Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ศพปริศนา ติดต่อทีมงาน

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

                                ศพปริศนา
                                                          " เล่าเซี่ยงชุน "

                   กาลครั้งหนึ่งเมื่อ เปาบุ้นจิ้น ถือรับสั่ง  พระเจ้าซ้องยินจงฮ่องเต้ ออกไปตรวจราชการตามหัวเมืองต่าง ๆ จนถึงเมืองกวางตุ้ง เจ้าเมืองก็ออกไปต้อนรับ พาเข้าพักในก๋งก๊วนอันเป็นที่พักสำหรับแขกเมือง  แล้วเจ้าเมืองกับคณะกรมการเมือง ก็นำคดีความที่ยังค้างคาอยู่ มาให้เปาบุ้นจิ้นพิจารณา

                   คดีหนึ่งมีความเดิมว่า พังเล่ ชาวเมืองกวางตุ้ง ได้ยก นางพังชุนเน้ย บุตรสาว ให้แต่งงานกับ หลิมฮัก ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายข้าวแกง อยู่ในเมืองนี้ หลิมฮักมีทุนค้าขายอยู่สองพันตำลึง ก็อยู่กินเป็นสามีภรรยากันมาโดยไม่ขัดสน  แต่นางพังชุนเน้ยมีนิสัยไม่ดี ชอบคบชู้สู่ชายนอกใจสามีอยู่เนือง ๆ บิดามารดาของหลิมฮัก รู้เห็นเหตุการณ์ที่นางพังชุนเน้ยประพฤติตนเป็นคนชั่ว     ใจง่ายก็บอกให้หลิมฮักรู้ หลิมฮักก็มีความโกรธจึงทุบตีด่าว่าภรรยามิปราณีปราสัย

                   นางพังชุนเน้ยมีความแค้นยิ่งนัก จึงมาฟ้องบิดาว่า ถ้าเห็นว่าเป็นคนไม่ดีแล้ว ก็ควรที่จะทิ้งเสียให้ตายตั้งแต่ยังอยู่ในผ้าอ้อม ก็จะเป็นการสิ้นทุกข์ไป แต่นี่บิดาและมารดาเลี้ยงมาจนใหญ่ปานนี้ มายกให้แก่คนใจคอโหดร้าย ถ้าทำความดีก็เสมอตัว แต่คำพูดนั้นหยาบช้า ด่าค่อนขอดต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ  ถ้ากระทำผิดก็ทุบตีเอาไม่เว้น เห็นทีจะต้องฆ่าตัวตายไปเสียดีกว่าอยู่เป็นมนุษย์

                   พังเล่ก็ปลอบโยนเอาใจว่า เขาเป็นสามีของเจ้าอย่าได้ต่อล้อต่อเถียง จงเชื่อถ้อย      ฟังคำสามี จึงจะถูกต้องตามแบบอย่างธรรมเนียม  ถ้าเจ้าไม่เชื่อฟังเขาแล้ว ก็จำเป็นอยู่เองที่จะต้องทะเลาะวิวาท ทุบตีกันเป็นธรรมดา  นางพังชุนเน้ยก็ไม่ว่าอะไร แล้วก็ลาบิดากลับบ้านไป

                   อยู่มาไม่ช้าไม่นาน นางพังชุนเน้ยก็หายไปจากบ้าน หลิมฮักผู้สามีเที่ยวสืบเสาะแสวงหาก็ไม่ได้ข่าวคราว ว่าไปอยู่แห่งหนตำบลใด แต่พังเล่พ่อตาไม่เชื่อว่านางพังชุนเน้ยจะหายไปจริง  เข้าใจว่าหลิมฮักคงจะทุบตีภรรยาจนถึงแก่ความตาย แล้วเอาศพไปซุกซ่อนเสีย  แกล้งทำอุบายเที่ยวสืบหาเพื่อแก้สงสัยเท่านั้น  จึงมาฟ้องร้องต่อเจ้าเมือง และย้ำในตอนท้ายว่า

                   ".......เมื่อเห็นบุตรีของข้าพเจ้าเป็นคนชั่วร้ายสามานย์ประการใด ก็ชอบแต่จะคืนบุตรของข้าพเจ้า มาให้ข้าพเจ้าผู้บิดามารดา  มาบัดนี้หลิมฮักทุบตีบุตรของข้าพเจ้าถึงสาหัส จนบุตรข้าพเจ้าถึงแก่ความตาย แล้วเอาศพไปซ่อนเสียมิให้ข้าพเจ้าพบเห็น  และทำกลอุบายว่าบุตรของข้าพเจ้าหนีไป  ถ้าบุตรของข้าพเจ้าหนีไปจริงแล้ว คงจะมีผู้พบปะและได้ข่าวคราวบ้าง....."

                   เจ้าเมืองได้รับคำฟ้องแล้ว  ก็ให้พนักงานคุมตัวหลิมฮักมาไต่สวน  แต่หลิมฮักยืนยันว่ามิได้ทุบตีนางพังชุนเน้ยถึงแก่ความตาย นางพังชุนเน้ยหนีตามชู้ไปเอง ซึ่งเจ้าเมืองและตุลาการเห็นว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ  จึงให้เอาตัวหลิมฮกไปขังไว้ในกองลหุโทษก่อน

                   ต่อมาราษฎรชาวบ้านแขวงเมืองกวางตุ้ง  พบศพผู้หญิงตายอยู่ในบ่อน้ำลึกหลายวา จึงเอาพะองพาดลงไปในบ่อ เอาเชือกหย่อนลงไปผูกมัดชักศพนั้นขึ้นมาจนได้ พนักงานกำนันและอำเภอ ก็มาชันสูตรพลิกศพ แต่ศพนั้นเน่าเปื่อยจำหน้าไม่ได้แล้ว

                   ตุลาการก็คุมตัวหลิมฮักพร้อมด้วยพังเล่ไปดูศพ  พังเล่คิดว่าเป็นศพของบุตรสาวของตนก็ร้องไห้ ตุลาการก็ถามหลิมฮักว่า ศพนี้เป็นศพของภรรยาท่านดังที่พังเล่ฟ้องกล่าวโทษแล้วหรือไม่ จงรับเสียโดยดีเถิด

                   หลิมฮักก็ให้การว่า

"……ลักษณะศพหญิงผู้นี้ หาใช่ศพของภรรยาข้าพเจ้าไม่  ภรรยาของข้าพเจ้ามีลักษณะเป็นคนอายุมาก ลักษณะศพหญิงผู้นี้ยังอ่อนกว่าภรรยาข้าพเจ้า  ประการหนึ่งภรรยาของข้าพเจ้ารูปร่างสูง รูปหญิงผู้ตายนี้เป็นคนต่ำเตี้ย อีกประการหนึ่ง  ภรรยาของข้าพเจ้ามีผมยาวจดซ่นเท้า ศพหญิงนี้ผมสั้น ขอท่านพิจารณาโดยยุติธรรมเถิด……"

                   เจ้าเมืองได้ฟังคำให้การของหลิมฮักไม่ยอมรับ  ก็ว่าเขาได้ศพมาแล้ว ยังให้การเป็นสำนวนต่อไปอีกเล่า แล้วก็ให้พนักงานตีหลิมฮักยกหนึ่งสี่สิบที  หลิมฮักเหลือจะทนทานความเจ็บปวดได้ จึงต้องจำใจรับตามข้อหา เจ้าเมืองจึงสั่งให้เอาไปจำขังไว้จนบัดนี้

                   ท่านเปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม  ได้ตรวจดูถ้อยคำสำนวน  ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยตลอดแล้ว  เห็นว่านางพังชุนเน้ยเป็นหญิงหลายใจ มักมากในกามราคะ เพราะฉะนั้น       หลิมฮกผู้สามีจึงได้ทุบตี ชะรอยนางพังชุนเน้ยจะหนีตามผู้ชายไปเป็นแน่  จึงสั่งให้มีหนังสือประทับตรายี่ห้อเปาเล่งถู วางไปตามหัวเมืองทุกแขวงทุกตำบล  ให้สินบนนำจับตัวนางพังชุนเน้ย และให้พนักงานเที่ยวสืบดูให้รู้ชัดว่าศพหญิงที่ได้มานั้น เป็นภรรยาหรือบุตรของผู้ใดแน่

                   ในไม่ช้าพนักงานก็นำตัวชายผู้หนึ่งมาให้เปาบุ้นจิ้นสอบสวน  ก็ได้ความว่า  ชายผู้นั้นเดิมเป็นชาวเมืองจิกกัง  มาเช่าตึกทำการค้าขายอยู่ในเมืองกวางตุ้ง ชื่อ จื้อฮวย มีภรรยาน้อยคนหนึ่งชื่อ นางอ๋องสี เวลาเสพสุราเมาแล้ว นางอ๋องสีปฏิบัติไม่ถูกใจ ก็ตีด่ามิได้ปราณีปราสัย กระทำเช่นนั้นมาเป็นหลายครั้งหลายหน จนนางอ๋องสีเหลือที่จะอดทนได้ ครั้นเวลาดึกนางอ๋องสีหายไปจากบ้าน จื้อฮวยก็เที่ยวตามหาแต่ไม่พบ เป็นที่จนใจอยู่ จึงเขียนหนังสือให้สินบนปิดไว้หลายแห่ง ประมาณสักสองเดือนก็ไม่ได้ข่าวคราว จึงเลิกทำการค้าขายที่เมืองกวางตุ้ง กลับไปเมืองจิกกังบ้านเดิม  เมื่อทราบข่าวศพหญิงในบ่อน้ำจึงทราบว่าเป็นภรรยาของตน เข้าใจว่าคงจะหนีไปโดดบ่อน้ำตาย  ตั้งแต่ตอนที่หายไป

                   เปาบุ้นจิ้นไต่สวนจนเชื่อได้ว่าเป็นความจริงแล้ว ก็ปล่อยตัวจื้อฮวยกลับไป แล้วก็สั่งปล่อยหลิมฮกออกจากคุก ให้กลับไปขายข้าวแกงที่บ้านตามเดิม  แล้วก็ให้สืบหาตัวนางพังชุนเน้ยต่อไป

                   อีกไม่ช้าไม่นาน เปาบุ้นจิ้นใช้ให้เจ้าพนักงานชื่อ ทังกัว  ถือหนังสือไปติดต่อราชการกับเจ้าเมืองฮุนหนำ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็พักอยู่ที่ตึกก๋งก๊วน  คอยรับหนังสือตอบจากเจ้าเมือง         ฮุนหนำ อยู่มาวันหนึ่งก็ไปเที่ยวที่สำนักโสเภณี ซึ่งได้ข่าวว่ามีหญิงรูปงามเพิ่งมาอยู่ใหม่ ทังกัวพบกับหญิงผู้นั้นแล้วก็สงสัยจึงถามว่า

".....เจ้าเป็นชาวเมืองไหนรูปร่างหมดจดงดงาม เหตุใดจึงมาเป็นคนหาเงินอย่างนี้...."

                   นางนั้นก็เล่าเรื่องให้ฟังว่า

"....บิดามารดาของข้าพเจ้า ท่านก็เป็นคนดีเรียบร้อย แต่งให้ข้าพเจ้ามีสามี แต่สามีของข้าพเจ้า เป็นคนหยาบช้าดุร้ายยิ่งนัก ข้าพเจ้าอดรนทนไม่ได้จึงหนีมาอยู่เมืองนี้ ครั้นขัดสนจนยากไม่มีทุนรอนจะทำมาหากิน จึงจำใจจำเป็นหาเงินด้วยการอย่างนี้ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านั้น....."

                   ทังกัวจึงจำได้แล้วบอกว่า

".....ข้ากับเจ้านี้เป็นคนบ้านเดียวเ มืองเดียวกัน เจ้านี้เป็นภรรยาของลิมฮักมิใช่หรือ...."

                   นางนั้นก็ตกใจ ยอมรับว่าตนคือนางพังชุนเน้ย และเล่าความจริงให้ฟังก็ได้ความว่า วันหนึ่งตนได้พบชายผู้หนึ่งชื่อ ค้อตัด ได้พูดจาเกี้ยวพาราสี และชวนไปกินน้ำชาที่บ้านของเขา ตนมีความแค้นหลิมฮักสามี ที่ชอบดุด่าทุบตีอยู่เสมอ จึงไปกับค้อตัดแล้วก็ได้เสียกัน ที่บ้านของค้อตัดซึ่งอยู่คนเดียว  ต่างก็พอใจต่อกัน นางพังชุนเน้ยจึงไม่กลับบ้าน เวลาค้อตัดจะออกจากบ้านก็ใส่กุญแจขังนางพังชุนเน้ยไว้ในห้อง ต่อเมื่อกลับมาก็ไขกุญแจเข้าไปหลับนอนด้วยกัน เป็นเช่นนี้มานานจนพังเล่บิดาของนางพังชุนเน้ย นำความไปฟ้องร้องต่อเจ้าเมืองกวางตุ้ง กล่าวโทษหลิมฮักว่าฆ่านางพังชุนเน้ยตายแล้วซ่อนศพไว้

                   ค้อตัดจึงบอกกับนางพังชุนเน้ยว่า บัดนี้เกิดความขึ้นแล้ว เราจะอยู่กันที่ตำบลนี้ไม่ได้ จำจะต้องไปอยู่เมืองอื่นจึงจะพ้นภัย ทั้งสองจึงออกเดินทางจากเมืองกวางตุ้งในเวลากลางคืน มาอยู่ที่เมืองฮุนหนำ อยู่มาไม่นานเงินทองที่มีติดตัวก็ร่อยหรอหมดสิ้นลง ค้อตัดก็ปรารภว่าในเมืองนี้ก็ไม่มีวงศาคณาญาติอยู่เลย เงินทองที่จะใช้สอยก็หมดแล้วจึงมีความวิตกยิ่งนัก นางพังชุนเน้ยเห็นช่องทางที่จะหาเงินได้  จึงขออนุญาตค้อตัดให้ทำตัวเป็นหญิงหาเงิน เพื่อจะได้เลี้ยงดูกันไปวัน ๆ  ค้อตัดก็ไม่ขัดข้อง  จึงเช่าโรงให้นางพังชุนเน้ยอยู่ หากินเลี้ยงกันมาจนถึงบัดนี้

                   แล้วนางพังชุนเน้ย  ก็ขอร้องทังกัวมิให้แพร่งพราย บอกเล่าแก่ผู้ใดในเมืองกวางตุ้ง พร้อมทั้งเอาเงินให้ทังกัวด้วยหวังจะเป็นค่าปิดปาก แต่ทังกัวไม่รับบอกว่า

".....เจ้าพลัดบ้านเมืองมาได้ความขัดสนยากจน จงเก็บเอาไว้ใช้สอยเถิด รุ่งขึ้นพรุ่งนี้แล้วเราจะลาเจ้ากลับไปบ้าน...."

                   เมื่อทังกัวกลับมาถึงเมืองกวางตุ้ง ส่งหนังสือตอบข้อราชการให้แก่ท่านเปาบุ้นจิ้นแล้ว ก็ไปหาหลิมฮักเล่าเรื่องที่ไปพบนางพังชุนเน้ยให้ฟังทุกประการ หลิมฮักจึงไปร้องเรียนต่อ     เปาบุ้นจิ้น ขอให้พิจารณาคดีความของตนใหม่ ในเรื่องชายชู้  เปาบุ้นจิ้นจึงให้พนักงานถือหนังสือไปหาเจ้าเมืองฮุนหนำ ให้จับตัวนางพังชุนเน้ยกับค้อตัด ส่งตัวมาชำระคดีที่เมืองกวางตุ้ง

                   เมื่อสอบสวนได้ความกระจ่างแล้ว เปาบุ้นจิ้นก็ตัดสินพิพากษาให้นางพังชุนเน้ย คืนสินสอดของหมั้นให้แก่หลิมฮักผู้เสียหาย  ส่วนค้อตัดนั้นให้ลงโทษเนรเทศไปให้พ้นจากเมือง กวางตุ้ง และเอาเงินสินบนนำจับให้ทังกัวสามตำลึง  ราษฎรทั้งหลายต่างก็พากันสรรเสริญ          เปาบุ้นจิ้นเป็นอันมาก

                   ในคดีนี้ท่านผู้แปลได้สรุปไว้ว่า คำให้การของหลิมฮักที่ยืนยันว่าศพนั้นไม่ใช่ภรรยาของตน แต่เจ้าเมืองและตุลาการยกเสียว่าเป็นสำนวนโต้แย้ง ไม่ยอมพิจารณา ทั้งเอาหลิมฮักไปลงโทษ จึงทำให้เห็นผิดห่างไกลจากความจริงไปมาก ดูเหมือนว่าถ้าไม่มีเปาบุ้นจิ้น หลิมฮักคงต้องตายด้วยความไม่จริง ตามกฎหมายและความเห็นของเจ้าเมือง  กับตุลาการในสมัยนั้นเป็นแน่ เพราะฉะนั้นผู้พิพากษาควรจะต้องจดจำไว้ดำริอยู่เสมอ

                   ลิ่วล้อผู้เล่าก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เมื่อร้อยปีก่อนเลย แม้ในปัจจุบันนี้ก็ตาม ขอท่านผู้ถือกฎหมายอยู่ในมือทุกระดับ ได้กรุณาดำริความข้อนี้ไว้เสมอ ราษฎรตาดำ ๆ จะได้อุ่นใจทั่วหน้ากัน.                        

                                                          ##########
วารสารสุรสิงหนาท
พฤศจิกายน ๒๕๔๐

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 7 ก.ย. 54 06:01:35




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com