Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
กรรมย้อนรอย ติดต่อทีมงาน

เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม

  กรรมย้อนรอย    

" เล่าเซี่ยงชุน "

                   เมื่อครั้ง เปาบุ้นจิ้น ได้เดินทางตรวจราชการตามหัวเมือง มาถึงตำบลเสี่ยงหูกุ้ย แขวงเมืองไคยังหู  ได้มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ชื่อ เตียวสือจุ่นมายื่นฟ้องร้องกล่าวหาว่า จำเหียน เอ้ง บุตรของ จำเลี่ยงโม้ มาที่บ้านของตนในเวลาที่ตนไปราชการ ณ เมืองน่ำหู  แล้วกระทำการหยาบช้าต่อ นางเตียวอาเกี้ยว ผู้บุตร จนนางมีความแค้น จึงได้ผูกคอตายไป

                   เปาบุ้นจิ้นจึงให้คุมตัวจำเหียนเอ้งมาสอบสวน  เจ้าหนุ่มจำเหียนเอ้งก็ให้การถึงเรื่องราวตั้งแต่ต้น เมื่อครั้งที่ตนเองยังเป็นเด็กอยู่ว่า  จำเลี่ยงโม้บิดาของตนกับเตียวสือจุ่นเป็นเพื่อนเรียนหนังสือสำนักเดียวกัน  มีความรักใคร่ชอบพออัธยาศัยต่อกันยิ่งนัก จึงสัญญาว่าจะเกี่ยวดองกัน  โดยเตียวสือจุ่นจะยกนางเตียวอาเกี้ยวบุตรสาว ให้เป็นภรรยาจำเหียนเอ้งเมื่อโตขึ้น

                   แต่อยู่มาได้อีกประมาณหกเดือน จำเลี่ยงโม้บิดาของตนได้ตกน้ำตายไป นางอ๋องสี มารดาของตนก็มีความยากจนขัดสน  จึงต้องซัดเซพเนจรไปอยู่เสียที่ตำบลอื่น จนกระทั่งบัดนี้ตนเองอายุได้สิบแปดปี จึงได้พามารดากลับมาอยู่ที่บ้านเดิม  และไปเยี่ยมป้าซึ่งเป็นพี่สาวของบิดา

                   ป้าก็มีความยินดีและบอกว่า

                    "....ไหน ๆ ก็ได้กลับมาแล้ว จงอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของเราเถิดอย่าไปอยู่ให้ไกลญาติเลย อยู่ใกล้กันกับป้าแม้ว่าเจ็บไข้ได้ทุกข์  จะได้เห็นหน้ากัน เดิมบิดาของเจ้าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ได้รับคำมั่นสัญญาเป็นเกี่ยวดองกันแก่  เตียวสือจุ่นไว้ บัดนี้เราขัดสนยากจนไม่มีเงินจะแต่งให้สมแก่ยศท่าน  หลานจงอุตส่าห์เล่าเรียนหนังสือสอบไล่ ถ้าสอบไล่ได้ประโยคจิ้นสือ หรือกือหยิน อะไรอย่างหนึ่งแล้ว มีผู้จะยกลูกสาวให้ถมไป ไม่ต้องวิตกอะไร...."

                   อยู่มาวันหนึ่งหญิงคนใช้ของ นางเตียนสี ภรรยาของเตียวสือจุ่น ได้มาบอกจำเหียนเอ้ง ว่า นางเตียนสีและนางเตียวอาเกี้ยวผู้บุตร อยากใคร่จะพบปะ ด้วยได้จากถิ่นฐานไปนานแล้ว จำหน้ากันไม่ได้ และคงจะให้เงินทองสิ่งของเกื้อกูลบ้าง

                   จำเหียนเอ้งก็ไปหาป้าที่บ้าน เล่าความให้ฟังและว่า ตนเองขัดสนยากจนนุ่งห่มไม่สะอาด ชั้นแต่เสื้อจะใส่ก็ปะหน้าปะหลัง อยากจะขอยืมเสื้อใหม่ ๆ สะอาด ๆ  ใส่ไปหานางเตียนสี ป้าจึงให้ อ๋องป่วย ผู้บุตรหาเสื้อกางเกงใหม่ ให้จำเหียนเอ้งยืมไปสำรับหนึ่ง อ๋องป่วยก็ว่าอย่าเพิ่งไปวันนี้เลย อยู่พักให้สบายสักสามสี่วันก่อนแล้วจึงค่อยไป  จำเหียนเอ้งก็ก็พักอยู่ที่บ้านป้าคืนหนึ่ง

                   วันต่อมาจำเหียนเอ้งจึงเอาเสื้อกางเกง ที่อ๋องป่วยให้ยืม  แต่งตัวให้สุภาพไปหานางเตียนสีที่บ้าน เมื่อจำเหียนเอ้งคำนับแล้ว นางเตียนสีก็ว่า

                    "...ท่านเป็นบุตรจำเลี่ยงโม้หรือ บิดามารดาท่านได้รับคำมั่นสัญญากันไว้ บัดนี้ท่านมีทุกข์สุขอย่างไรจงเล่าไปให้เราฟัง จะได้เป็นที่เชื่อถือได้....."

                   จำเหียนเอ้งก็เล่าความทุกข์ยากจากถิ่นฐานไปกับมารดา จนกลับมาให้นางเตียนสีฟังทุกประการ นางเตียนสีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ เอามือตบอกเข้าแล้วพูดว่า

                   ".....วันวานนี้มีผู้มาหาเรา บอกว่าเป็นตัวท่าน ชะรอยผู้นั้นจะเป็นผู้ปลอมมาหาเรา หาใช่ตัวท่านไม่...."

                   ขณะนั้นนางเตียวอาเกี้ยว ก็ออกมานั่งเคียงกับมารดา พิจารณาดูจำเหียนเอ้งไม่วางตา แล้วนางก็ร้องให้เสียใจ เช็ดน้ำตาแล้วก็เข้าไปในห้อง  หยิบกำไลมือทำด้วยทองคำคู่หนึ่ง แหวนประดับพลอยสองวง เอามาให้จำเหียนเอ้งแล้วว่า

                   ".....สิ่งของเหล่านี้เป็นของเล็กน้อย ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน ขอท่านจงรับไว้ดูต่างหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากับท่านวาสนาไม่ได้เป็นคู่ครองกันเสียแล้ว ท่านอยู่ข้างหลังจงหาภรรยาใหม่ จะได้ปฏิบัติท่าน....."

                         ว่าแล้วนางเสียวอาเกี้ยวก็เดินกลับเข้าไปข้างในห้อง นางเตียนสีฮูหยินกับ         จำเหียนเอ้ง เห็นนางเตียวอาเกี้ยวเข้าไปในห้องเป็นเวลานาน หาได้กลับออกมาไม่ ทั้งสองมีความสงสัยจึงตามเข้าไปดู  ปรากฎว่านางเตียวอาเกี้ยวได้ผูกคอตายอยู่กับเสาเรือน  แม้ทั้งสองจะช่วยกันอุ้มเอามาแก้ไข ก็หาฟื้นขึ้นมาไม่  นางเตียนสีผู้มารดาก็ร้องไห้เศร้าโศก คร่ำครวญถึงบุตรสาวอยู่ร่ำไร

                   จำเหียนเอ้งก็กลับมายังบ้านป้า ผลัดเสื้อกางเกงคืนให้ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังโดยละเอียด แล้วก็ลากลับไปบ้านของตน  นางอ๋องสีมารดาก็มีความเสียใจ อยู่มาได้สองวันก็ป่วยลง ถึงแก่ความตาย  ส่วนตนเองก็ถูกเจ้าหน้าที่คุมตัวมาเป็นจำเลยในคดีนี้

                   เปาบุ้นจิ้นจึงให้ไปตามนางเตียนสีมาซักถามเพิ่มเติม  นางก็เล่าความจริงให้ฟัง โดยสอดคล้องกับคำให้การของจำเหียนเอ้ง ตั้งแต่ต้นทุกประการ และเล่าต่อไปว่า เมื่อได้ให้หญิงคนใช้ไปเชิญจำเหียนเอ้งมาพบแล้ว  ในค่ำวันนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งแต่งกายสุภาพเรียบร้อย มาคำนับด้วยกิริยาอ่อนน้อม แล้วบอกว่า                    

                   "....เมื่อบิดาถึงแก่ความตายล่วงไปแล้ว ยังแต่ตัวผู้เดียวไม่รู้แห่งว่าจะบากหน้าไปพึ่งท่านผู้ใด  จึงได้ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนเสีย  สู้อุตสาหะไปเล่าเรียนอยู่เสียที่เมืองไกล เพราะมีความเจียมตนว่าเป็นคนอนาถา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่อาจมาคำนับท่าน ด้วยบุญน้อยวาสนาน้อยเป็นกาแล้วก็จำต้องอยู่ในฝูงกา ข้าพเจ้าไม่สามารถจะยกตนขึ้นเทียมแก่หงส์ได้  ซึ่งข้าพเจ้ากลับมาทั้งนี้  ก็ด้วยเหตุที่จะมาเยี่ยมฮวงซุ้ยบิดาเท่านั้น  ครั้นท่านให้คนใช้ไปตามตัว ข้าพเจ้าจึงได้คิดเห็นว่า ยังมีเมตตาต่อข้าพเจ้าอยู่ ข้าพเจ้าก็มาคำนับท่าน แล้วก็จะขอกราบลาท่านไปเรียนหนังสืออยู่บ้านไกลตามเดิม..."

                   นางเตียนสีก็ว่า

                     "....เรากับบิดาของท่านได้รักใคร่กันมาแต่เดิม ได้รับคำสัญญาต่อกันไว้ เราหาลืมไม่ ข้อซึ่งตัวท่านปรับทุกข์ร้อนไม่มีเงินนั้น อย่ามีความวิตกเลย จะเสียทรัพย์มากน้อยสักเท่าใดเราก็ไม่เสียดาย เราเสียดายวาจาที่ลั่นออกมาแล้วไม่ขอกลับคืน  บัดนี้ท่านก็มาแล้ว เราจะให้เงินทองสิ่งของไป  จะได้มาแต่งงานกับบุตรของเราตามธรรมเนียม....."

                   แล้วนางเตียนสีก็ให้นางเตียวอาเกี้ยว หยิบเงินมาให้แก่ชายผู้นั้น และชายผู้จะเป็นบุตรเขย ก็เลยนอนค้างอยู่ที่บ้านของนางเตียนสี  ครั้นเวลาดึกก็เข้าไปนอนอยู่กับนางเตียวอาเกี้ยว จนรุ่งขึ้นเช้านางเกียวอาเตี้ยว ก็จัดเงินแปดสิบตำลึงกับสิ่งของรูปพรรณประดับพลอยเพชร ตีราคาร้อยตำลึง มอบให้กลับไป

                   ต่อมาอีกวันหนึ่งจำเหียนเอ้งตัวจริงจึงมาหา และเป็นเหตุให้นางเตียวอาเกี้ยวน้อยใจที่เสียรู้แก่ชายอื่นจนถึงแก่ฆ่าตัวตายไป โดยมิใช่ความผิดของจำเหียนเอ้งเลยแม้แต่น้อย

                   เปาบุ้นจิ้นได้ฟังคำให้การของมารดาผู้ตายแล้ว จึงถามจำเหียนเอ้งว่า เรื่องที่นางเตียนสีขอพบตัวนี้ มีใครรู้อีกบ้าง จำเหียนเอ้งก็ว่า นอกจากป้ากับอ๋องป่วยบุตรชาย ที่ให้ยืมเสื้อกางเกงแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดรู้อีก

                   เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปจับตัวอ๋องป่วยที่บ้าน  และค้นได้เงินทองของกลาง เอามาให้เปาบุ้นจิ้นพิจารณา เปาบุ้นจิ้นจึงให้ตามตัวเตียวสือจุ่น มาดูของกลาง ก็จำได้แม่นยำว่าเป็นของนางเตียวอาเกี้ยว แต่อ๋องป่วยไม่ยอมรับ เปาบุ้นจิ้นจึงสั่งให้ผูกตี จนอ๋องป่วยถึงแก่ความตายคาไม้

                   เตียวสือจุ่นยังไม่หายแค้น จึงบอกแก่เปาบุ้นจิ้นว่า ความเรื่องนี้ภรรยาของอ๋องป่วยคงจะรู้เห็นด้วย ขอได้หาตัวมาพิจารณาไต่สวนเพื่อให้เห็นเท็จและจริงต่อไป

                   เมื่อเจ้าหน้าที่รับคำสั่งของเปาบุ้นจิ้น นำตัว นางฮู่สี ภรรยาของอ๋องป่วยมาซักถาม  นางก็ให้การว่า ตนเองทำราชการในราชสำนัก  จะต้องไปทำหน้าที่ในวังที่ตังเกียเมืองหลวงงวดละหนึ่งเดือน  เมื่อนางกลับมาบ้าน เห็นอ๋องป่วยมีเงินทองใช้สอยมากผิดประหลาดกว่าแต่เดิม ก็มีความยินดี  ครั้นถามสามีว่าสิ่งของเหล่านี้ ได้มาแต่ไหน  อ๋องป่วยก็เล่าความจริงที่ได้ปลอมตัวเป็นจำเหียนเอ้ง ไปหลอกลวงนางเตียนสี และนางเตียวอาเกี้ยวให้ฟังทุกประการ

                   นางฮู่สีก็มีความโกรธมิได้ยินดีด้วย จึงว่า

                   ".....ท่านนี้เป็นคนชั่วร้ายทุจริตไม่มีความซื่อตรงต่อญาติมิตร แม้แต่ญาติของท่านยังสามารถทำได้ดังนี้ ประสาอะไรแก่ญาติฝ่ายเรา ท่านจะนับถือซื่อตรงต่อเล่า ท่านคงจะทำได้ดังนี้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นท่านกับเรา  จะร่วมรสสามัคคียินดีกันต่อไปไม่ได้  ท่านจงทำหนังสือหย่าให้ข้าพเจ้าเสียเถิด....."

                   อ๋องป่วยก็โกรธด่านางฮู่สีแล้วว่า

                     "......เรามีเงินทองแล้ว จะวิตกอะไรแก่ภรรยา หาได้ถมไป...."

                   แล้วนางฮู่สีก็เอาหนังสือหย่าให้เปาบุ้นจิ้นดู แล้วย้ำว่า

                     "....ในเวลานั้นข้าพเจ้าก็มีหน้าที่ทำราชการอยู่ในวัง หาได้อยู่บ้านเรือนไม่  ครั้นข้าพเจ้ากลับมาบ้าน  จึงรู้ว่าสามีของข้าพเจ้าเป็นผู้ประพฤติการทุจริต าพเจ้าได้ว่ากล่าว สามีของข้าพเจ้าก็กลับโกรธ ตีด่าข้าพเจ้า จึงขอหย่าต่อหน้าผู้ใหญ่บ้าน ได้รู้เห็นเป็นพยาน....."

                   เปาบุ้นจิ้นเห็นนางมีลักษณะอันงามมารยาทดี อัธยาศัยก็ประกอบไปด้วยความซื่อสุจริต รู้การที่ผิดและชอบ  ให้การยืนยันชัดแจ้งว่าอ๋องป่วยทำผิดจริง  จึงไม่ได้พิจารณาโทษแต่ประการใด

                   ในขณะเดียวกันนั้น นางเตียนสีฮูหยินก็แลเห็นว่านางฮู่สี  พร้อมไปด้วยกิริยาพาทีสุภาพเรียบร้อย จึงพูดว่า

                      ".....นางเตียวอาเกี้ยวบุตรของเรา มีแต่ผู้เดียวเป็นที่รักยิ่งกว่าดวงแก้ว บัดนี้ก็ตายเสียแล้ว ตัวเราผู้เดียวไม่มีบุตร  ทุกวันนี้เรามีความว้าเหว่ใจยิ่งนัก เจ้าจงมาอยู่เป็นบุตรบุญธรรมเราเถิด....."

                   นางฮู่สีมีความยินดียิ่งนัก ลุกขึ้นคำนับนางเตียนสีและเตียวสือจุ่น แล้วกล่าวว่า

                   "...ข้าพเจ้าเป็นกำพร้าไร้บิดามารดาและวงศาคณาญาติ ท่านมีความเมตตาแก่ข้าพเจ้าฉะนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจะขอปฏิบัติท่านไปกว่าชีวิตข้าพเจ้าจะหาไม่....."

                   แล้วนางฮู่สีก็ตามไปอยู่ด้วยนางเตียนสี เอาใจใส่ปฏิบัติ เหมือนดังบิดามารดาของตน ทั้งสองก็รักใคร่สนิทสนมเหมือนหนึ่งบุตรที่เกิดในอุทร

                   ต่อมาเตียวสือจุ่น จึงจัดการแต่งงานให้นางฮู่สี  อยู่กินเป็นภรรยาของ จำเหียนเอ้ง ซึ่งนางก็ยินยอมพร้อมใจ มิได้ขัดขืน

                   เรื่องจึงลงเอยด้วยความสุขของผู้สุจริต ด้วยผลแห่งกรรมดีของตนดังนี้.

                                                                      ##########

นิตยสารทหารปืนใหญ่
มกราคม ๒๕๔๕

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 8 พ.ย. 54 06:08:27




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com