ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อพิจารณาข้อมูล ปริมาณฝนตกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่ามีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 5% ในขณะที่ปริมาณฝนตกสูงสุดใน 1 วัน และปริมาณฝนสูงสุดรายปีเพิ่มขึ้น 10-15% สำหรับระดับน้ำทะเลรอบ ๆ บริเวณอ่าวไทย เราพบว่าบริเวณสถานีหลักปากแม่น้ำทั้ง 4 แห่ง คือ แม่กลอง ท่าจีน เจ้าพระยา และบางปะกง มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1.3 ซม./ปี (เป็นค่าสุทธิ) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 4 เท่าของการประเมินโดย IPCC เมื่อหักลบอัตราการทรุดตัวของแผ่นดินโดยการประเมินข้อมูลตรวจวัดตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน อัตราการทรุดตัวของพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งลดลงจาก 10 ซม./ปี ในปี 2520 เหลือประมาณ 1 ซม./ปี ในปัจจุบัน ดังนั้นระดับน้ำทะเลบริเวณอ่าวไทยจึงมีระดับสูงขึ้นประมาณ 3 มม./ปี สอดคล้องกับข้อมูลในหลายประเทศรอบ ๆ บ้านเรา    จากแรงขับเคลื่อน ดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับข้อคำนึงถึงแผนงานป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทาน และ กทม. นำมาสร้างแบบจำลองคณิตศาสตร์น้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยใช้สถานการณ์จริงของเหตุการณ์น้ำท่วมในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในปี 2538 พบว่า ถ้าเหตุการณ์ในลักษณะคล้าย ๆ กับปี 2538 มาเกิดขึ้นอีกในปัจจุบัน มูลค่าความเสียหายประเมินได้กว่า 40,000 ล้านบาท และถ้าเหตุการณ์เดียวกันไปเกิดขึ้นในอนาคต 40 ปีข้างหน้า มูลค่าความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเป็น 150,000 ล้านบาท (มูลค่าปัจจุบัน) ในกรณีที่ระบบป้องกันน้ำท่วมไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเสียหายจะมีมากขึ้นเป็น 2 เท่า !!    สำหรับพื้นที่น้ำท่วมจะครอบคลุมบริเวณริมชายฝั่งทะเลประมาณ 10 กม. จากชายฝั่งปัจจุบัน พื้นที่บริเวณปากน้ำสมุทรปราการ ปากน้ำท่าจีน และชุมชนริมชายฝั่งจะมีระดับน้ำสูงประมาณ 1.5-2.0 เมตร ส่วนบริเวณริมแม่น้ำ เจ้าพระยาบางพื้นที่ เช่น เขตยานนาวา เขตบางคอแหลม เขตสาทร เขตคลองเตย เขตบางแค เขตหนองแขม เขตบางบอน เขตบางขุนเทียน และอำเภอพระสมุทรเจดีย์ รวมทั้งพื้นที่บางส่วนฝั่งขวาถนนบางนา-ตราดจะมีน้ำท่วมขังน้อยกว่า 60 ซม.    อย่างไรก็ตาม หากมีการสร้าง และต่อเสริมคันดินริมชายฝั่งทะเลทิศตะวันออก ก็จะสามารถป้องกันการรุกล้ำของน้ำทะเลได้ นอกจากนี้ยังมีจำนวนอาคารบ้านเรือนกว่า 1.2 ล้านหลัง ประชากรกว่า 1 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบ โครงสร้างสาธารณูปโภคโดยเฉพาะถนนหนทาง และโรงกำจัดขยะบางโรงจะเกิดความเสียหาย สำหรับบริเวณด้านเหนือน้ำโดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรีจะเกิดน้ำท่วมหนักเกือบ 2 เมตร    ดังนั้น หากรัฐบาลยังคงนิ่งเฉยต่อความเสี่ยง และความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น หรือจะรอให้มันเกิดก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน เมืองหลวงของเราก็คงจะเป็นเมืองร้างกลางน้ำ ซึ่งเราคงยอมไม่ได้ที่จะให้เป็นเช่นนั้น จากคุณ : กราสิก เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:33:02

ความคิดเห็นที่ 2 ถมทะเลเพื่อใคร : จากดูไบถึงไทยแลนด์ ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกับสังคมที่กำลังเคลือบแคลงใจกันอยู่ถึงข้อดี และข้อเสียจากโครงการถมทะเลบริเวณอ่าวไทยหัวตัว ก ตั้งแต่ปากแม่น้ำท่าจีน จังหวัดสมุทรสาคร ไปยังปากแม่น้ำเจ้าพระยา จังหวัดสมุทรปราการ เป็นระยะทางประมาณ 30 กม และยื่นออกไปในทะเล 10 กม บริเวณพื้นที่ดังกล่าวคงไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับทะเลบริเวณอื่นๆที่มีการถมเช่น กรณีของโครงการ “The Palm” ที่ ดูไบ เป็นชายฝั่งที่ประกอบด้วยเนินทราย ท้องทะเลพื้นทรายที่ชั้นล่างเป็นหิน มีระดับน้ำขึ้นสูงสุด และต่ำสุดประมาณ 2 เมตร และความเร็วกระแสน้ำไม่เกิน 0.3 เมตรต่อวินาที ท้องน้ำลึกประมาณ 4 เมตร (ในบริเวณ surf zone) ในขณะที่ทะเลบ้านเราบริเวณทะเลอ่าวไทยหัวตัว ก เป็นทะเลโคลนน้ำตื้นประมาณ 1-2 เมตร  ที่อดีตเป็นพื้นที่ป่าชายเลนที่สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ  เป็นที่ทำมาหากินของชาวประมงพื้นบ้าน ปัจจุบัน พื้นที่เหล่านั้นกำลังได้รับภัยคุกคามจากการลดลงของป่าชายเลน ปัญหาของคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศพบว่าอัตราการกัดเซาะระหว่างปี พ.ศ. 2523-2537 และ พ.ศ. 2538-2543 เป็น 15 เมตรต่อปี และ 9 เมตรต่อปีตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ความพยายามในการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลได้มีพัฒนาการเรื่อยมาจากการใช้คันหินถม การใช้เสาไม้สวมยางรถยนต์ที่ใช้แล้ว การปักเสาไม้ไผ่ รวมทั้งการใช้ไส้กรอกทราย เป็นต้น แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ การคาดการณ์โดยแบบจำลองคณิตศาสตร์พบว่าภายใน 30 ปี การกัดเซาะจะรุกล้ำไปถึงแนวคลองชั้นใน (คลองโล่ง) พฤติกรรมของคลื่น และกระแสน้ำจะได้รับอิทธิพลมาจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้เป็นส่วนใหญ่ (มากกว่า 60%) ในช่วงดังกล่าว คลื่นอาจจะมีความสูง 3-4 เมตร และแตกตัวเป็นกระแสน้ำชายฝั่งที่มีทิศหมุนตามเข็มนาฬิกาด้วยความเร็วที่เกินกว่าดินโคลนที่ห่อหุ้มรากไม้ป่าชายเลนจะต้านทานได้ (มากกว่า 0.3  เมตร/วินาที) ป่าชายเลนจึงล้มตายเป็นจำนวนมาก การกัดเซาะจึงมีความรุนแรงโดยพัดพาตะกอนไปยังบริเวณชายฝั่งทะเลแถวจังหวัดชลบุรี ปัจจุบันบริเวณชายฝั่งทะเลไทยถูกจัดว่ามีความเสี่ยง และความเปราะบางสูงแห่งหนึ่งของโลก การดำเนินโครงการใดๆจึงต้องคำนึงถึงความเหมะสม และที่สำคัญเกิดความยั่งยืนในอนาคต ป่าชายเลนเป็นมรดกที่มีคุณค่า เป็นพื้นที่กันชนที่มีความจำเป็นต่อชุมชนริมชายฝั่งทะเล จากการวิเคราะห์ความเป็นไปได้เบื้องต้นโครงการถมทะเลตั้งแต่บริเวณปากแม่น้ำท่าจีน จนถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยา พบว่ามีข้อดี และข้อเสียตามตารางข้างล่างดังนี้ ข้อดี   1) ได้พื้นที่เพิ่มกว่า 180,000 ไร่ (แต่จะขายให้ใคร เพราะเป็นทะเลโคลนมีอุปสรรคด้านการจราจรทางน้ำ) การก่อสร้างท่าเรือ Marina บริเวณนี้จึงไม่มีความเหมาะสมเนื่องจากปัญหาด้านการกัดเซาะ และการตกตะกอนดินโคลน 2) ป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบริเวณหลังพื้นที่ถมทะเล แต่จะเกิดผลกระทบต่อพื้นที่ข้างเคียงโดยเฉพาะพื้นที่ชายทะเลด้านทิศตะวันออก   ข้อเสีย 1) ป่าชายเลนจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และถูกทำลายโดยพฤติกรรมของทรายถม รวมทั้งการขึ้นลงของระดับน้ำทะเล 2) เมื่อป่าชายเลนหมดไปย่อมส่งผลกระทบต่อเนื่องต่อระบบนิเวศน์ แหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ พื้นที่ทำการประมง อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ 3) จากรูปที่ 3 หากการถมทะเลยื่นไปนอกชายฝั่งทะเลถึง 10 กิโลเมตร ซึ่งเกินจากระยะการแตกตัวของคลื่น จะเป็นการขัดขวางการไหลหมุนเวียนของกระแสน้ำ และตะกอน ย่อมส่งผลให้ชายฝั่งทะเลบริเวณทิศตะวันออกเกิดการกัดเซาะมากขึ้น (อำเภอเมืองสมุทรปราการ อำเภอบางประกง และอำเภอเมือง ชลบุรี) 4) จากรูปที่ 4 การถมทะเลบริเวณพื้นที่ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อระบบระบายน้ำท่วมฝั่งธนบุรีของกรุงเทพมหานคร และกรมชลประทาน ที่ต้องใช้คลองระบายน้ำหลายสายสู่ทะเล (โดยเฉพาะคลองขุนราชวินิจใจ) ชาวบ้านฝั่งธนบุรีจึงมีโอกาสเผชิญกับระดับน้ำท่วมขังสูงขึ้น และนานขึ้น 5) การถมทะเลบริเวณดังกล่าวไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ แต่จะซ้ำเติมปัญหาให้รุนแรงมากขึ้น เนื่องจาก น้ำเหนือที่มีปริมาณมากเกินกว่าความสามารถรับน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำกว่า 7,000 ล้านลูกบาศก์เมตรจึงค้างอยู่ในนาข้าวเหนือน้ำ หากปริมาณน้ำดังกล่าวถูกบังคับให้ไหลลงมาผ่านกรุงเทพฯ จะเกิดมหาอุทกภัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับมาตรการหาที่ให้น้ำอยู่ (Room for the river) แทนการถมแย่งที่น้ำเช่น แก้มลิงตามแนวพระราชดำริฯ การผันน้ำ การขยายลำน้ำ เป็นต้น หากการถมทะเลไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ จะนำมาซึ่งอุปสรรคที่สำคัญต่อการระบายน้ำลงทะเลส่งผลให้น้ำท่วมขังกินบริเวณกว้างมากขึ้น และนานขึ้น 6) ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นโดยเฉลี่ย 2-3 มิลลิเมตรต่อปี ประกอบกับอัตราการทรุดตัว 1-2 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งในระยะยาวจะเป็นภัยคุกคามต่อพื้นที่ริมชายฝั่งทะเล มาตรการคันดินริมทะเลจึงมีความเหมาะสมและยั่งยืนกว่าการถมทะเลทั้งในแง่ของงบประมาณ และประสิทธิผล รศ.ดร. เสรี ศุภราทิตย์ ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ที่มา http://goo.gl/apSSc จากคุณ : กราสิก เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:35:29

ความคิดเห็นที่ 3 ผมสนใจ เขื่อนก้องทะเล ของ ศ.ดร.ธนวัฒน์  จารุพงษ์สกุล ครับ http://shows.voicetv.co.th/intelligence/3203.html ส่วนรัฐบาลใหม่มีนโยบายถมทะเล ผมกำลังรอดูรายละเอียดอยู่ว่าจะมีผลดี ผลเสียอย่างไร? แต่ก็ดีใจที่มีนโยบายนี้ ไม่ใช่เอาแต่เล่นการเมืองไปวันๆ จากคุณ : กราสิก เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:41:37

ความคิดเห็นที่ 4 จมน้ำไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ .. กลัวแผ่นดินสั่นมากกว่า .. ก็ว่ากันไป .. จากคุณ : T-H-F-C เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:52:43

ความคิดเห็นที่ 5 ผมไม่เชื่อเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น โลกร้อนก็ไม่ใช่ เป็นกระเสตามแห่หากินของนักวิชาการ จากคุณ : RageMachine เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:56:15

ความคิดเห็นที่ 6 อย่างน้อยวันนี้ก็มีข่าวดีที่ได้รับรู้ว่า พี่น้องชายแดน ไทย กัมพูชา กลับมาค้าขายกันดังเดิมครับ ที่มา http://goo.gl/VKPfk ปล. นอกเรื่องไปนิดนึง ขอตัวออกไปทำธุระก่อนนะครับ แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 11:59:33 จากคุณ : กราสิก เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 11:57:26

ความคิดเห็นที่ 7 ...........ผมพรวนดินในไร่ของผมเองที่อำเภอพระพุทธบาท สระบุรี  พบเปลือกหอยแครงยักษ์ตัวขนาด 40-50 ซ.ม.ขึ้นไปเยอะแยะเลย  แสดงว่าแต่เดิมทะเลมันสูงถึงโน่นอยู่แล้ว  ฉนั้นน้ำทะเลกำลังค่อยๆสูงกลับไปเหมือนกาลก่อนใช่ไหมครับ ???                                                                               popeye จากคุณ : youngbear เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 12:05:49

ความคิดเห็นที่ 8 ในฐานะที่ผมทำงานในหน่วยงานด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผมคิดว่า การทำเขื่อนถมทะเล มีผลกระทบต่อระบบนิเวศวิทยาบริเวณปากอ่าวไทยอย่างมหาศาล โอ.เค.ครับ การถมทะเลปิดปากอ่าวแบบประเทศเนเทอร์แลนด์นั้น ไม่ยากในทางวิศวกรรมโยธา โดยได้พื้นดินคืนมาจากทะเลเป็นจำนวนมาก แต่จะเป็นกรรมสิทธิ์ของใครในภายหลังบ้างนั้น ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดแต่อย่างใด แถมระยะทางเดินของน้ำที่สูบทิ้งจากบริเวณพื้นที่บางส่วนของ กทม.ที่ทรุดตัวลงนั้น จะต้องใช้ระยะเวลานานกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว กว่าถึงบริเวณเขื่อนกั้นทะเล ที่อาจอยู่ไกลถึงชลบุรี หรือศรีราชาก็ได้ สมัยหนึ่ง  เคยมีแนวดำริตั้งมหานครสุวรรณภูมิ มีผู้คนกระดี๊กระด๊า เข้าไปกว้านซื้อจับจองที่ดินเพื่อหวังกำไร แต่พอเกิดกรณียึดสนามบิน แถมด้วยมลภาวะทางเสียงจากบรรดาเครื่องบินที่ขึ้นลงแทบไม่ขาดสายด้วยแล้ว ยังไม่ทราบว่า ราคาที่ดินซึ่งถือโฉนดอยู่ในมือนั้น กระเตื้องขึ้นบ้างหรือไม่ ? แค่คิดกันเล่นๆ เท่านั้นครับ ไม่ได้อิงด้านสีสันประการใด แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 14:09:05 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 12:20:14 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 12:17:10 จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 12:11:15

ความคิดเห็นที่ 9 ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ    เป็นสิ่งที่ดี การพัฒนาเพื่อความก้าวหน้า ไปสู่ความรุ่งเรือง    เป็นสิ่งที่ดี นักการเมืองคิด  วางแผน  วางนโยบาย    เป็นสิ่งที่ดี... (ดีกว่ามานั่งคิดลากไส้กันเป็นกิจวัตร...!) ...แต่...ในความดี ย่อมมีความ ไม่ดี ปะปนผสมผสานกันอยู่ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งความดี และ ความไม่ดี  มีการอธิบายไว้แล้วในบทความข้างบน ในความเห็นนี้ ขอเพิ่มเติมในสิ่งไม่ดี อีกเล็กน้อย ประเทศไทยมีพื้นที่อีกกว้างใหญ่ไพศาล.... ที่รอการพัฒนา อยากให้หันหลังกลับไปมองดู  ดูแล้วคิด ปรับเปลี่ยน การพัฒนาประเทศชาติ มาที่พื้นที่เหล่านี้มากกว่าการถมทะเล ประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย ยังคงแหงนหน้ามองฟ้า   รอเวลาแห่งความอยู่ดี  กินดี ปราศจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งปวง ............รอการช่วยเหลือจากผู้นำที่แท้จริง........ แหล่งน้ำ เพื่อการเกษตร  ยังขาดแคลน น้ำมาก ไร่นาล่ม เสียหายยับเยิน.... ความไม่สมดุลทางธรรมชาติ.... ยังมีต่อเนื่องกันทุกปี....ยังรอรับการแก้ไขกันอยู่ทุกปี.... ถึงฤดูกาล เดือดร้อน  ก็ระดมของแจกกันทีหนึ่ง หมดฤดูกาล  ก็ลืมสิ้น แล้วไปตั้งต้นแจกกันใหม่ ในฤดูกาลหน้า ! (ฤดูกาลใหม่ใกล้จะถึงแล้ว) ทำอย่างไรจึงจะแก้ไข และพัฒนา ความเดือดร้อนประจำปีเหล่านี้ ให้สิ้นไป ทำอย่างไรจะให้นักการเมือง.....  คิดได้....บริหารงานเป็น และวางแผน  วางนโยบาย ในการพัฒนาเพื่อชนในชาติ... ............อย่างต่อเนื่อง และจริงจัง..... สะพานกลางทะเลทางลัดสู่ภาคใต้ หมดเงิน  ค่าคิด  ค่าวางแผน... ................สูญเปล่าไปกี่พันล้านบาทไทย !...... น่าจะเป็นตัวอย่างให้ฉุกคิดกันได้บ้าง ! การสร้างเขื่อนเพื่อป้องกันน้ำท่วม ถือได้ว่า  คิดดี แต่การถมทะเลเพื่อการพัฒนาที่ดิน (ขาย)  ผมว่าคิดไม่ดี..! ประเทศไทยไม่ใช่เกาะสิงคโปร์ จำเป็นอย่างไรจึงต้องถมทะเลเพื่อเพิ่มพื้นที่ ??!!!! แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 12:41:30 แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 12:38:39 จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 12:34:34

ความคิดเห็นที่ 10 การนำเรื่อง "ปัญหาของบ้านเมือง" มานั่งคุยกัน เพื่อค้นหาทางออกให้แก่ปัญหาที่เราต้องเผชิญร่วมกัน เป็นเรื่องของ "บ้านเมือง" ไม่ใช่เรื่อง "การเมือง" เป็นไปเพื่อ "พวกเรา" ที่ร่วมแผ่นดินเกิดเดียวกัน เกิดประโยชน์แตกต่างกันมากกับการทำให้ประชาชนแยกพวกด้วยสีเสื้อ    . ซึ่งไม่รู้ว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของใคร เข้ามาแก้ไขประโยคแรก แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 12:50:22 จากคุณ : ลุงอ่ำ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 12:46:52

ความคิดเห็นที่ 11 เฮีย หนีน้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ ไปอยู่ โคราช กับผมไหมเฮีย? เดี๋ยวผม จะแบ่งที่ ขายให้ แถม หมี่โคราช ให้ชิม อีกต่างหาก จากคุณ : XXLGiant เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 13:21:41

ความคิดเห็นที่ 12 อาจารย์เสรีท่านเป็นหัวหอกสำคัญในการกระตุ้นภาครัฐให้หันมาสนใจแก้ไขปัญหา น้ำท่วมกรุงเทพ ซึ่งปัจจุบันอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มาก แถมมีปัญหาแผ่นดินทรุด และ น้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งมาซ้ำเติม การสร้างเขื่อนกั้นน้ำทะเลตอนนี้คงต้องไปดูตัวอย่างที่เวียดนามที่มาทีหลังแต่เขา ทำไปแล้วว่าเขื่อนจะมีหน้าตาอย่างไร เพราะไม่น่าจะเหมือนที่เนเธอร์แลนด์ทำ ส่วนเรื่องถมทะเลคงเป็นอะไรที่ต้องถกกันอีกยาว เพราะอ่าวไทยอยู่ในระบบนิเวศน์ เขตร้อนที่มีความเปราะบางสูงมาก แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 13:59:30 จากคุณ : เชียงคำ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 13:59:01

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ จริงตามที่คุณเชียงคำกล่าวครับ ผมเกรงว่าเราจะได้ ไม่คุ้มเสีย เพียงแค่มีเขื่อนขนาดใหญ่สร้างปิดกั้นแม่น้ำแม่กลองแล้ว วิถีชีวิตของชาวแม่กลองที่อยู่ปลายน้ำก็เปลี่ยนแปลงไป จากน้ำขึ้น น้ำลงตามวงจรธรรมชาติที่คุ้นเคย  กลายเป็นน้ำเค็มรุกล้ำเข้าไปถึง อ.อัมพวา กระทบต่อพืชสวนชาวบ้านจำนวนไม่น้อย เพราะขาดน้ำจืดลงไปผลักน้ำเค็มครับ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 14:20:09

ความคิดเห็นที่ 14 กรุงเทพไม่ได้อยู่ใกล้ระดับน้ำทะเลซะทีเดียว น้ำทะเลจะขึ้นสูงไม่กี่วันต่อปีเท่านั้น น้ำท่วมกรุงเทพ ไม่ได้ท่วมเพราะน้ำทะเลหนุนเท่านั้น น้ำเหนือบ่า ฝนตกเฉพาะที่ และน้ำทะเลหนุนในช่วงน้ำขึ้นก็ทำให้น้ำท่วมกรุงได้ทั้งนั้น น้ำเหนือบ่า ทำให้น้ำท่วมกรุงได้มากกว่าน้ำทะเลหนุนซะอีก น้ำทะเลหนุน ปัจจุบันเค้าก็มีระบบง่ายๆป้องกันไว้แล้ว หากใครเคยผ่านถนนสุขุมวิทสายเก่า จากสมุทรปราการไปคลองด่าน จะเห็นคันดินกันน้ำทะเลตลอดทาง น้ำขึ้นได้ แต่ข้ามมาในเมืองไม่ได้ บางคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าแม้ระบบกันน้ำท่วมสนามบินสุวรรณภูมิ ยังต้องปั๊มน้ำข้ามถนนข้ามเขื่อนไปลงทะเล หากจะทำระบบกันน้ำท่วมจริง ควรทำเผื่อคนไทยจังหวัดอื่นด้วย เพราะน้ำไม่ได้ท่วมกรุงเทพที่เดียว น้ำเหนือมา ก็กักน้ำไม่ให้เข้ากรุงเทพ แต่คนนครสวรรค์หรือเหนือกว่านั้น ตลอดจนใต้นั้นต้องรับน้ำท่วมแทนคนกรุงทุกปี ทางแก้ที่เราคิด คือการทำคลองลัดระบายน้ำ ตรงจากนครสรรค์หรือเหนือจากนั้น ตรงลงทะเล ออกแบบให้ใช้งานอื่นนอกหน้าน้ำไว้ด้วย เช่นทำเป็นถนนก็จะดี ส่วนการถมทะเลสันดอนปากน้ำนั้น ผลเสียมากกว่าผลดีแน่นอน ทั้งระบบนิเวศน์เปลี่ยนไป ดินดอนปากน้ำเปลี่ยนหน้าที่ น้ำก็จะไหลออกจากเจ้าพระยาช้าลง น้ำก็ท่วมลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานานขึ้นอีก คนไทยก็ตายกับตาย จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 16:10:17

ความคิดเห็นที่ 15 จุฬาฯชี้10ปีกรุงเทพฯไม่จม-สึนามิเกิดน้อย นักวิจัยจุฬาฯ เผยแผนที่จุดเสี่ยงน้ำท่วม กินพื้นที่ 5 จังหวัด ชี้ 10 ปีกรุงเทพฯ ไม่จมแน่ พร้อมแจงสึนามิปลายปีโอกาสเกิดน้อย คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวทีเสวนาเรื่อง "เจาะลึกข้อมูลทางวิชาการด้านพิบัติภัยกับข่าวสารที่ประชาชนควรได้รับรู้อย่างถูกต้อง" พร้อมกับเปิดเผยแผนที่ 5 จังหวัดเสี่ยงภัยน้ำท่วม โดยยืนยันว่า 10 ปีนี้ กรุงเทพฯ ยังไม่จมทะเล 100% ศ.ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การจัดทำแผนที่นี้ขึ้นมาเป็นการชี้จุดของพื้นที่ 5 จังหวัดเสี่ยงภัย ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ที่นำมาเปิดเผย เพื่อช่วยให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ และป้องกันการตื่นตระหนกจากข่าวที่เกิดขึ้น "จากกระแสข่าวที่บอกว่า น้ำทะเลจะท่วม 6-7 เมตร กินพื้นที่ถึง จ.ชัยนาท และพื้นที่ในกรุงเทพฯ จะจมทั้งหมดนั้น จากการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยวิเคราะห์จากปัจจัยเรื่องแผ่นดินทรุด การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลจากภาวะโลกร้อน รวมทั้งปริมาณตะกอนที่ลดน้อยลงจากการสร้างเขื่อนต้นน้ำ พบว่า หากไม่มีมาตรการป้องกันใดๆ น้ำทะเลจะท่วมมากที่สุดในระยะ 6-8 กิโลเมตรจากชายฝั่งทะเลในเวลา 100 ปี" จากการศึกษาการป้องกันการกัดเซาะของน้ำทะเลทำให้สรุปได้ว่า เหตุการณ์น้ำทะเลท่วมกลืนกรุงเทพฯ ภายในเวลา 10 ปีข้างหน้านั้น ไม่เป็นความจริง อีกทั้งทางกลุ่มนักวิชาการก็มีมาตรการป้องกันแล้ว โดยการสร้างเขื่อนก้องทะเล ซึ่งเป็นลักษณะการสร้างป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะ ซึ่งจากการทดลองสร้างเขื่อนที่บ้านขุนสมุทรจีนพบว่า นอกจากจะสามารถป้องกันการกัดเซาะแล้ว ตะกอนที่ได้จากเขื่อนยังสามารถเพิ่มพื้นที่ดินได้อีกด้วย" ศ.ดร.ธนวัฒน์กล่าว ดร.เครือวัลย์ จันทร์แก้ว นักวิชาการผู้คนพบสึนามิโบราณอายุ 600 ปี อาจารย์ประจำภาควิชาธรณีวิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า จากการที่ประชาชนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการเกิดสึนามิในช่วงปลายปีนี้ จากข้อมูลที่มี บอกได้ว่า โอกาสเป็นไปได้น้อยมาก ทั้งนี้ สึนามิจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการเกิดแผ่นดินไหวในทะเลก่อน ซึ่งปัจจุบันระบบเตือนภัยก็สามารถแจ้งให้ทราบล่วงหน้าได้ ที่มา http://goo.gl/QfJ8p ............. ยังเบาใจได้ว่าภายในอีกสิบปีข้างหน้ากรุงเทพฯยังไม่จมน้ำ เท่ากับเรายังมีเวลาคิดหาวิธีป้องกันอยู่บ้าง แต่จะต้องได้ข้อสรุปว่า เราจะใช้วิธีไหน จากคุณ : กราสิก เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 16:19:52

ความคิดเห็นที่ 16 มาอ่าน ขอบคุณค่ะ:) จากคุณ : alinada เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 16:41:04

ความคิดเห็นที่ 17 นิสัยเสียอีกอย่างนึ่งของคนไทยคือเอาแต่ตำหนิในสิ่งที่เสียหาย โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับประเทศไทยก้าวเจริญไปไหนไม่ได้ก็เพราะลักษณะเช่นนี้ มัวแต่กีดกันจ้องทำลายโดยยกผลเสียมาอ้างตลอดเช่นเดียวกับสนามบินสุวรรณภูมิ เริ่มโครงการใกล้เคียวกับชางฮีแต่พี่ไทยใช้เวลาฝ่าฟันเกือบห้าสิบปีจนเขาก้าวไปถึงไหนๆกันแล้ว การทำโครงการถ้ามัวแต่คำนึงถึงผลเสียอย่างเดียวแล้วไม่สามารถทำอะไรที่พัฒนาประเทศได้เลยเพราะทุกสิ่งอย่างจะเกี่ยวพันกันทั้งสิ้นมีผู้ได้ประโยชนืและผู้เสียประโยชน์มีผลกระทบ ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดีแต่ควรจะคำนึงว่าเมื่อหักลบกันแล้วสิ่งใดดีกว่าและที่สำคัญจะชดเชยให้กับสิ่งที่เสียไปอย่างไรการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่จะให้ผลดีทางด้านเศรษฐกิจและป้องกันน้ำท่วมแต่ผลเสียย่อมเกิดขึ้นแน่นอนคือสิ่งแวดล้อมแล้วจะไม่ทำอะไรกระนั้นหรือ จากคุณ : ไอ้หนุ่มพลังเกาเหลา เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 17:30:55

ความคิดเห็นที่ 18 น้ำจะท่วมได้ไงก็เห็นมีพนังกันน้ำรอบแล้วนิ จังหวัด ปทุม กับ อยุธยา ดิท่วมของจริง ทุกปี น้ำลงไม่ได้ติดกรุงเทพ แก้ไงดี สร้างพนังกันน้ำไปยังเชีงใหม่เลยดีไหม ถ้าน้ำสูงขึ้นก็ก่อกำแพงสูงขึ้น  จังหวัดไหน งบเยะกว่ากันก็สร้างได้สูงสุดๆไปเลย จากคุณ : chet123654 เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 17:57:25

ความคิดเห็นที่ 19 เมืองไทยยังมีที่ดินที่เอามาทำประโยชน์ได้อีกมากมาย ใกล้ๆกรุงเทพ ก็ตรงนาเกลือสมุทรสงคราม มีที่เป็นแสนไร่ จะถมทำเมืองใหม่ได้สบาย จัดการผังเมืองสะดวกและดี และถูกกว่าถมทะเลทำเมืองใหม่ จะบอกให้ว่าจุดที่จะถมทำเมืองใหม่ คือที่สันดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยานั้น เนื่องจากเป็นดินตะกอน ใต้ตะกอนนั้นเป็นซากพืชซากสัตว์เน่าเปื่อยผุพัง ทำบ้านทำเมืองเมื่อไหร่ ตอกเสาเข็มลงไป ก๊าซไข่เน่าฟุ้งเหม็นทั่วเมืองแน่นอน จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:05:54

ความคิดเห็นที่ 20 รูป คลองลัดส่งน้ำตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิลงทะเล ถ่ายเองตอนเดินทางไปนครศรีธรรมราช สองปีแล้ว น้ำไม่ท่วมสนามบิน คลองลัดนี้มีส่วนช่วยมาก จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:08:27

ความคิดเห็นที่ 21 ผลงาน วิจัยงาน ประเมินงาน และ ประมูลงาน ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้....!! จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:32:15

ความคิดเห็นที่ 22 คุณไอ้หนุ่มพลังเกาเหลา 1) การถมทะเลสร้างเมืองใหม่ จะทำหรือไม่ทำขึ้นอยู่กับการพิจารณาตามหลักวิชาการทุกด้าน เพื่อนำผลดีผลเสียมาพิจาณา แม้แต่ถมทะเลสร้างเกาะที่ดูใบสร้างแล้วมีปัญหาทั้งทางเศษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ก็สามารถนำมาเป็นตัวอย่างประกอบการพิจารณาได้ 2) หนองงูเห่า หรือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิในปัจจุบัน ที่เล่าขานว่าใช้เวลา 30 กว่าปีจึงสำเร็จนั้น อันที่จริงเป็นเวลาที่เสียไปส่วนใหญ่เรื่องของขั้นตอนการดำเนินการ (เช่น การเวนคืนที่ดิน) การศึกษาความเหมาะสม(เลือกพื้นที่) ปัญหาทางเศรษฐกิจ และ การปรับสภาพพื้นที่ดินเลนที่ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี ก่อนจะทำการก่อสร้างจนเสร็จ โครงการนี้แทบทุกฝ่ายสนับสนุนครับ เกือบลืม การปรับปรุงสนามบินดอนเมืองสองสามครั้ง ทำให้การใช้สนามบินสุวรรณภูมิ รับช่วงต่อดอนเมืองได้แบบวิ่งผลัด สนามบินชางงีเองแม้จะมีเทอมินัล 3 แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้สนามบินสุวรรณภูมิลดความสำคัญลงไป แก้ไขเมื่อ 25 ก.ค. 54 18:55:00 จากคุณ : เชียงคำ เขียนเมื่อ : 25 ก.ค. 54 18:47:35

ความคิดเห็นที่ 23 หากเป็นโครงการอภิมหาโปรเจ็ค ใช้เงินลงทุนนับแสนล้านบาท การพิจารณาไตร่ตรองถึงข้อดีข้อเสียโดยรอบคอบ เป็นสิ่งที่จำเป็นครับ ที่กล่าวมา เรายังมีที่รกร้างว่างเปล่าที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เต็มศักยภาพ เหลืออีกเยอะแยะ ไม่อยากให้เป็นแหล่งเก็บออมของผู้มั่งคั่งโดยไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ขึ้นมา แถมมีผู้คนชาวบ้านเข้าบุกรุกที่ป่า ที่สาธารณะ ไปจับจองเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัว ปลูกต้นอะไรมิต่ออะไรที่ไม่ได้สร้างประโยชน์ใช้สอย  เพียงแค่ส่งเข้าโรงงานอุตสาหกรรม เอาเงินมาใช้สอยแบบฉาบฉวยเท่านั้น ตรงนั้นแหละครับ ที่ผมคิดว่าน่าจะนำเงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้ไปพัฒนาที่ดินว่างเปล่าให้เกิดประโยชน์ใช้สอยเต็มศักยภาพมากกว่า แก้ไขเมื่อ 26 ก.ค. 54 11:29:07 จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 10:02:54

ความคิดเห็นที่ 24 กระทู้นี้ ประเทืองปัญญา จากคุณ : มับนะขู เขียนเมื่อ : 26 ก.ค. 54 11:10:12