแนนเลือกแม้วมันซ้ำอีกจนได้ 300 กว่าเสียง แต่กลับโดนตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทางรัฐสภา" และตามมาด้วยการปฏิวัติ 19 กย.49 -------------------------------------------------------------------------- ช่วง เผด็จการทางรัฐสภา กับ ปฏิวัติ 19 กย.49 มีบางอย่างหายไปนะครับคุณ ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ ผมยอมรับว่า ช่วง 4 ปีที่คุณทักษิณเป็นนายก ผลงานเข้าตาคนไทย จน สส.พรรคอื่น ต้องทยอยเข้า ทรท.(หากไม่เข้าสอบตกแน่นอน เหลือแค่ ปชป กับ ชท.ที่เหลือรอดมาได้ แต่ สส.หายไปโขเลย) ปี 48 ทรท.ได้ สส. land slide ถล่มทลาย 375 เสียง ถึงเสียงตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทางรัฐสภา" คุณก็ทำงานไปสิ เสียงข้างมากอยู่กับคุณแล้วจะกลัวอะไร แต่นี้ดันยุบสภาหนี อภิปราย กพ.49 ถึงจะเป็นสิทธิของนายกที่ทำได้ แต่มันไม่เข้าท่าแล้ว ผมว่าเรื่องงวุ่นวายน่าจะเริ่มจากตรงนี้ (เสริมส่วนที่คุณลืมหรือแกล้งลืมก็ไม่รู้ 55) เลือกตั้งใหม่ เมย.49 คราวนี้ land slide กว่าเดิมอีก 460 เสียง ลงอยู่พรรคเดียว สุดท้าย เลือกใหม่กันอีก ตค 49 แต่ มาปฏิวัติ 19 กย.49 ซะก่อน คุณทักษิณเข้าประเทศไม่ได้ จบเลือกตั้งปี 50 พปช กลับมาอีก ที่ 233 จากนั้น วุ่นวายของแท้ คุณทักษิณกลับมา แต่พอโดนคดีหนีออกนอกประเทศ พธม ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ยุบพรรค เปลี่ยนขั้ว ยึดทรัพย์ นปช ยึดราชประสงค์  ปราบปราม เผา พวกหนึ่งเครียดแค้น คุณทักษิณ พวกหนึ่ง บูชา คุณทักษิณ คุณทักษิณ ผมว่าเขาคือ สัญลักษณ์ของความขัดแย้ง ตอนนี้ พธม แทบจะหมดแล้ว อย่าปลุกเร้าพวกเขาขึ้นมาอีก   หากคุณทักษิณ ปล่อยวาง ยอมตั้งรกรากที่อื่น เสียสละไม่กลับมาเมืองไทย ถึงน้องคุณทักษิณจะบริหารอีกกี่ปี ผมก็รับได้ จากคุณ : จำปาดะ ณ สะเดา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:11:50

ความคิดเห็นที่ 34 กลายเป็นกระทู้การเมืองไปซะแล้ว อิอิ ว่าแต่การเมืองสมัยนี้อยู่ได้ด้วยเงิน ใครเงินเยอะกว่าก็เอารัฐบาลไปทำกิน ส่วนเงินน้อยก็นั่งมองตาปริบๆ แต่ที่ผมรู้อยู่อย่างนึงก็คือ พรรคที่เป็นรัฐบาลนั้นซื้อเสียง ซื้อมากซื้อน้อยไม่รู้ หรือซื้อเฉพาะตัวบุคคลก็ไม่รู้ รู้แค่ว่า ผมกลับไปเลือกตั้งที่บ้าน ได้มา สองร้อย แต่ไอคนซื้อสอบตกตามระเบียบ หัวคะแนนงานนี้ก็รับไปเต็มๆ คนที่คิดว่าซื้อเสียงยังจะได้มาซึ่งคะแนนเสียง ไม่น่าเชื่อว่ายังมีความคิดนี้อยู่อีก ตราบใดที่นักการเมืองมันคิดว่าประชาชนโง่ ประเทศก็ไม่มีทางเจริญหรอกครับ เพราะว่ามันคิดกันโง่ๆ แต่ก็ยังมีบางพวกโง่ที่จะเลือกคนซื้อเสียงอีก เฮ้อ.....ความเห็นแก่เงินมันบังตา จากคุณ : อาเกาเหลา เขียนเมื่อ : 13 ก.ค. 54 22:40:24

ความคิดเห็นที่ 35 ตามนั้นครับ ... จากคุณ : Cha-Cha-Cha เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 01:14:26

ความคิดเห็นที่ 36 คคห.33  คุณจำปาดะฯครับ อย่าเรียกว่าผมมาช่วยคุณตุ้มเลยนะครับ เผอิญอ่านไปเจอ แล้วขอร่วมอภิปรายนิดนึง ปี 48 ทรท.ได้ สส. land slide ถล่มทลาย 375 เสียง ถึงเสียงตราหน้าว่าเป็น "เผด็จการทางรัฐสภา" คุณก็ทำงานไปสิ เสียงข้างมากอยู่กับคุณแล้วจะกลัวอะไร แต่นี้ดันยุบสภาหนี อภิปราย กพ.49 ถึงจะเป็นสิทธิของนายกที่ทำได้ แต่มันไม่เข้าท่าแล้ว ผมว่าเรื่องงวุ่นวายน่าจะเริ่มจากตรงนี้ (เสริมส่วนที่คุณลืมหรือแกล้งลืมก็ไม่รู้ 55) เลือกตั้งใหม่ เมย.49 คราวนี้ land slide กว่าเดิมอีก 460 เสียง ลงอยู่พรรคเดียว สุดท้าย เลือกใหม่กันอีก ตค 49 จำได้ว่าคุณสนธิแกปลุกพลังความเกลียดชังขึ้นครับ มีคนร่วมกับแกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคุณทักษิณเข้าไปพบ ประธานองคมนตรี แล้วได้รับคำแนะนำให้ยุบสภาครับ หลังจากนั้น ให้เลือกตั้งใหม่ ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหานะครับ ถ้าฝ่ายที่เหลือสู้กันแบบตรงไปตรงมา ไม่ใช่ ก็รู้ว่าสู้ไม่ได้จับมือกันไม่ลงดีกว่่า สุดท้ายเลยครับ ผมจำได้ว่า สมัยรสช.ปฏิวัติ ผมเคยได้ยินจากปากอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เลยครับ ในทำนองว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในระบอบประชาธิปไตย คือการปฏิวัติครับ ด้วยความเคารพครับ จากคุณ : คนบ้านฉาง เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 02:43:33

ความคิดเห็นที่ 37 คุณจำปาดะ ประเด็นที่คุณแย้งมาคือ -ปี พศ.ของผมน่าจะผิด -คนเลือกแม้วไม่ได้เลือกจากนโยบาย -แม้วดูด สส.มาจากพรรคอื่น ผมเขียนผิดจริงๆครับ จริงๆก็คือตั้งใจจะสื่อว่า "การลงสนามครั้งแรกของพรรคแม้ว ที่เป็นการลงเลือกตั้งตาม รธน.ปี 40 ครับ" ที่ตั้งใจจะสื่อแบบนั้น เพราะตอนนั้นว่ากันว่าเป็น รธน.ที่ดีที่สุด ที่ได้ผ่านกระบวนการร่างมาจากสภาฯร่างแล้ว "ประเด็น" ที่ผมสื่อ มันหมายถึงการลงสนามเลือกตั้งครั้งแรก และผู้คนพากันเลือกพรรคของแม้วมันจนได้เป็นรัฐบาลครับ ซึ่งเป็นการเลือกมาจากนโยบาย ที่ทีมร่างนโยบายของแม้วเริ่มร่างกันมาตั้งแต่ปี 40 โน่นแล้ว หากจำไม่ผิดก็มี สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, ภูมิธรรม เวชชยชัย, ชูศักดิ์ ศิรินิล ฯลฯ พวกนี้แหละครับที่ช่วยกันทำนโยบาย อันนี้คือประเด็นที่ผมสื่อครับ การคลาดเคลื่อนทางปี พศ.ก็เป็นความเผอเรอของผมเอง แต่เป็นการคลาดเคลื่อนที่ไม่ได้ทำให้ประเด็นเปลี่ยนแน่ๆครับ เพราะยังไงผมก็มองว่าคนก็เลือกแม้วจากนโยบายอยู่ดี ในขณะที่พรรคอื่นๆหาเสียงตามสไตล์เดิม คือการปราศรัยเอามันส์ และด่าทอฝ่ายตรงข้าม ตอนนั้นพรรคแม้วมันออก "นโยบาย" ใหม่ๆ ที่พรรคการเมืองก่อนหน้านี้ยังไมเคยคิด ไม่เคยทำเลย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรคนี้แหละ...และทำให้หมอเลี๊ยบได้เป็น รมช.สธ. แต่ผมไม่แก้ข้อความนะครับ เพราะเขียนผิด ก็คือเขียนผิด อีกทั้งมันไม่ได้มีผลกับ "ประเด็น" ในการถกเถียง ส่วนเรื่อง "ดูด" สส.มีทุกพรรคครับ พรรคที่ถนัดเรื่องนี้ที่สุดก็คือ ปชป.ในสมัยเสธ.หนั่น เพราะดูดกลุ่มงูเห่าออกมาสนับสนุนชวนจนได้เป็นนายกฯครับ !!!! หรือคุณจะเถียง.. หรือแม้แต่ ครม.ชุดที่ผ่านมาก็เถอะ ที่ดูดกลุ่มเนวินออกมาจากเพื่อไทย มายกมือสนับสนุน ก่อนที่จะเป็นภูมิใจไทยด้วยซ้ำ โธ่....ตอนยกมือสนับสนุนยังไม่ได้เป็นภูมิใจไทยเลย ////////////////////////////////// ส่วนข้อที่ 2 ก็อย่างที่คุณคนบ้านฉางให้เหตุผลไปแหละครับ จากคุณ : ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ (Toom McCartney) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 08:11:02

ความคิดเห็นที่ 38  ขอบคุณข้อมูลดีๆ และการตอบข้อสงสัยของ คุณ : ตุ้ม แม็คคาร์ทนี่ย์ และ คุณจำปาดะ  ค่ะ จากคุณ : @NBC เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 08:59:03

ความคิดเห็นที่ 39 ตอนนี้ "อำนาจนอกระบบ" นี่ไม่สามารถนิยามได้แบบเดิมแล้วนะครับเพราะมีอำนาจนอกระบบ...ที่ระบบทำอะไรไม่ได้เกิดขึ้นอีกหลายกลุ่มเช่น 1. อำนาจนอกระบบเดิม : ผู้มีอำนาจที่ทำให้เกิดการปฏิวัติ 2. อำนาจนอกระบบใหม่ : ผู้หนีกฏหมายในระบบ ออกไปนอกระบบ(ประเทศ) ใชัอำนาจที่ยังมีอยู่ผ่านเครือข่ายเดิมในระบบจากนอกประเทศ 3. อำนาจนอกระบบหมู่ื  : ผู้อาศัยกฏหมู่อยู่เหนือกฏหมาย ทำผิดกฏหมาย หรือ กดดันผู้บังคับใช้กฏหมายได้โดยอาศัยแนวร่วมเป็นโล่ห์กำบัง จากคุณ : ผ่านมาแซว (ไผ่แผ่วพริ้ว) เขียนเมื่อ : 14 ก.ค. 54 09:32:22

ความคิดเห็นที่ 40 ผมขอค้านคุณจำปาดะสักนิดนะครับ คุณจำปาดะคงลืมไปกระมังครับ ว่าก่อนที่คุณทักษิณยุบสภา คุณทักษิณได้เข้าเฝ้า แล้วหลังจากเข้าเฝ้าออกมาแล้ว คุณทักษิณก็ประกาศยุบสภา เรื่องนี้มีนัยยะอะไรหรือเปล่าครับ ส่วนเรื่องการยุบสภาเพื่อหนีอภิปราย ผมว่าเป็นตรรกะที่หลายฝ่ายพยายามยกขึ้นมาสร้างความชอบธรรมมากกว่าครับ ทำไมต้องยุบสภาหนี ก็ดูอย่างรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์สิครับ ขนาดคนที่ชี้แจงไม่ได้เรื่องที่สุด กลับได้คะแนนโหวตสูงสุด ดังนั้นการอภิปรายในสภา สุดท้ายก็พวกมากลากไปแค่นั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลยนี่ครับ จากคุณ : ทวดเอง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 08:04:52

ความคิดเห็นที่ 41 สังคมแห่งความเกลียดชัง เกิดจากการแบ่งชั้นวรรณะ ได้ยินกันบ่อยๆ ชอบพูดกันจัง "ชนชั้นกลาง" หรือ กรุงเพทฯเสมือนตัวแทนชนชั้นกลาง พูดทำไม? พูดเพื่ออะไร? ชนชั้นกลางหมายถือใคร คนมีฐานะ คนมีการศึกษา หรือคนดีมีคุณธรรม แค่คำพูดก็แบ่งแยก แตกต่าง ยิ่งการกระทำก็ยิ่งสร้างความเกลียดชังกันเป็นนิจเพราะถือดีว่าตัวอยู่เหนือกว่าผู้อื่น ที่แน่ๆ หากคนไหนต้องพูดประโยคว่า "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" ทุกคนคือคนชั้นล่างทั้งสิ้น สังคมแห่งความรักและเป็นมิตร เริ่มที่ตัวเองจากข้างใน เสมือนน้ำที่กระเพื่อมจากตรงกลางครับผม แก้ไขคำผิดครับ แก้ไขเมื่อ 15 ก.ค. 54 13:00:23 จากคุณ : หนุ่มกรุง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 12:59:04

ความคิดเห็นที่ 42 ผมสนับสนุนพระพยอมครับ ถ้าหากว่ามีเครื่องดูดกิเลส เอามาใช้กับนักการเมืองประเทศเรา เพื่อให้เขาเหล่านั้นรู้จักแยกแยะ ถูกผิด ชั่วดี คงจะเกิดความวุ่นวายน้อยกว่านี้ครับ สำหรับความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น เป็นเรื่องปกติ ธรรมดามากครับ เหรียญมีสองด้านเสมอ อยู่ที่ว่าใครจะมองมุมไหน มันจึงมีมุมต่างให้เรามองอยู่เสมอ เพียงแต่ว่าในปัจจุบันนี้ คนเราไม่ยอมรับในมุมมองของคนอื่น และมักเอามุมมองในด้านเดียวที่ตัวเองชื่นชอบ หรือได้รับผลประโยชน์มากล่าวอ้าง หาความชอบธรรม นอกจากนี้ยังชอบทำผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด โดยอาศัยการตีความของข้อกฏหมาย มายกอ้าง หากแม้นว่าคนเรารู้จักยอมรับในสิ่งผิด ยอมรับในสิ่งถูก และแยกแยะ ไม่ดันทุรัง สังคมคงจะสงบและไม่วุ่นวาย เหมือนอย่างทุกวันนี้ครับ ความคิดเห็นหนึ่งครับ จากคุณ : อันโต เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 16:04:02 A:183.88.60.139 X: TicketID:319178

ความคิดเห็นที่ 43 ผลย่อมเกิดจากเหตุ จะแก้ไขก็ต้องรู้ต้นเหตุ เรื่องขัดแย้งระดับประเทศนี้หาตัวต้นเหตุไม่ ยากนัก แต่ยากตรงที่รู้แล้วจะจัดการกับต้นเหตุ อย่างไรดี เพราะตัวต้นเหตุเขาก็มั่นใจในพลัง อำนาจของเขาอยู่พอสมควรแม้จะอ่อนแรงลง ไปบ้างแต่ก็ยังมีแรงสู้อยู่ แถมเขาฉลาดที่ทำ การแบ่งแยกกลุ่มคนที่จะมาสู้กับเขาให้แตกเป็น กลุ่มๆและบางกลุ่มก็มาเป็นฝ่ายสนับสนุนเขา มีทั้งกลุ่มที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว กลุ่มอำนาจที่เป็น ตัวต้นเหตุนอกจากจะไม่เมตตาแล้วยังไม่ยุติ ในธรรมอีกด้วย ผมขอเสนอให้เพิ่มการ ถอย และถอน ด้วยครับ ความเชื่อความศรัทธาและมุมมองที่แตกต่างก่อ ให้เกิดสัจจธรรมอย่างหนึ่งนั้นคือความขัดแย้ง พอเติมความโลภ โกรธ หลง เข้าไปมันก็รุกลาม กลายเป็นไฟกองใหญ่ มาถึงวันนี้มันเลยผ่านตัวต้น เหตุไปแล้วแม้รู้ว่าเป็นใครกลุ่มใครก็แทบจะไม่มี ประโยชน์เพราะทุกคนได้กลายเป็นเชื้อไฟให้กับ มหากองไฟนี้ไปแล้ว เปรียบกับไฟถ้ามันจะดับไปเอง มันก็ต้องสิ้นเชื้อไฟ กรณีนี้ก็เทียบกับการสิ้นชาติครับ การมาถกๆถอดๆก็เปรียบเหมือนพนักงานดับเพลิงที่ ได้แต่ฉีดน้ำลดความร้อนแรงถ้าโชคดีก็อาจจะดับไฟ ได้ แต่ถ้าเป็นไฟไหม้ขนาดใหญ่ๆการฉีดน้ำก็เพียงแต่ ควบคุมไฟไม่ให้กระจายเป็นวงกว้างแล้วรอให้ไฟหมดเชื้อ ดับไปเอง ทุกคนทั้งประเทศจึงเปรียบดังเชื้อไฟถ้าทุก คนถอยและถอนตัวออกจากความขัดแย้ง ต่างไปอยู่ห่างๆกัน มหากองไฟนี้ก็จะหมดเชื้อหรือถึงจะมีลุกไหม้บ้างก็จะ เป็นกองไฟเล็กๆไม่ยากที่จะเข้าดับ เมื่อเหตุการสงบก็ จึงมาหาความจริงเปิดเผยให้รู้ในวงกว้างเพื่อเป็นบทเรียน อย่างน้อยก็ให้ได้ ๑ ชั้วอายุคนที่จะไม่ก่อกองไฟแบบนี้อีก สวัสดี จากคุณ : ชัดเจนน้องนาง เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 16:32:24

ความคิดเห็นที่ 44 .       ทางออก?        สังคมนี้ หรือ? ก็มีคนเห็นกันหลายทาง  บางทางก็ยากที่จะเป็นไป บางคนก็หมดหวัง บ้างก็รอเหตุการณ์  อำนาจพิเศษ   บ้างก็หวังว่าสักวันหนึ่งก็ดีขึ้นเอง ฯลฯ ผมก็เหมือนกันครับมีแนวทางว่า   ต้องให้คนดี มีความสามารถ ซื่อสัตย์ ฯลฯ       มาบริหารประเทศ   แล้วเราจะหาคนแบบนั้นมาจากไหนกันละ ?    ก็ต้องช่วยกันสร้างขึ้นมาซิ   โดยเราต้องพยายามสร้างตัวเราให้เป็นคนดี  มีความสามารถ ซื่อสัตย์ ฯลฯ แล้วชักชวนคนอื่นให้ทำตนเป็นคนดี  มีความสามารถ  ซื่อสัตย์ ฯลฯ ตามแบบที่เขาเห็นว่าดีที่สุด เท่าที่เขาจะทำได้ เมื่อคนดีมีมากเป็นกลุ่มเป็นหมู่ ก็จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ  หาทางออกให้สังคมนี้ เราไม่รอ  ไม่หวัง  แต่เราจะทำเลย .  ..   .   ..   . สังคมอบอุ่น ชาวบ้านล้วนจิตเจริญด้วยคุณธรรม หาดูยากในโลก ...แต่ก็มีแล้ว  ที่นี่ http://www.payakorn.com/webboard_ans.php?q_id=22332&myflag=1&mypage=1 จากคุณ : P2wichai เขียนเมื่อ : วันอาสาฬหบูชา 54 23:17:16

ความคิดเห็นที่ 45 ผมยอมรับครับว่า พรรคผมดูด แต่ ทรท ก็ดูด ควม มาทั้งพรรคเหมือนกัน ถือว่าเจ๊าแล้วกัน (วิถีการเมืองแต่ละยุค) แต่ที่ขอแย้ง ทรท ชนะเลือกตั้ง กพ 48 ยุบสภาน่าจะ ธค 48 ยังไม่ถึงปีเลยนะครับ เมืองไทยรายสัปดาห์ โดนปลดจากช่อง 9   กย 48 แค่ไม่กี่เดือน คุณทักษิณต้องหวั่น ขนาดนั้นเชียวหรือ พธม เพิ่งจะเตาะแตะ ผมว่าคุณทักษิณกลัวการซักฟอกมากกว่า แต่ชิงยุบเพื่อฟอกตัวกลับมาเป็นนายก แล้วที่ปรึกษา ประธานองคมนตรี แล้วได้รับคำแนะนำให้ยุบสภา ทำไมผมไม่ได้ยินข่าวเลย แล้วที่ คุณทวดบอก คนที่ชี้แจงไม่ได้เรื่องที่สุด กลับได้คะแนนโหวตสูงสุด สุดท้ายก็พวกมากลากไปแค่นั้นเอง แต่คุณทวดอย่าลืมซิว่า ประชาชนจะได้รับข้อมูลใหม่ๆ จากทั้ง 2 ฝ่าย หากมีการอภิปราย จากคุณ : จำปาดะ ณ สะเดา เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 12:47:35

ความคิดเห็นที่ 46 ผมรู้สึกว่า การคุยกับใครแล้วไม่ได้มองตา มันเป็นเหมือนเราไม่ได้ฟังเขา อดีตของผม เวลามีคนพูดอะไร ผมมักจะไม่มองตาคนพูด เพราะผมเขินๆอายๆ แต่ผมเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ เวลาคุยหรือสนทนาสังสรรค์กับใครต้องมองตาคู่สนทนา แบบไม่วาง ไม่ว่าเขาจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ ทำให้ผมรับรู้ในสิ่งที่คนอื่นพูดและซาบซึ้งถึงคำพูดเขาได้มากจริงๆ มันเป็นความจริงใจอย่างหนึ่งที่เราจะสื่อถึงกัน ไม่ว่าเราจะรู้จักกันอย่างใกล้ชิด ผิวเผิน เป็นคนในสังคมใหญ่ อะไรก็ตาม คนพูดเองก็จะรู้สึกภูมิใจที่มีคนตั้งใจฟัง คนฟังเองก็จะได้รับฟังในสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างเต็มที่ จากคุณ : cheychai เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 00:50:56