เมื่อผมทำสงคราม กับ ความเหงา.......
|
 |
เมื่อวานเป็นวันที่ผมคิดว่าผมเหงาครับ...อาจจะเพราะมองไปที่บ้านพี่ชาย(ลูกคุณอา...คุณเห็นพี่ชายผมในทีวีทุกวันช่วงน้ำท่วมแหละครับ )..เขาคงเพิ่งมีเวลาว่าง เขาเลยชวนลูกสาวและเมียทำสวน น่ารักมากครับ แม่หลานสาวของผมลากบุ้งกี๋ใบใหญ่คอยตามเก็บกิ่งไม้ที่พ่อของเธอตัดและทิ้งลงพื้นดิน พี่สะใภ้กำลังบงการให้คนงานปลูกไม้ดอกที่ซื้อมาจาก อตก...
มันเป็นภาพครอบครัวที่อบอุ่นครับ มันคงกระแทกใจผมพอสมควร แม่หลานสาวมาเกาะรั้วทักทายคุณอา(ผมไง...) ผมคุยเล่นกับเด็กหญิงวัยสิบขวบอยู่สักพัก กำลังนึกว่าจะทำอะไรดี น่าจะไปเจอเพื่อนนิ....แล้วก็ราวกับจิตสั่งได้ แม่เพื่อนรักสาวโสดวัยทองก็โทรมา
"นี่แก...ทำไร วันนี้ชั้นไม่บิน มาสปากับชั้นมั้ย อีอ้อยก็ว่าง พี่พงษ์เขาถามถึงแก อยากให้แกแต่งบ้านให้แน่ะ...แล้วเย็นไปดูหนังมั้ย?" ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงกระโดดเข้าใส่ แต่อะไรบางอย่างทำให้ผมตอบไปว่า "เดี๋ยวดูก่อนนะ ต้องทำไรนิดหน่อย เดี๋ยวโทรกลับนะ..." ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมตอบไปแบบนั้น
ผมไม่ได้มีอะไรทำหรอกครับ และทั้งที่ดีใจที่เพื่อนวางโปรแกรมมาให้เสร็จ และกำลังจะตอบรับ แถมมีโอกาสจะได้งานอีกชิ้นหนึ่ง แต่...ในเสี้ยววินาทีนั้น มันมีเสียงอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมรั้งรอ.... มันเป็นอารมณ์เหนื่อยหน่าย ว่า...มันเป็นการฆ่าเวลาที่สูญเปล่า และซ้ำซากไปมั้ย? มันเป็นทางออกที่ตื้นเขินเกินไปหรือเปล่า.....หรือเพราะหนังสือหลายๆเล่มที่ผมอ่านในช่วงนี้ มันทำให้ผมฉุกคิดว่า ผมกำลังรักษาอาการณ์เหงาที่ปลายเหตุ....มันไม่ใช่อ้ะ...ความเหงามันจับต้องไม่ได้ มันก่อกำเนิดจากความไม่มีตัวตน แล้วทำไมเราถึงยอมให้มันมาบงการ ทำไมเมื่อวานเรายังแฮ๊บปี้สุดๆอยู่เลย แต่วันนี้ความเหงา ความเคว้งคว้างมันมาจ่ากไหนกัน....
อยู่ๆผมก็เกิดความคิดว่าจะทำสงครามกับความเหงา...เจ้าสิ่งที่ไม่มีตัวตนที่ชอบแอบมารบกวนผมยามเผลอ มา...มาสิวะ มาลองสู้กัน คราวนี้ชั้นจะไม่ใช้ตัวช่วย
หึ หึ...และราวกับฟ้าจะแกล้ง ตัวช่วยที่ไม่ได้รับเชิญแมร่งโผล่หน้ากันมาสลอนเลยครับ
"ตกลงแกจะมามั้ย น้องแอนที่แกชอบก็มานะเฟ้ย ชั้นมีบัตรลดสปาด้วย วันนี้แกนวดฟรี..." แมร่งเอ๊ย!!! ดูมัน....
"พี่ซอย มาเดินเจเจกับผมมั้ยครับ อยากให้พี่ช่วยเลือกของแต่งคอนโดหน่อย แล้วผมขอเลี้ยงอาหารอิตาเลี่ยนพี่นะ นะ...แล้วไปฟังเพลงแจ๊สกัน นะ นะ" ไอ้นี่อ้อนเหมือนสาวเลยเว้ย เอ หรือมันสาวหว่า
"ป๋า ป๋า...เย็นนี้เจอกันที่เดิมนะ เจ๊มุกมาจากอเมริกา แกอยากเห็นพี่ว่าผอมลงสมคำร่ำลือหรือเปล่า มานะพี่ จองไว้สิบห้าที่ พี่หมอเล่นดนตรีด้วย ดาราเพียบ"
ดูสิครับ...ในวันที่ตั้งใจจะต่อสู้แบบ"ตัวต่อตัว" ตัวช่วยก็ดัน แห่กันมาตรึม....
คำตอบคือ "ไม่ว่างว่ะ ครับ จ๊ะ(แล้วแต่สถานภาพและความสัมพันธ์ครับ)"
ผมเข้าไปในห้อง บรรจงจัดการกับความรกของห้อง ใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำ และคอยเอาเท้าถีบหน้าความเหงาที่พยายามเสนอหน้าเข้ามา...ผมสอดผ้าปูเข้าใต้ที่นอนอย่างใส่ใจ เอามือลูบผ้าให้ตึง บอกตัวเองว่า เดี๋ยวตืนนี้เราจะได้นอนบนผ้าปูที่นอนที่สะอาดหอมกรุ่นและเรียบตึงจากฝีมือของเรา พับกางเกงเสื้อ บรรจงเก็บเข้าตู้ และระหว่างที่ทำไม่ยอมเปิดทีวี ครับ ทีวีก็คือตัวช่วยอีกตัวหนึ่ง ไม่....วันนี้ชั้นจะไม่พึ่งแก แต่ยอมให้มีเสียงเพลงแจ๊สเบาๆคลอๆ....ครับห้องเรียบ ตู้เสื้อผ้าเนี๊ยบ ความเหงาแว่บเข้ามา แต่โดนถีบออกไปสองที....หึ หึ
เดินลงมาที่โรงรถ อือ รถรกบรรลัย ตายโหงแก้วกาแฟยังอยู่ในรถ เอาๆ เก็บรถเสร็จ สิบเอ็ดโมง ขับรถออกจากบ้าน ระหว่างขับรถนี่ก็อันตรายครับ อีความเหงามันชอบหน้าด้านเข้ามาวอแว ไม่มีทางหรอกเมิง....เอาสมองไปจับอยู่ที่ฟิตเนสที่จะไปออกกำลัง ไม่...บอกกับตัวเองว่าวันนี้ไม่ได้มาเพราะเหงา เรามาเพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะออกกำลังกาย ตรงรี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่เจ๊าะแจ๊ะกับใคร กดปุ่มเครื่องวิ่งจากช้าเหยาะๆ เป็น เร็วขึ้น เร็วขึ้น เพ่งสมาธิไปที่การหายใจ ที่เริ่มแรงและหนืด ตอนนี้ความเหงาหายไปครับ เพราะแค่พยุงร่างและบังคับให้ขายกสลับกันไปมา ควบคุมลมหายใน ตาเพ่งมองผ่านกระจกไปยังทิวทํศน์และรถไฟฟ้าที่วิ่งผ่านตา...ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ความเหงาและครับ 1 ชั่วโมงผ่านไป ความเหงาเริ่มหงอยแล้วครับ มันยืนมองผมอย่างอ้อนวอน มันอยากเข้ามาหา แต่ผลจากการควบคุมจิตและกิจกรรมที่ทำ ผมเริ่มแข็งแรงกว่ามันครับ
จอดรถทิ้งไว้ ไม่อยากกินข้าวที่ฟิตเนส เพราะตั้งใจจะหลีกหลบผู้คนและบรรดาตัวช่วยทั้งหลาย อย่างที่บอกครับ วันนี้ขอฉะความเหงาแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ผมเรียกมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่วัดกลางเมือง แวะที่ร้านสะดวกซื้อ ซื้อข้าวสาร นมกล่อง น้ำผลไม้กล่อง ทิชชู่ ธูปเทียน สบู่ แชมพู...แล้วเดินหิ้วถุงเข้าไปในวัด ถามเด็กวัดว่าจะไปถวายสังฆทาน บรรยากาศในวัดร่มรื่นเงียบสงบ มีแต่เสียงลมและสุนัขเห่าไกลๆ ตอนนี้ความเหงาหายไปแล้วครับ ภาพพระภิกษูหนุ่มที่อยูตรงหน้านุ่งห่มจีวรสีเหลืองส้มนั้นงดงาม สายตามองต่ำของท่าน ในขณะที่สวดบทภาวนานั้นชวนให้เกิดศรัทธาและอิ่มใจ ผมกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ คุณย่าคุณปู่ คุณตาคุณยาย เจ้ากรรมนายเวร....ด้วยใจที่นิ่งและสงบ
ในวัดมีข้าวแกงขายครับ สี่สิบบาททั้งข้าวและเครื่องดื่ม อิ่มและอร่อยไม่น้อยกว่ามื้อละหลายร้อยถ้าจะไปกินกับเพื่อน ผมเดินดูวัดไปเรื่อยๆ จนมาถึงศาลาที่โปร่งลมโกรก มีคนหนุ่มสาวและสูงวัย รวมทั้งแม่ชี นั่งทำสมาธิอยู่ในนั้น...ผมเดินเข้าไป และลงนั่งพิงเสา ความเงียบที่ชัดเจนสัมผัสได้ทั้งด้วยหูและด้วยใจ ผมไม่ได้นั่งสมาธิหรอกครับ แต่นั่งเงียบๆปล่อยให้สมองว่าง จิตใจค่อยๆรู้สึกฉ่ำเย็น นิ่งและเป็นสุข...ตอนนี้ความเหงาพ่ายแพ้ผมอย่างยับเบินครับ ผมมีความสุข ความสุขที่เกิดจากตัวเอง ไม่ได้ใช้ตัวช่วย ไม่ต้องซื้อหา และผมเชื่อว่าความเหงาแม้มันจะมาอีก ผมก็รับมือกับมันได้ครับ....
ตอนเย็นผมแวะไปเจอฝูงเพื่อน แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อให้พวกมันเป็นตัวช่วย เพราะเวลานี้ผมไม่ได้ต้องการตัวช่วย แต่ไปเพื่อพบปะกับพี่สาวแสนดี ที่ไปตั้งรกรากอยู่แดนไกล และนานๆจะกลับมาสักที เป็นอารมณ์ที่แตกต่างกันมากครับ เพราะเวลานี้ผมไม่ไดต้องการตัวช่วย ความเหงาพ่ายแพ้ผมไปแล้วครับ แต่ไปเพราะมีหน้าที่ต่อมิตรภาพและความผูกพัน... ผมยังคงต้องมีสังคมและความเอื้ออาทร แต่พวกเขาจะไม่ใช่ตัวช่วยหรือยาแก้อาการเหงาอีกต่อไป....
ครับ...คงมีบางวันที่ความเหงาจะจู่โจม แต่ผมก็เรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับมันแล้วครับ
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 12:07:21
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ย. 54 12:01:12
จากคุณ |
:
ผู้ชายซอยสิบ
|
เขียนเมื่อ |
:
28 พ.ย. 54 11:48:13
|
|
|
|