เปาบุ้นจิ้นผู้ทรงความยุติธรรม
ให้ทุกข์แก่ท่าน
เล่าเซี่ยงชุน
ขณะเมื่อ เปาบุ้นจิ้น ได้ไปตรวจราชการอยู่ที่เมืองซัวตัง ก็มีเศรษฐีชื่อ โหงวฮัวมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกล่าวโทษ เอี๋ยงหงวน ว่า เป็นผู้ร้ายตัดช่องย่องเบา ลักเอาทรัพย์สินของตนไปหลายสิ่ง ซึ่งได้แจ้งรูปพรรณไว้ในคำฟ้องแล้ว
เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการถือหมาย ไปเกาะตัวเอี๋ยงหงวนมาชำระความ และค้นของกลางได้ในบ่อน้ำเขตบ้านของเอี๋ยงหงวนด้วย เปาบุ้นจิ้นสอบถามหลายครั้ง แต่เอี๋ยงหงวนก็ไม่ยอมรับ ได้ให้การโดยละเอียดว่า
แต่เดิมตนเองได้หมั้นอยู่กับ นางเง็กม่วย บุตรสาวของ จิวหงี ยังไม่ทันได้แต่งงานกัน ต่อมาโหงวฮัวได้จัดหาสื่อให้ไปขอนางเง็กม่วยต่อบิดา แต่บิดาได้บอกกับเถ้าแก่ว่า ได้รับคำมั่นสัญญายกนางเง็กม่วยให้แก่ตนเสียแล้ว โหงวฮัวก็มีความโกรธ เมื่อตนได้แต่งงานอยู่กินกับนางเง็กม่วยแล้ว โหงวฮัวคิดอาฆาตจึงได้แกล้งกล่าวโทษ ว่าเป็นผู้ร้ายลักเอาไม้สลักเป็นป้าย ทำฮวงซุ้ยของบิดามารดาไป แต่เจ้าเมืองและกรมการสอบสวนไม่เป็นความจริง จึงให้โหงวฮัวแพ้ความไปครั้งหนึ่งแล้ว ครั้นมาบัดนี้ได้กระทำอุบายเพื่อแก้แค้น ที่ได้แพ้ความคราวก่อน ขอท่านผู้ซื่อตรงเมตตาแก่ผู้ไม่มีความผิด มีแก้วตาคือปัญญาอันเสมอด้วยจักษุทิพย์ โปรดสอดส่องให้เห็นเท็จจริงด้วยเถิด
เปาบุ้นจิ้นตรวจดูสำนวนความครั้งก่อน ก็ปรากฎว่าเจ้าเมืองได้นำนักการไปสืบพยานในบ้านใกล้เรือนเคียง ก็ได้ความสรุปได้ดังนี้
นางเง็กม่วยเป็นบุตรของจิวหงีกับ นางเหลียงสี ได้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบล หย่งเพ่งกุ้ย แขวงเมืองซัวตัง มีลักษณะงามหมดจดกิริยาเรียบร้อย ทั้งอัธยาศัยก็อ่อนโยนสุภาพ อยู่ในถ้อยคำบิดามารดา ครั้นอายุล่วงได้สิบเจ็ดปี เอี๋ยงหงวนซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ตำบลเดียวกัน ได้จัดเถ้าแก่มาขอหมั้นไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้แต่งงาน นางเหลียงสีก็ถึงแก่ความตาย นางเง็กม่วยจึงต้องไว้ทุกข์ให้มารดาสองปี จึงจะแต่งงานได้
อยู่มาโหงวฮัวผู้เป็นเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ ก็มาทวงหนี้ที่จิวหงีติดค้างอยู่ ซึ่งจิวหงีก็ได้ชำระหนี้ให้จนหมดสิ้น แต่โหงวฮัวเห็นนางเง็กม่วย ประกอบไปด้วยลักษณะอันหมดจดงดงาม ก็มีจิตสามิภักดิ์รักใคร่ จึงวานให้ งุ่ยเหลียง เป็นเถ้าแก่มาสู่ขอนางเง็กม่วยต่อจิวหงีผู้บิดา จิวหงีก็บอกว่า "...เดิมข้าพเจ้าไม่แจ้งว่า ท่านโหงวฮัวจะพอใจบุตรสาวของข้าพเจ้า ด้วยวาสนาบุตรของข้าพเจ้า กับท่านโหงวฮัวมิใช่คู่สร้างมาด้วยกัน จึงบังเอิญให้ข้าพเจ้ารับคำมั่นสัญญา ยกให้แก่เอี๋ยงหงวน ซึ่งเป็นชาวตำบลเดียวกันเสียแล้ว ขอท่านจงไปแจ้งความแก่ท่านโหงวฮัว ให้ทราบด้วยเถิด อย่าให้ท่านมีความโทมนัสน้อยใจในข้าพเจ้าเลย
"
งุ่ยเหลียงก็คำนับลาจิวหงี กลับมาแจ้งความแก่โหงวฮัวทุกประการ ซึ่งโหงวอัวก็มีความโกรธยิ่งนัก จึงพูดว่า
"
.. จิวหงีเห็นคนอื่นดีกว่าเรา เราจะคิดทำแก่จิวหงีให้จงได้
.. "
งุ่นเหลียงได้ฟังดังนั้นจึงห้ามว่า
"
แผ่นดินมิได้ไร้เส้นหญ้า หรือหนึ่งแผ่นดินก็มิใช่เท่าใบพุทรา อันหญิงที่รูปงามที่ดีก็ยังมีอยู่อีกถมไปขอเอาที่อื่น ๆ ก็คงจะได้ เรามีเงินจะไปร้อนใจอะไรแก่ทอง ท่านจะผูกพันอาฆาตเช่นนั้นหาควรไม่
"
แต่โหงวฮัวก็ไม่เชื่อฟัง ฝ่ายจิวหงี ครั้นแจ้งว่าโหงวฮัวมีความโกรธแค้นด้วยเรื่องที่มิได้ยกบุตรสาวให้นั้น จึงสั่งเถ้าแก่ให้ไปแจ้งความแก่บิดามารดาของเอี๋ยงหงวน หาวันฤกษ์ดีจัดแจงแต่งการวิวาหะมงคล ส่งตัวนางเง็กม่วยอยู่กินเป็นภรรยาสามีกันกับเอี๋ยงหงวน ตาม ประเพณีบ้านเมือง
คณะกรมการเมืองได้พิจารณาจากพยานที่เกี่ยวข้องแล้ว ไม่เชื่อว่าฝ่ายเอี๋ยงหงวนจะมีความผิดดังที่โหงวฮัวฟ้อง และเห็นว่าโหงวฮัวเป็นคนพาล ด้วยสาเหตุที่ไม่ได้นางเง็กม่วยเป็นภรรยา จึงตัดสินปรับโทษโหงวฮัวให้แพ้ความแก่เอี๋ยงหงวน ให้ตีโหงวฮัวยี่สิบที ขับไล่ไปเสียจากศาล
เปาบุ้นจิ้นตรวจดูสำนวนโดยตลอดแล้ว จึงถามโหงวฮัวผู้เป็นโจทก์ว่า สิ่งของรูปพรรณของกลางนี้ผู้ใดเป็นช่างกระทำให้ โหงวฮัวก็อ้างชื่อ ฮ่องอู กับ อ๋องเสีย เป็นช่างที่ทำให้ เปาบุ้นจิ้นจึงให้นักการไปตามตัวช่างทั้งสองมาตรวจดูของกลาง
เมื่อช่างทั้งสองมาตรวจดูแล้ว ก็เบิกความว่าสิ่งของรูปพรรณเหล่านั้น มิใช่ฝีมือของตน แต่เป็นของทำเทียมทั้งสิ้น เปาบุ้นจิ้นจึงบอกว่าความเรื่องนี้ให้ยกฟ้องเสีย ชำระให้ไม่ได้ จงพากันกลับไปบ้านเสียเถิด ฝ่ายโจทก์และจำเลยก็คำนับลากลับบ้านไป
เปาบุ้นจิ้นจึงกระซิบสั่งนักการซึ่งเป็นผู้สอดแนมว่า
"
ท่านจงตามโหงวฮัวไปคอยดูจะไปพูดจาว่าขานประการใดแก่ผู้ใดบ้าง ถ้าเห็นยืนพูดปรึกษาแก่ผู้ใดประการใด จงจับตัวมาให้เราจงได้
"
นักการสอดแนมก็ไปตามคำเปาบุ้นจิ้นสั่ง ก็เห็นโหงวฮัวยืนพูดอยู่กับคนขอทานคนหนึ่ง จึงจับตัวโหงวฮัวและคนขอทาน เอากลับมาส่งให้เปาบุ้นจิ้นที่ศาล เปาบุ้นจิ้นจึงให้แยกคนทั้งสองให้ห่างไกลกัน แล้วถามขอทานว่า
"
..เหตุใดเจ้าจึงรับอาสาโหงวฮัวเอาสิ่งของไปทิ้งลงในบ่อน้ำของเอี๋ยงหงวน สิ่งของเหล่านี้ก็หาใช่ของจริงไม่ เป็นทำเทียมทำปลอม ความจริงใจของเจ้าประการใด จงรับเราเสียโดยดี ถ้าไม่รับโดยดีแล้ว เราจะทำโทษให้ถึงสาหัส
"
คนขอทานจึงสารภาพความจริง พอสรุปได้ว่า วันหนึ่งตนได้เดินขอทานไปถึงบ้าน โหงวฮัว เมื่อเลี้ยงสุราอาหารให้รับประทานอิ่มแล้ว โหงวฮัวก็ถามว่า เรามีธุระสิ่งหนึ่งเจ้าจะอาสาเราได้หรือไม่ ตนจึงคำนับแล้วตอบว่า
"
. ข้าพเจ้าเป็นคนอนาถา เที่ยวขอทานเลี้ยงชีวิต วันนี้มาหาท่าน ท่านให้ทาน รับประทานจนอิ่มหนำ เมื่อท่านมีกิจธุระอย่างใด พอสมควรแก่กำลังของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะขอสนองพระเดชพระคุณท่าน
. "
โหงวฮัวก็มีความยินดีจึงบอกว่า
"
เวลานี้เจ้ากำลังเมาสุราอยู่ จงกลับไปที่พักหลับนอนเสียให้สบายก่อน พรุ่งนี้จึงมาหาเรา เรามีธุระจะใช้เจ้า
"
ตนจึงได้กลับไปยังที่พัก ครั้นเวลารุ่งขึ้นเมื่อตนไปหาโหงวฮัว ก็ได้รับเงินตำลึงหนึ่ง ข้าวสารถังหนึ่ง กาทองเหลืองกาหนึ่ง แล้วโหงวฮัวก็พูดว่า
"
..ของเหล่านี้เราให้แก่เจ้าเป็นค่าจ้าง เจ้ากับเรารู้กันแต่สองคนเท่านั้น เจ้าอย่าแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เป็นสองได้ต่อไป เจ้าจงเอาห่อสิ่งของนี้ไปทิ้งลงที่บ่อน้ำของเอี๋ยงหงวนให้จงได้ ถ้าสมความปรารถนาของเราแล้ว ไปเบื้องหน้าเจ้าไม่มีจะกินแล้ว จงมาหาเรา จะให้รางวัลแก่เจ้าต่อไปอีก
"
แล้วโหงวฮัวก็มอบสิ่งของซึ่งห่อไว้นั้นให้ ตนจึงบอกว่า
"
.. วันนี้บ้านเอี๋ยงหงวนเขามีงิ้ว ข้าพเจ้าจะทำเป็นเข้าไปดูงิ้ว แล้วจึงจะทิ้งสิ่งของอันนี้ลงในบ่อน้ำของเอี๋ยงหงวน ท่านอย่ามีความวิตกเลย จงวางอารมณ์เสียเถิด
. "
แล้วตนก็คำนับลาโหงวฮัวไป แต่พอเดินมาได้ครึ่งทาง ก็แอบไปในที่ลับตา แล้วแก้ห่อของนั้นออกดู ก็เห็นมีกำไลทองคำคู่หนึ่ง ปิ่นเงินสองอัน กำไลเงินหนึ่งคู่ เป็นของมีราคามากก็เกิดความโลภ จึงเอาไปขายเสียได้เงินมาหลายตำลึง แล้วจึงไปซื้อของที่เขาทำเทียมปลอม เอามา ห่อไว้ดังเดิม แล้วเข้าไปในบ้านของเอี๋ยงหงวน ทำเป็นเดินดูงิ้วแล้วไถลไปข้างบ่อน้ำ เมื่อได้ช่องไม่มีผู้เห็นแล้ว จึงทิ้งห่อสิ่งของนั้นลงไปในบ่อน้ำ แล้วก็กลับไปดูงิ้วต่อ
คนขอทานสรุปว่า เป็นความสัตย์จริงของข้าพเจ้าแต่เท่านี้ แล้วแต่ท่าน จะมีความเมตตา
เปาบุ้นจิ้นได้ฟังดังนั้นก็มีความโกรธโหงวฮัวยิ่งนักเห็นว่าเป็นคนชั่วร้าย พยายามแต่ในที่จะหาความ ให้แก่เอี๋ยงหงวนถึงสองครั้งสองคราว ด้วยเหตุที่อยากจะได้ภรรยาเขา จึงตัดสินให้ทำโทษตีโหงวฮัวเสียห้าสิบที แล้วให้เนรเทศไปอยู่เมืองไกล อันสิ่งของทองเงินรูปพรรณ ที่คนขอทานนำไปขายไว้นั้น ก็บังคับให้กลับเอาเงินไปถ่ายถอนคืนมา แล้วยกให้แก่เอี๋ยงหงวนทั้งสิ้น
เศรษฐีผู้แรงริษยาอาฆาต หลงคบกับผู้มีแต่ความโลภ คิดร้ายต่อผู้อื่น โดยประมาทไม่เกรงกลัวอาญาแผ่นดิน จึงต้องได้รับโทษทัณฑ์ตามความผิดดังคำภาษิตที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ดังนี้.
##########
จากคุณ |
:
เจียวต้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
12 พ.ย. 54 06:16:27
|
|
|
|