Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สนมเอกผู้โชคร้าย ติดต่อทีมงาน

สามก๊กฉบับฮูหยิน

สนมเอกผู้โชคร้าย

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อ พระเจ้าเหี้ยนเต้ ซึ่งมีนามเดิมว่า หองจูเหียบ ได้ขึ้นครองราชสมบัติใน พ.ศ.๗๓๓ ด้วยอำนาจของ ตั๋งโต๊ะ ขณะที่มีอายุประมาณเก้าปีนั้น ก็เป็นเพียงหุ่นให้มหาอุปราชชักเชิดไปตามอำเภอใจ พอตั๋งโต๊ะตายลงด้วยความคิดของ อ้องอุ้น กับน้ำมือของ ลิโป้ ได้ไม่นาน ลิฉุย คนสนิทของตั๋งโต๊ะ ก็เข้ามายึดอำนาจคืน เวลาอีกประมาณสี่ห้าปีต่อมาพระเจ้าเหี้ยนเต้ก็เป็นเหมือนตุ๊กตา ที่เด็กยื้อแย่งกันไปครอบครอง ระหว่างลิฉุยกับ กุยกี จนขุนนางที่จงรักภักดี ต้องช่วยกันพาหนีไปจากเงื้อมมือของสองทรชน กลับมาอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ซึ่งรกร้างว่างเปล่าเพราะตั๋งโต๊ะได้เผาทิ้งไปแล้ว

ขุนนางเหล่านั้นก็ช่วยกันซ่อมแซมพระราชวังเดิมที่ยังเหลืออยู่ ให้พอจะประทับได้ และในเมืองนั้นก็มีราษฎรเหลืออยู่เพียงห้าร้อยหลังคาเรือนเท่านั้น ขุนนางที่เป็นหัวหน้าในครั้งนี้ก็คือ ตังสิน

ขณะนั้นพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เจริญวัยขึ้นแล้ว มีมเหสีชื่อ นางฮกเฮา ซึ่งเป็นบุตรีของ ฮกอ้วน ขุนนางฝ่ายพลเรือนคนหนึ่ง ต่อมาตังสินจึงได้ยก นางตังกุยหุย น้องสาวของตนถวายเป็นสนมเอก ตังสินและฮกอ้วนจึงอยู่ในฐานะพระญาติพระวงศ์ผู้ใกล้ชิด สนิทสนมกับพระเจ้า เหี้ยนเต้เป็นอันมาก

ต่อมาพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้ข่าวว่า โจโฉ ซึ่งเคยรบแพ้ตั๋งโต๊ะ ได้ไปตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ที่เมืองกุนจิ๋ว จึงมีหนังสือรับสั่งให้โจโฉยกกองทัพมาปราบปรามลิฉุยกุยกี จนสำเร็จราบคาบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็แต่งตั้งให้โจโฉเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน โจโฉจึงเชิญเสด็จพระเจ้าเหี้ยนเต้ไปตั้งเมืองหลวงใหม่ อยู่ที่เมืองฮูโต๋ ทางภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ในความครอบครองของโจโฉ

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ค่อยมีความสุขขึ้น จึงตั้งให้ตังสินและขุนนางที่ติดตามมาอีกสิบสามคนเป็นเสนาบดี ส่วนโจโฉซึ่งเป็นมหาอุปราชนั้น ก็แต่งตั้งพรรคพวกให้เป็นขุนนางน้อยใหญ่ มีที่ปรึกษาฝ่ายพลเรือนสี่คน นายทหารเอกสี่คน นายทหารโทห้าคน นายทหารตรีสองคน ดำเนินการปกครองบ้านเมืองโดยเด็ดขาด ถ้าผู้ใดจะว่าข้อราชการสิ่งใด ต้องมาแจ้งแก่โจโฉก่อน จึงจะกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้

เมื่อโจโฉได้เป็นใหญ่ในแผ่นดินแล้ว ก็ยกกองทัพไปปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ที่ไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย หลายครั้งหลายหน แพ้บ้างชนะบ้าง แต่สุดท้ายก็กำจัดลิโป้ ซึ่งตั้งแข็งข้ออยู่ที่เมืองชีจิ๋วลงได้ ด้วยความร่วมมือของ เล่าปี่ โจโฉจึงพาเล่าปี่เข้ามาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้

เมื่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ทราบว่าเล่าปี่เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น นับในลำดับเป็นพระเจ้าอา ก็แต่งตั้งให้เป็นเสนาบดีผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง โจโฉจึงชักระแวงใจว่าเล่าปี่จะเป็นใหญ่เกินหน้าตนไปเสียอีก

โจโฉครองอำนาจสูงสุดในเมืองหลวงหลายปีเข้าก็ชักจะลืมตัว ทำอะไรไม่เกรงใจพระเจ้าเหี้ยนเต้ มีการอาจเอื้อมต่าง ๆ จนขุนนางที่จงรักภักดีทนไม่ได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวางเพราะเกรงอำนาจอันล้นฟ้าของโจโฉ

พระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงกับตรัสกับนางฮกเฮามเหสีว่าตลอดเวลาที่เสวยราชสมบัติมานั้น มีแต่ความระกำช้ำใจ เมื่อครั้งตั๋งโต๊ะนั้นก็ว่าทำการหยาบช้าอยู่แล้ว พอมาถึงลิฉุยกุยกีก็คิดจะทำอันตรายแก่พระองค์อีก ครั้งนี้ได้โจโฉมาช่วยแก้ไข คิดว่าจะตั้งใจทำนุบำรุงแผ่นดิน ก็กลับมาทำการดูหมิ่นไม่ได้มีความยำเกรงอีกเล่า ทุกวันนี้ชีวิตของพระองค์นั้นไม่รู้ว่าจะถึงที่สุดเมื่อใด

นางฮกเฮาก็ร้องไห้สงสารพระสวามีแล้วก็ทูลว่า

".....ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง ซึ่งกินเบี้ยหวัดผ้าปี ก็มิได้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ละให้พระองค์ทรงพระทุกข์อยู่ฉะนี้ ก็เป็นกรรมของพระองค์กับข้าพเจ้า...."

พอดีฮกอ้วนผู้เป็นบิดาของนางฮกเฮา ได้เข้ามาเฝ้าในที่ข้างใน เห็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงพระกันแสงอยู่กับมเหสี จึงทูลถามว่าพระองค์ทรงขัดเคืองสิ่งใดหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตรัสเล่า ถึงความคับแค้น ให้ฮกอ้วนฟังทุกประการ ฮกอ้วนก็บอกว่า

".....ขุนนางทั้งปวงเล่า ก็มิได้มีใจเจ็บร้อนด้วยพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นแต่ตังสินซึ่งเป็นพระราชวงศ์ จะช่วยคิดอ่านกำจัดโจโฉเสียได้....."

พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงปรึกษาว่าจะทำอย่างไร ฮกอ้วนก็บอกว่าทุกวันนี้โจโฉได้ใช้ให้หญิงคนสนิท มาคอยสอดแนมดูเหตุการณ์ในพระราชวังอยู่ตลอดเวลา จะทำสิ่งใดต้องระมัดระวัง ถ้าจะเรียกตังสินเข้ามาปรึกษา ก็ต้องทำให้แนบเนียน

เมื่อฮกอ้วนกับไปแล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงเอาพระแสงแทงนิ้วพระหัตถ์ แล้วเอาโลหิตเขียนอักษรลงบนผ้าแพรขาว มีความว่า

"......แต่โจโฉเข้ามาอยู่เมืองหลวงได้สี่ปีแล้ว ทำการหยาบช้าต่าง ๆ จะตั้งขุนนาง แลลงโทษผู้ใด ก็มิได้ยำเกรงบอกกล่าวให้เรารู้ สุดที่จะอดกลั้นทนทานได้ เราจึงเอาโลหิตในนิ้วมือ เขียนอักษรเป็นความลับมาให้แจ้ง แม้ตังสินเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ก็ให้ ชักชวนกันทำการกำจัดโจโฉเสียให้จงได้ ตัวเราแลขุนนางกับอาณาประชาราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป....."

แล้วก็ให้นางฮกเฮาเย็บผ้าแพรขาวนั้นซ่อนไว้ในกลีบเสื้อ และให้หาตัวตังสินเข้ามาเฝ้า แล้วก็ตรัสว่า

".....เวลาคืนนี้เรากับนางฮกเฮาเฝ้าคิดถึงท่าน เมื่อครั้งพาเราหนีลิฉุยกุยกีไปนั้น ความชอบท่านมีเป็นอันมาก เราจึงเอาเสื้อผืนนี้ให้เป็นบำเหน็จ....."

แต่แล้วก็ค่อยกระซิบสั่งว่า ถ้าไปถึงบ้านแล้ว จงเอาหนังสือในกลีบเสื้อออกอ่านดู แม้นเห็นความทุกข์ของเรา จงเร่งคิดการให้สำเร็จ อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้

ตังสินก็รับเอาเสื้อมาใส่ แล้วก็ถวายบังคมออกจากวังชั้นในจะกลับบ้าน โจโฉซึ่งทราบข่าวจากหญิงที่เป็นสายอยู่ในวัง ก็มาคอยดักตรวจค้นตังสิน แต่ก็ไม่ได้หลักฐานอะไร แม้จะสงสัยเสื้อใหม่ตัวนั้น ก็เอาไปไม่ได้เพราะเป็นของพระราชทาน

เมื่อตังสินกลับมาบ้าน ได้อ่านข้อความแจ้งแล้ว ก็ได้รวบรวมพรรคพวกที่จะร่วมมือกันกำจัดโจโฉได้ขุนนางพลเรือนสี่คนคือ จูฮก ตันอิบ โงห้วน จูลัน ฝ่ายทหารก็ได้ ม้าเท้ง เจ้าเมืองเสเหลียงที่มาทำราชการในเมืองหลวง และ เล่าปี่ ซึ่งต่างก็ลงชื่อกันไว้ในแพรขาวนั้น

แต่เวลาล่วงไปโดยยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เล่าปี่กับม้าเท้งเกรงว่าเนื้อความนั้นจะแพร่งพรายไปถึงโจโฉ จึงหาอุบายปลีกตัวออกไปจากเมืองหลวง แล้วก็หายหน้าไปเลย

ตังสินกับเพื่อนอีกสี่คนรออยู่เป็นเวลานานนับปี ความทุกข์ก็สุมหัวอก จนตังสินได้ป่วยลง พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงส่ง เกียดเป๋ง หมอหลวงมารักษา หมอเกียดเป๋งจึงได้รู้ความลับของ ตังสิน และอาสาจะไปวางยาพิษโจโฉเอง แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะคนใช้ของตังสินรู้ความลับแล้วเอาไปบอกโจโฉ เพราะความแค้นที่ตังสินจับได้ว่าไปข้องแวะกับภรรยาน้อย เกียดเป๋งจึงถูกเฆี่ยนตีและตัดนิ้วมือทั้งสองมือ จนทนไม่ได้เอาศรีษะกระแทกพื้นหินตายไป

โจโฉจึงจับเอาตัวตังสินกับเพื่อนอีกสี่คน รวมทั้งบุตรภรรยา และสมัครพรรคพวกประมาณเจ็ดร้อยคนไปประหารชีวิตเสียทั้งสิ้น เมื่อทราบว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เป็นผู้ออกรับสั่งเอง จึงเหน็บกระบี่เข้าไปในวัง พบฮ่องเต้กำลังปรึกษาอยู่กับมเหสี ก็ไม่ถวายบังคม ถามว่าตังสินคิดร้ายต่อข้าพเจ้าพระองค์รู้หรือไม่

พระเจ้าเหี้ยนเต้แกล้งรับสั่งวกวน แต่โจโฉไม่ฟังคาดคั้นว่า พระองค์เขียนพระอักษรด้วยโลหิตให้ตังสินไปนั้น ลืมไปเสียแล้วหรือ พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงต้องนิ่งเงียบไป

โจโฉจึงสั่งให้ตำรวจวังจับตัวนางตังกุยหุย สนมเอกที่เป็นน้องสาวของตังสินเอาไปฆ่าเสีย พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ขอร้องว่า

"…....นางตังกุยหุยนั้นมีครรภ์อยู่ได้ห้าเดือนแล้ว มหาอุปราชจงเห็นแก่เราอย่าฆ่าเสียเลย....."

โจโฉจึงว่า

".....พระองค์ให้ตังสินทำร้ายข้าพเจ้า หากว่าเทพดาช่วยข้าพเจ้าจึงได้รู้การทั้งปวงหาไม่ข้าพเจ้าก็จะถึงแก่ความตาย แม้พระองค์จะเอาหญิงคนนี้ไว้ ภายหน้าก็จะมีอันตรายแก่ข้าพเจ้า....."

นางฮกเฮาก็ช่วยอ้อนวอนว่า

"..……มหาอุปราชเอ็นดูเถิด อย่าเพ่อฆ่านางตังกุยหุยเสียก่อนเลย จงเอาไปจำไว้ที่ตึกเย็น ถ้าคลอดบุตรแล้วจึงฆ่านางเสีย..."

โจโฉก็ยืนยันว่า

".....จะเอาพันธุ์มันไว้ใย ถ้าบุตรมันใหญ่ขึ้น มันก็จะพยาบาททำร้ายแก่ข้าพเจ้า...."

นางตังกุยหุยจึงขอความกรุณาเป็นครั้งสุดท้ายว่า

"....ถ้ามหาอุปราชไม่ไว้ชีวิตแล้ว อย่าฆ่าด้วยอาวุธให้ลำบากเลย จงเอาแพรขาวมารัดคอให้ตายตามปกติเถิด....."

โจโฉก็ให้ไปเอาแพรขาวมาจะทำตามที่นางขอ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสแก่นางตังกุยหุยว่า

".....ตัวเจ้าจะตายไปนั้น อย่าได้มีความแค้นแก่เราเลย...."

แล้วพระเจ้าเหี้ยนเต้กับมเหสีและสนมเอก ก็กอดกันร้องไห้ร่ำไรด้วยความอาลัยอาวรณ์

โจโฉจึงตวาดเอาว่า

".....คบคิดกันจะทำร้ายเขา ครั้นเขาจับได้สิมาร้องไห้รักกันเล่า....."

แล้วก็เร่งให้ตำรวจเอาตัวนางตังกุยหุยออกไปนอกวัง และรัดคอด้วยผ้าแพรขาวจนสิ้นใจตาย

นางตังกุยหุยผู้โชคร้าย จึงต้องสิ้นชีวิตลงพร้อมกับลูกในครรภ์ โดยมิได้กระทำความผิดแต่อย่างใด นอกจากความเป็นน้องของหัวหน้าผู้ก่อการขบถ เท่านั้นเอง.

###########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
เมษายน ๒๕๔๓

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 05:03:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com