เรื่องเล่าจากสวนอ้อย (เรื่องของเพื่อน)
|
 |
เรื่องเล่าจากสวนอ้อย
เรื่องของเพื่อน
ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๒
" เพทาย "
เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบกับผม เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๗ นั้น มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๑๐๘ คน ซึ่งแบ่งออกเป็นสองกองร้อยสี่หมวด เฉพาะหมวดที่ ๑ กองร้อยที่ ๑ ซึ่งผมอยู่ด้วยกันเกือบสามสิบคนนั้น ต่างก็สนิทสนมกันเป็นอันดี เพราะได้กินนอนเรียนเล่น ร่วมกันมาเป็นเวลา ๖ เดือนเต็ม แต่ที่ใกล้ชิดกันมากจนจำพฤติกรรมของแต่ละคนได้ดี และยังคบหาสมาคมกันต่อมา หลังจากออกรับราชการแล้วอีกหลายปี ก็มีอยู่หลายคน
มีอยู่คนหนึ่ง เป็นนักกีฬาที่ทำชื่อเสียงให้แก่หน่วยอย่างระบือลือลั่น เมื่อสามสิบกว่าปีมาแล้ว เขาได้เคยเป็นตัวแทนของกองทัพบก เข้าแข่งขันกีฬาสี่เหล่าทัพ ซึ่งรวมถึงตำรวจด้วย ต่อจากนั้นก็เป็นนักกีฬาทีมชาติไปแข่งขันกีฬาแหลมทอง หรือเซียพเกมส์ ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นซีเกมส์ กีฬาเอเชียนเกมส์ และโอลิมปิคเกมส์ตามลำดับ
เขาผู้นี้เมื่อจบการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบแล้ว ก็ได้ออกไปรับราชการทางภาคใต้ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการวิ่งมาแต่กำเนิด วิ่งได้เร็วโดยไม่ต้องฝึกหัด หรือฝึกซ้อมมาก่อนเลย ในต่างจังหวัดมีการแข่งขันวิ่งเร็ว แบบแข่งขันกันสองคนตัวต่อตัว ใครวิ่งไปชิงธงที่ปลายทางได้ ก็เป็นผู้ชนะ มีทั้งเดิมพันในระหว่างนักวิ่ง และมีการพนันขันต่อกัน ในระหว่างผู้ดูด้วย ไม่ว่าระยะทางที่วิ่งจะใกล้ไกลสักเท่าใด เพื่อนของผมคนนี้ก็คว้าเอารางวัลมาได้ทุกครั้ง ไม่เคยแพ้ใครเลย เมื่อมีคนรู้จักมากขึ้นในจังหวัดนั้น ก็ย้ายไปท้าแข่งที่จังหวัดอื่นต่อไป
ครั้นได้ย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพมหานคร ก็เลยได้เป็นนักกีฬาของหน่วยหลายประเภท แต่ที่ทำชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ ชนะเลิศการแข่งขันวิ่ง ๑๐๐,๒๐๐ และ ๔๐๐ เมตร ของประเทศไทย และเป็นตัวแทนไปแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศญี่ปุ่น และกีฬาโอลิมปิค ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เรียกว่าตลอดเวลาที่รับราชการอยู่ เขาไม่เคยทำงานอื่นใดเลย นอกจากเข้าค่ายซ้อมกีฬาทั้งปี และทุกปี
ความเร็วในการวิ่งของเขาสมัยนั้น เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมาก แต่ที่ผมได้เห็นด้วยตาตนเอง ที่สนามศุภชลาศัยหรือสนามกีฬาแห่งชาติ เขาจะวิ่งระยะทางเท่าใด ในกีฬาระดับไหนก็ จำไม่ได้ พอออกจากจุดสตาร์ทเขาก็วิ่งนำโด่งไปคนเดียวสามสี่ช่วงตัว เหมือนกับว่าคนอื่นไม่ได้วิ่งอย่างนั้นแหละ เขาเกิดนึกอย่างไรไม่ทราบ จึงเหลียวหน้ากลับมาดูนักวิ่งที่แข่งกับเขา เมื่อเห็นว่ามีผู้วิ่งตามมาแน่แล้วเขาก็เข้าเส้นชัยไปอย่างสบายอารมณ์ ดูเหมือนจะยังไม่ทันเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำไป
ต่อมาเมื่ออายุมากขึ้น สังขารก็ร่วงโรยลง มีนักวิ่งหนุ่ม ๆ เกิดขึ้นมาใหม่ สามารถเอาชนะเขาได้ จนตำแหน่งชนะเลิศตกไปเป็นของนักวิ่งสังกัดกองทัพอากาศแล้ว เขาก็เบื่อการกีฬา จึงขอลาออกจากราชการ ไปประกอบอาชีพส่วนตัว ซึ่งก็ต้องเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ หลายอาชีพตามความเบื่อง่ายของเขา แต่ส่วนใหญ่นั้นมักจะเกี่ยวข้องกับการบันเทิงเริงรมย์ทั้งนั้น เพราะนอกจากจะเป็นนักกีฬาแล้ว เขายังเป็นนักรักด้วย
ครั้งหนึ่งผมเคยพบเขา เป็นคนต้อนรับแขก อยู่ที่ภัตตาคารใหญ่โต มีชื่อเสียงโด่งดังแถวสะพานยมราชหรือสี่แยกอุรุพงษ์ เมื่อก่อนที่ยังไม่มีทางด่วนพาดผ่าน ผมบังเอิญได้รับเชิญไปในคณะผู้ปฏิบัติงานออกอากาศ ของทีวีวิกสนามเป้าสมัยขาวดำ จากผู้จัดรายการของทางราชการคณะหนึ่ง
เขารีบทักทายผมก่อน พร้อมกับโค้งคำนับอย่างล้อเลียน ผมไต่ถามเขาเพราะจากกันมานาน ก็ได้ความว่าเพิ่งมาอยู่ไม่กี่เดือน จึงถามต่อว่าพนักงาน เสริฟหญิงมีทั้งหมดเท่าไร ก็ได้รับคำตอบว่ากว่าสองร้อยคน ผมซักว่ารู้จักอย่างลึกซึ้งแล้ว กี่คน เขาบอกว่าหลายสิบแล้ว
จนกระทั่งเกิดสงคราม ภายในสามประเทศของอินโดจีน เขาจึงได้อาสาสมัครไปเป็นเสือพราน ต้นกำเนิดของทหารพรานในปัจจุบัน ได้ออกไปปฏิบัติงานนอกประเทศอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ทุ่งไหหินในประเทศลาวจะแตก ด้วยฝีมือคอมมิวนิสต์
เขาจึงมีประสบการณ์ในการสงคราม มากพอที่จะเอามาเขียนหนังสือขาย ได้เงินมากมาย และมีชื่อเสียงโด่งดัง ยิ่งกว่าการเป็นนักกีฬาหลายเท่าตัว ในยุคสมัยของเขานั้น เรื่องบู๊ปนเซ็กส์กำลังฮิตติดตลาดมาก มีผู้เขียนหลายนามปากกา แข่งขันกันเต็มที่ เขาเขียนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว และมากมายจนตัวเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เขาเคยเขียนเรื่องยาวลงในหนังสือพิมพ์หัวเขียวรายวัน แล้วต่อมาไปผิดเส้นอะไรก็ไม่ทราบ เลยย้ายมาลงในหัวชมพูคู่แข่งเป็นรายวันเหมือนกัน
ผมไปเจอเขาเข้าอีก ในงานวันนักเขียนที่ ๕ พฤษภาคม ปีหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นที่สมาคม นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถนนสามเสน หน้าวชิรพยาบาล เขายังจำผมได้ดี แต่ผมจำเขาไม่ค่อยได้ เพราะผมบนศรีษะของเขา หายไปมากกว่าครึ่ง
เขาโด่งดังอยู่ในวงวรรณกรรมหลายปี แต่แล้วก็เงียบหายไปจากวารสารต่าง ๆ ที่เคยลงพิมพ์ รวมทั้งที่เป็นเล่มขนาดพ็อคเก็ตบุ๊คส์ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใด ผมพยายามติดตามข่าวคราวของเขา ก็ได้ยินว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ ลอยชายอยู่ระหว่าง กรุงเทพกับนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้แต่น้องชายหญิงของเขาที่ทำงานอยู่หน่วยเดียวกับผม ก็ไม่เคยได้เจอหน้าเขาเลย
จนกระทั่งได้ทราบจาก เพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายสิบ ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ด้วยโรคเส้นโลหิตอุดตัน และผมได้ไปพบกับร่างอันไร้วิญญาณของเขา เป็นครั้งสุดท้าย ที่วัดแห่งหนึ่งในย่านห้วยขวาง
ซึ่งเป็นงานฌาปนกิจศพที่เงียบเหงา ไม่สมกับความมีชื่อเสียงอันโด่งดังอย่างสูงสุด ทั้งในด้านการกีฬา และการประพันธ์ มาแล้วในอดีตเลย
ชื่อและนามสกุลจริงของเขาที่เขียนไว้บนกรอบรูปถ่ายหน้าเมรุนั้นคือ จ.ส.อ.ประจิม วงษ์สุวรรณ น่าเสียดายที่ไม่มีหน่วยใด บันทึกเกียรติประวัติในการแข่งขันกรีฑาของเขาไว้เลย ใน ปัจจุบันจึงหาคนที่จะจำชื่อของเขาได้อยู่เพียงไม่กี่คน
แต่เพื่อนของผมคนนี้ เมื่อเป็นนักเขียน ใช้นามปากกา
สยุมภู ทศพล
ซึ่งคงจะมีผู้อ่านหลายท่าน จำได้อย่างแน่นอน.
##########
จาก นิตยสารโล่เงิน ธันวาคม ๒๕๔๓
แก้ไขเมื่อ 22 ก.ค. 54 06:50:22
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
22 ก.ค. 54 06:48:16
|
|
|
|