Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ฮองเฮาสิ้นเคราะห์ ติดต่อทีมงาน

ยอดคนแผ่นดินเหม็ง

ตอนที่ ๑๔ ฮองเฮาสิ้นเคราะห์

" เล่าเซี่ยงชุน "

เมื่อ ไฮ้สุย ได้รับราชโองการให้จัดการอภัยโทษแก่ นางเตียฮองเฮา และพระราชบุตรแล้ว ก็มีหมายประกาศไปยังหัวเมืองน้อยใหญ่ให้รู้ทั่วกัน มีความว่า พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ได้เสด็จออก ณ พระที่นั่งกิมหลวนเต้ย พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตรัสปรึกษาด้วยจะโปรดพระราชทานให้ นางเตียฮองเฮา กับพระราชบุตร ได้พ้นโทษ และรับเข้ามาอยู่ในพระราชวังตามเดิม พระราชวงศานุวงศ์ และขุนนางข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เห็นพร้อมกันตามกระแสรับสั่งแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้นไฮ้สุยจึงสั่งให้เจ้าพนักงานจัดรถสำหรับพระสนมเอก และกระบวนแห่ พร้อมด้วยทหารรักษาพระองค์สองร้อย และหญิงเจ้าพนักงานข้างใน ออกไปรับนางเตียฮองเฮากับพระราชโอรส ที่ตึกมืดนอกพระราชวัง เมื่อเจ้าพนักงานเอารถมาถึง และเข้าไปไขกุญแจตึก พั่งเปา ขันทีซึ่งคอยรับใช้นางเตียฮองเฮาได้ยินเสียงก็ตกใจ รีบปิดช่องที่เจาะให้แสงสว่างลอดเข้าไปโดยเร็ว หญิงสิบห้าคนที่มารับจึงเข้าไปบอกว่า บัดนี้มีรับสั่งโปรดให้ท่านกับพระราชบุตร พ้นโทษ ให้ข้าพเจ้ากับทหารรักษาพระองค์ เอารถมารับท่านกลับคืนไปอยู่ในพระราชวังตามเดิม นางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรและพั่งเปาได้ฟังก็มีความยินดีนัก จึงพาพระราชบุตรออกจากที่มืด ขึ้นรถมากับทหารรักษาพระองค์ ครั้นใกล้จะถึงประตูพระราชวังเจ้าพนักงานก็หยุดรถนางเตียฮองเฮา กับพระราชบุตรก็เข้าไปในวัดกวนอิมยี นมัสการพระตามธรรมเนียม

เจ้าพนักงานก็เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้ว่า ซึ่งรับสั่งโปรดให้ไปรับนางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรนั้น บัดนี้มาถึงประตูพระราชวังแล้ว ฮ่องเต้ก็รับสั่งให้พาไปอยู่ที่เก๋งในสวนดอกไม้ก่อน เจ้าพนักงานก็จัดเกี้ยวสำหรับพระสนมเอก ให้นางเตียฮองเฮาและพระราชบุตร เดินทางจากวัดไปจนถึงในสวนดอกไม้

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ก็เสด็จออกไปคอยรับอยู่ที่เก๋งในสวนนั้น ครั้นนางเตียฮองเฮาและพระราชบุตรมาถึง ก็ลงจากเกี้ยวตรงเข้าไปคุกเข่าถวายบังคมและกราบทูลว่า

"...ข้าพเจ้าต้องรับพระราชอาญาครั้งนี้ เจียนจะไม่ได้เห็นแสงพระจันทร์ และพระอาทิตย์ พึ่งได้เห็นวันนี้....."

กราบทูลได้เท่านั้น นางเตียฮองเฮาและพระราชบุตรก็ทรงพระกันแสง ซบพระพักตร์ลง ฮ่องเต้จึงจับมือนางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรให้ยืนขึ้นแล้วตรัสว่า

"....เจ้าอย่าได้เอาความเก่ามาเจรจาเลย เราเคยเป็นผัวเมียกันมาอย่างไร ก็จงอยู่ด้วยกันอย่างเดิมเถิด....."

ตรัสแล้วก็รับสั่งให้อาบน้ำชำระกายแต่งเครื่องใหม่ แล้วสั่งให้เจ้าพนักงาน จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ฮ่องเต้ก็ทรงเสวยโต๊ะกับนางเตียฮองเฮา ประทับนั่งบนเก้าอี้เคียงกัน พระราชบุตรทรงเป็นผู้รินสุราถวาย ก็เรียบร้อยไม่ขัดขวาง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตร เห็นพระราชบุตรทำถูกอย่างธรรมเนียมทุกประการ จึงตรัสกับนางเตียฮองเฮาว่า เราคิดว่าบุตรเรานี้จะโง่ไม่รู้จักอะไร กลับเข้าใจดีเสียอีก นางเตียฮองเฮาก็กราบทูลว่า ตั้งแต่ไปอยู่ในตึกมืด ข้าพเจ้าก็สั่งสอนหนังสือและขนบธรรมเนียมให้รู้ทุกประการ

ฮ่องเต้ตรัสถามว่าอยู่ในตึกมืดสั่งสอนกันได้อย่างไร นางเตียฮองเฮาก็กราบทูลว่า

"....ข้าพเจ้าได้ให้พั่งเปากราบทูล ก๊กบ๊อฮองไทเฮา จะขอลักเจาะผนังตึก พอเป็นช่องแสงส่องเข้ามาข้างใน ก๊กบ๊อฮองไทเฮาก็โปรดให้ พั่งเปาขันทีจึงได้ลักเจาะตึกจนเป็นช่องสว่าง จึงสอนหนังสือพระราชบุตรได้ ความข้อนี้ข้าพเจ้ามีความผิด ด้วยล่วงพระราชอาญา สุดแล้วแต่จะโปรด....."

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

".....ซึ่งเจ้าคิดนี้ชอบแล้ว ก๊กบ๊อฮองไทเฮาก็มีพระเดชพระคุณเป็นอันมาก ถ้าท่านไม่โปรดให้เขาเจาะผนังตึกแล้ว บุตรเราก็โง่ไม่รู้จักอะไร....."

นางเตียฮองเฮากราบทูล พลางรำลึกถึงความหลัง ที่ตัวได้ลำบากยากแค้นก็ร้องไห้ต่อหน้าพระที่นั่ง พระราชบุตรเห็นพระมารดาก็ทรงพระกันแสงซบพระพักตร์อยู่กับมารดา ฮ่องเต้มีพระทัยสงสารในนางเตียฮองเฮากับพระราชบุตรยิ่งนัก จึงตรัสกับพระราชบุตรว่า

".....เจ้าอย่าถือโทษโกรธบิดาเลย เมื่อครั้งนั้นบิดาไม่ทันตรึกตรอง ให้เห็นผิดเป็นชอบจึงได้เป็นไปต่าง ๆ....."

แล้วก็ถามนางเตียฮองเฮาว่าให้ชื่อบุตรแล้วหรือยัง นางเตียฮองเฮากราบทูลว่ายังหาได้ตั้งไม่ ฮ่องเต้จึงตรัสว่า วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีจะต้องตั้งชื่อบุตรเราให้สมเหตุ จึงให้ชื่อพระราชบุตรว่า จูเอี๋ยว ซึ่งแปลว่าแสงสว่าง แล้วตรัสต่อไปว่า สวนดอกไม้ของเรานี้ แต่เดิมเรียกชื่อว่าเฮ้าซุนฮึน แปลว่าเป็นที่เกษม เมื่อฤดูฝนวันนี้เราได้พบปะพร้อมกันต้องเปลี่ยนชื่อเสียใหม่ให้เป็น เต้งเคงเกง แปลว่าเป็นที่เพิ่มพูนความยินดี แล้วพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็ประทับอยู่ในสวนนั้นห้าราตรี ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยมีข้อราชการสิ่งใด ก็ต้องตามไปเฝ้าที่นั่น แล้วมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานออกหมายประกาศ ความซึ่งตั้งชื่อพระราชบุตร ให้รู้กันทั่วพระราชอาณาเขต

ฝ่าย นางเงียมเคงหลิน เมื่อแจ้งข่าวว่านางเตียฮองเฮาและพระราชบุตรพ้นโทษและฮ่องเต้รับมาอยู่ที่สวนเต้งเกงเคงแล้ว ก็มีความร้อนใจจึงส่งหนังสือให้ เงียมซง บิดาเลี้ยงทราบความ เงียมซงก็ไปปรึกษากับ เตียจีเป๊ก เพื่อนคู่ใจซึ่งเป็นผู้ว่าราชการฝ่ายทหาร และ เตียบุนหอ ขุนนางฝ่ายทหารที่เป็นรอง เตียบุนหอก็ว่ามีคำโบราณกล่าวไว้ว่า ถ้าเห็นการสิ่งใดจะสู้ไม่ได้ ต้องหลีกเลี่ยงเอาตัวรอด ถ้าแม้นขืนถือดื้อดึงไปมักจะเสียตัว อุปมาเหมือนลงเรือเล็กจะขี่ข้ามพระมหาสมุทรที่ใหญ่ ที่ไหนจะทนกำลังคลื่นลมได้ ก็จะมิจมอยู่ในท้องพระมหาสมุทรหรือ

เตียบุนหอก็แนะว่า ที่จะถือมานะเอาชนะในขณะนี้ เห็นจะสู้เขาไม่ได้ ด้วยฝ่ายเราไม่มีพระราชบุตร และพระราชบุตรเล่าก็ประกอบด้วยลักษณะอันดี เฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก จึงควรให้นางเงียมเคงหลินทำเรื่องราวเข้าไปถวาย ขอออกเสียจากที่ฮองเฮา รับราชการตำแหน่งกุยฮุยไปตามเดิม ทั้งตำหนักที่ฮองเฮาก็คืนถวาย รับเอาตำหนักที่กุยฮุย ถ้าทำดังนี้ได้ก็คงถูกพระทัยฮ่องเต้ ความที่เคยมีพระทัยรักใคร่นางเงียมเคงหลินอยู่อย่างไร ก็จะได้ตั้งตามเดิมมิได้มีเสื่อมคลาย และความดีจะได้แผ่มาถึงเงียมซงด้วย

เงียมซงก็ว่าเวลานี้ไม่มีสติปัญญาที่จะทำหนังสือแล้ว ขอให้เตียบุนหอช่วยสงเคราะห์ด้วย เตียบุนหอก็แต่งหนังสือเป็นของนางเงียมเคงหลิน ให้ นางเงียมไทฮูหยิน ภรรยาเงียมซง ถือเข้าไปให้นางเงียมเคงหลิน ชี้แจงเรื่องให้เข้าใจแล้วให้ลอกข้อความนั้นเป็นลายมือของตนเอง นำไปถวายฮ่องเต้ อย่าให้ทรงทราบว่ามีผู้แต่งให้

นางเงียมเคงหลินได้แจ้งอุบายตามที่มารดาเลี้ยงบอกแล้วก็เห็นด้วย จึงเขียนเรื่องราวใหม่ตามที่มารดาเลี้ยงสั่ง พอถึงรุ่งเช้าก็เข้าไปเฝ้าฮ่องเต้ในสวนถวายหนังสือนั้น ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหนังสือมีความว่า

ข้าพเจ้านางเงียมเคงหลินฮองเฮา ขอกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ด้วยเดิมนางเตีย ฮองเฮากับพระราชบุตรเป็นโทษต้องถอดจากที่ และรับพระราชอาญาขังอยู่ ณ ตึกมืด พระองค์เห็นว่าที่พระราชวังข้างใน ไม่มีใครเป็นผู้ใหญ่ ดูแลว่ากล่าวการงาน จึงโปรดพระราชทานให้ข้าพเจ้าเป็นที่ฮองเฮารับราชการต่อมา พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าก็รับราชการสนองพระเดช พระคุณมาสี่ปีเศษแล้ว บัดนี้พระองค์โปรดให้รับนางเตียฮองเฮากับพระราชโอรส เข้ามาอยู่ในพระราชวังแล้ว ข้าพเจ้าขอถวายที่ฮองเฮา ขอรับพระราชทานที่กุยฮุยกลับมาอยู่ที่ตำหนักเก่า รับราชการในนางเตียฮองเฮาไปตามเคย สนองพระเดชพระคุณไปกว่าชีวิตจะหาไม่

ฮ่องเต้ก็มีพระทัยยินดี ทรงพระราชดำริว่านางเงียมเคงหลินฮองเฮานี้ รู้จักประมาณตัว แล้วนางเงียมเคงหลินก็ไปหานางเตียฮองเฮา คุกเข่าลงคำนับ นางเตียฮองเฮาจึงว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่ไม่ควรจะคำนับข้าพเจ้า พูดแล้วก็จับมือให้ลุกขึ้น นางเงียมเคงหลินจึงว่า เมื่อท่านไม่อยู่ข้าพเจ้าก็รับราชการแทน บัดนี้ท่านมาแล้วข้าพเจ้าจะขอรับราชการในท่านต่อไป นางเตียฮองเฮาก็ว่า ท่านอย่าได้มีความรังเกียจสิ่งใดเลย เราเหมือนหนึ่งพี่น้องกัน เรารักกันไว้ไปวันหน้าทุกข์สุขอะไรมี จะได้ปรึกษาหารือกัน แล้วก็ให้คนยกเก้าอี้มาให้นั่ง

พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ กับนางเตียฮองเฮา นางเงียมเคงหลิน และพระราชบุตรจูเอี๋ยว ก็ร่วมโต๊ะสุราอาหารเลี้ยงกันเป็นที่สบาย ฮ่องเต้ก็ส่งหนังสือของนางเงียมเคงหลินให้นางเตีย ฮองเฮา อ่าน จูเอี๋ยวก็เข้ามาอ่านด้วย ฮ่องเต้ก็มีพระทัยยินดีที่พระราชบุตรอ่านหนังสือได้ และพระราชบุตรมีความเฉลียวฉลาด เห็นว่าหนังสือนี้ เส้นน้ำหมึกไม่คงที่ พิเคราะห์ว่าจะลอกมาจากฉบับอื่น นางเงียมเคงหลินได้ฟังก็มีความสดุ้งจนเหงื่อตก แต่กราบทูลว่า พระราชบุตรว่าถูกด้วยหนังสือฉบับนี้ข้าพเจ้าคิดร่างเสียก่อนแล้วจึงลอกมาถวาย ด้วยการหนังสือข้าพเจ้าไม่สู้ชำนาญ จะคิดอ่านเรื่องถวายเล่า ต้องร่างเสียก่อนแล้วจึงเขียนยกขึ้น ฮ่องเต้ก็มิได้ตรัสประการใด รับสั่งไปด้วยเรื่องอื่น

เมื่อได้เวลาอันสมควร นางเงียมเคงหลินก็ถวายบังคมลาฮ่องเต้ และคำนับลานาง เตียฮองเฮากลับคืนไปตำหนัก และนึกว่าจูเอี๋ยวนี้ฉลาดแหลมนัก แม้นเจริญวัยไปข้างหน้าคงจะมีวาสนา นางเตียฮองเฮาผู้มารดาก็ดี สมควรเป็นผู้ใหญ่ได้ ไม่มีความรังเกียจกินแหนงเลย แล้วคิดว่านางเตียฮองเฮามีพระราชบุตรทั้งนี้ ก็เพราะใจยั่งยืน ประพฤติความดีไม่มีอาฆาตต่อผู้ใด เทพยดาจึงให้คุณแก่เขา ตั้งแต่นั้นมานางเงียมเคงหลินก็ยำเกรง นับถือรักใคร่นางเตียฮองเฮาและ จูเอี๋ยวมากขึ้น

หลังจากนั้นพระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ ก็มีรับสั่งให้เจ้าพนักงานจัดขบวน แห่นางเตีย ฮองเฮากับพระราชบุตร จากสวนเต้งเคงเกงเข้าไปยังตำหนักเจียวเอ้งเคง มีขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารและพลเรือนคอยรับอยู่ที่ชาลาฝ่ายหน้า เมื่อขบวนมาถึงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็คุกเข่าลงคำนับทุกคน นางเตียฮองเอาจึงกล่าวเป็นคำอรรถว่า

ข้าพเจ้าจากท่านทั้งหลายไปช้านาน มาได้พบท่านเวลานี้ ขอให้ท่านทั้งปวง ซื่อสัตย์กตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดิน ที่มีความกรุณาแก่ราษฎร อย่าประพฤติให้ผิดจากพระราชบัญญัติของพระเจ้าแผ่นดิน จงทุก ๆ คน

ครั้นถึงชาลาชั้นใน นางสนมใหญ่น้อย กับผู้มีบรรดาศักดิ์ และพวกขันทีเถ้าแก่ซึ่งอยู่ในพระราชวัง ที่คอยรับอยู่ก็พานางเตียฮองเฮาเข้าสู่ตำหนักที่ตำแหน่งเดิม

อยู่มาไม่นานถึงวันฤกษ์ดี พระเจ้าเกียเจ๋งฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้ประชุมขุนนางพร้อมกัน ยกจูเอี๋ยวขึ้นเป็นไทจือหรือรัชทายาท แล้วรับสั่งให้ โปยหงวน ซินแสสอนหนังสือแก่ไทจือต่อไป.

##########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 9 ธ.ค. 54 05:32:50




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com