"ถึงเราจะไม่คิด ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่วอยู่แล้ว"
|
 |
เวลาที่มีคนที่ทำไม่ดีกับเรา บางครั้งคนเราโมโหจนตัวสั่นว่าสักวันขอให้ได้เอาคืน หรือถึงแม้ไม่มีโอกาสที่จะเอาคืน ก็ยังคิดในใจขอให้เค้าวิับัติวายวอดอย่างนั้นอย่างนี้
ที่จริงแล้ว เื่รื่องแบบนี้ทำให้เราเสียเวลา เปลืองเวลา เปลืองตัว ที่จะเอาตัวเองลงไปกลั้วกับของสกปรกกับคนสกปรก ๆ
คนเรา ถ้าเขาทำไม่ดีกับเรามา ถ้าเราทำไม่ดีกลับไปหาเขา เราก็เท่ากับเค้าเอง ทีนี้ก็จะไม่มีฝ่ายไหนดีกว่าฝ่ายไหน แต่ถ้าให้อภัย เราจะสามรถยกใจของตัวเองให้สูงขึ้น ปล่อยคนคนนั้นอยู่อย่างต่ำ ๆ ของเค้าไป เมื่อเราให้อภัยได้ เราก็จะเจอแต่สิ่งดี ๆ และสิ่งที่คู่ควรกับเรา และยิ่งเรายิ่งให้อภัย เรายิ่งคู่ควรกับสิ่งที่ถูกต้องที่จะเข้ามาหาเรา ความแฟร์ต่าง ๆ ที่เราจะได้รับ จะเกิดทันทีหลังจากที่เราเลิกคิดว่าเค้าไม่แฟร์กับเราเลย กลไกลของความแฟร์มีอยู่จริง ความเบาหลังจากที่เราให้อภัยได้จะบอกกับเราเองว่าเมื่อเราวางการคิดที่จะเอาคืนแล้ว จิตใจเราก็หายรุ่มร้อน นอนหลับ
และถึงเขาจะทำไม่ดีกับเราให้เราเจ็บช้ำ แต่สิ่งที่ทำให้เราเจ็บช้ำกว่าคือ เจ้าความอาฆาตพยาบาท การยิ่งทำให้ใจมีความแค้นมากขึ้นเท่ากับว่าเราเลี้ยงศัตรู ซึ่งมันสามารถทำลายเราได้ทุกขณะ แม้ขณะที่คุยกับมัน คือคิดตามมัน เราก็มือสั่น ตัวร้อน หน้าเครียด เพราะความอยากเอาคืน อยากแช่ง แต่มองกลับกัน คนที่เราไปแช่งเค้า คิดเอาคืนเค้า ป่านนี้เค้าไปนั่งดูหนังฟังเพลงอยู่ที่ไหน ไม่ได้มาทุกข์ร้อนกับเราเลย
ดังนั้น เมื่อเราให้อภัย ความแฟร์ข้อแรกที่เราจะได้รับกลับมาคือ ในเมื่อเราไม่ชอบให้คนคนนั้นมาทำไม่ดีกับเรา เราก็จะไม่ปล่อยให้ความเลวของเค้าที่เราจำมา มาทำอะไรเราได้เหมือนกัน ใช่้ คนเลว ๆ แบบนั้นต้องแตะแม้รูขุมขนรูเดียวของเราให้สั่นไหวไม่ได้ เราจะไม่ยอมให้คนแบบนี้มาทำอะไรเราเด้ดขาด ดังนั้นเราจะไม่ให้ความคิดเรื่องคนคนนี้ มาทำให้เราทุกข์ด้วย เพราะอะไรที่เกี่ยวกับคนคนี้ที่ทำกับเรา เราเกลียดหมด เราจึงต้องเกลียดที่จะทุกข์เำพราะคนคนนี้ด้วยเหมือนกัน
ความแฟร์ข้อต่อมา คนเราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะผิดพลาด แม้เราเองตั้งแต่เกิดมาเราก็ต้องเคยทำผิดต่อใครไว้บ้่างเหมือนกัน มากบ้าง น้อยบ้าง ในฐานะปุถุชนคนเราก็ย่อมผิดพลาดกันได้ ถ้าหากวันนึงเราำทำผิด เราก็หวังที่จะมีคนให้โอกาสเรา การให้อภัยเค้า เป็นการให้โอกาสเค้า เพราะเราเองก็ต้องการโอกาสนั้น เค้าก็หวังที่จะไ้ดรับโอกาสนั้นเหมือนกัน คนเรา ไม่มีใครอยากอยุ่กับสิ่งชั่ว ๆ เลว ๆ แต่บางครั้งกิเลสมันทำร้าย ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี แต่เพราะความหน้ามืด
ทุกคนที่ทำชั่ว ๆ ลงไป วันนึง ไม่ช้าก็เร็ว จะได้รับผลนั้นหนีไม่ได้เลย สสารและพลังงานไม่สูญหายไปไหน เช่นเดียวกันกับกรรมที่่ทำกับใครต่อใคร คนเราถ้าเราไม่้ให้โอกาสเค้าเลย เค้าจะกลับตัวได้ยังไง ถ้าเราให้โอกาสเค้า มันก็ทำให้เปิดช่องของโอกาสที่จะทำให้เค้ากลับมาเป็นคนดี และรู้สึกผิด แต่ถ้าเค้าไม่รู้สึกผิด เราก็ไม่ผิด นี่เ็ป็นผลของความแฟร์ข้อต่อมาที่เราจะได้รับ
ถ้าเรายังวางไม่ได้ อย่าเสียเวลาแช่ง เพราะคนเราไมไ่ด้มีอำนาจควบคุมอะไร การแช่งไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จผลอะไร เพราะไม่มีใครดีขึ้นด้วยพร พรือแย่ลงด้วยการแ่ช่ง ทุกคนดีชั่วเพราะตัวทำเอง เราไม่ต้องเสียเวลาไปคิด เพราะถึงเราจะไม่คิด ใครทำชั่วก็ต้องได้ชั่วอยู่แล้ว
เราไม่ต้องไปแช่งในใจ ไปคิดว่าเมื่อไหร่เขาจะได้รับผล มองเราดีกว่า กรรมที่เราเคยทำไม่ดีกับใคร ๆ ไว้ก็มีเหมือนกัน วันนี้เรายังทำกรรมนั้นอยู่หรือเปล่า ถ้ายังทำให้เลิก และกรรมอื่น ๆ ที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ยังมี่อยู่ไหม เพราะสิ่งที่คนอื่นทำไม่แฟร์กับเรา ไม่เท่ากับกิเลสที่ทำไม่แฟร์กับเราเองหรอก คนเราไม่ีมีใครฆ่าตัวตายเพราะคนอื่นสะกดจิต มีแต่ฆ่าตัวตายเพราะตัวเองตัดสินใจ ความทุกข์ตลอดทั้งสังสารวัฏยังมีอีกมากโขที่เรายังละไม่ได้ เอาเวลาที่มัวใส่ใจกับความทุกข์เท่าเม็ดทรายที่คนคนนั้นทำให้มาทำลายทุกข์ที่ทำให้เราเกิด แก่้ เจ็บ ตาย แสบกว่าสิ่งที่คนคนนั้นทำกับเราให้ได้จะดีกว่า เพราะวันนึง เราก็ต้องตายจากคนนั้นไป ไม่อย่างนั้นเค้าก็ต้องตายจากเราไป แต่สิ่งที่จะตามมารังควาญเราไม่ให้สงบสุขก็คือสังสารววัฏอีก ทุกข์เพราะคนคนนั้นเป็นเรื่องเล็ก แต่ทุกขืเพราะสังสารวัฏเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราสลายเหตุแห่งทุกข์เพราะการเวียนว่ายตา่ยเกิดได้ ตอนนั้นเราก็ไม่มองแล้วว่าเค้าเคยท่ำไม่ดีกับเรายังไง
เพราะเรา ลอยอยู่เหนือโลกใบนี้ไปแล้ว
- พระพุทธภาษิต -
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต อาฆาตวรรคที่ ๒ ๑. อาฆาตวินยสูตร
[๑๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ระงับความอาฆาตซึ่งเกิดขึ้นแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวง ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
หากความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด ให้สร้างเมตตาความในบุคคลนั้น ๑
หากความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด ใ้ห้สร้างความกรุณาในบุคคลนั้น ๑
หากความอาฆาตบังเกิดขึ้นในบุคคลใด ให้สร้างความอุเบกขาในบุคคลนั้น ๑
หากความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด ให้ถึงการไม่นึกไม่ใฝ่ใจในบุคคลนั้น ๑
หากความอาฆาตเกิดขึ้นในบุคคลใด ให้นึกถึงความเป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตนให้มั่นในบุคคลนั้นว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้มีกรรมเป็นของๆ ตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง จักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม จักเป็นทายาท ผู้รับผลของกรรมนั้น ดังนี้ ๑
ภิกษุพึงระงับความอาฆาตในบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๑
อาฆาตวินัยสูตร http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=22&A=4329&Z=4341&pagebreak=0
อรรถกถาประกอบพระสูตรนี้ http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=22&i=161
จากคุณ |
:
Serene_Angelic
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ย. 54 15:50:00
|
|
|
|