ความคิดเห็นที่ 1 ....ท่านเทวทัตกล่าวทูลว่า..... ภิกษุต้องไม่ฉันเนื้อสัตว์ ภิกษุต้องไม่อยู่อาศัยในที่มุงบัง  (ห้ามอยู่กุฏิ ต้องอยู่โคนไม้เป็นนิจฯ) พระพุทธองค์ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ภิกษุในพระพุทธศาสนา ต้องทำตัวให้เรียบง่าย ไม่เรื่องมาก  ตราบใดที่ยังถือบาตร เดินภิกขาจารรับอาหารจากชาวบ้าน จะเลือกอาหารตามที่ตนชอบ หรือไม่ชอบ ไม่เป็นการสมควร   เขาให้อย่างไร ก็กินอย่างนั้น กินเพื่อรักษาสังขารให้คงอยู่ เพื่อประโยชน์แห่งสังคมโลก ท่านเทวทัตเมื่อไม่สมอารมณ์หมาย ก็ไปป่าวประกาศให้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป ว่าพระบรมศาสดานี้... เป็นคนมักมากเห็นแก่กิน เห็นแก่ที่อยู่อาศัยอันแสนสุขสบาย   (ท่านเทวทัตท่านว่าเองนา)  แล้วก็ประกาศกับภิกษุจำนวนมากที่มาฟังปราศรัย ว่า... ใครเห็นด้วยกับท่านโคตะมะโคดม ก็จงอยู่ที่นี่  ใครเห็นด้วยกับเรา.....ก็จงตามเรามา... ได้เรื่องเลยละ...มีผู้ที่เห็นด้วยคล้อยตามท่านเทวทัตจำนวนไม่น้อย (ในตำราว่าไว้ถึง ๕๐๐ เชียวแหละ) แต่ในที่สุดท่านเทวทัตก็แพ้ภัยตัวเอง จนถูกธรณีสูบถึงแก่กาลมรณภาพ จากความคิด ความริเริ่มของท่านนี่เอง ที่มีการต่อยอดในเวลาต่อมา เมื่อภิกษุเกิดการแตกฝ่ายกันอย่างจริงๆจังๆ  จนถึงยุคปัจจุบัน... คือฝ่าย     เถรวาท....(หินยาน)  นิกายดั้งเดิมที่ยึดหลักพระพุทธองค์อย่างเหนียวแน่น และฝ่าย  มหายาน  นิกายใหม่ ที่ต่อยอดความคิดมาจากท่านเทวทัตในเรื่องของการ...ไม่กินเนื้อสัตว์ ( เจ ) มหายาน แพร่หลายไปในธิเบต และ จีน เป็นส่วนใหญ่ ประเพณี กินเจ ไหว้เจ้าในจีน  สืบต่อมาจนชาวจีนทั้งใน และ นอกประเทศ ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติกันอย่างเหนียวแน่นจนทุกวันนี้ ก็แค่เพียงอยากจะบอกว่า  การกินเจ  ไม่กินสัตว์  มันเกิดขึ้นมาจากความคิดของท่านเทวทัต ดังที่ได้เล่าถึงสาเหตุของการเกิดเรื่องขึ้นมา สรุปแล้ว  ใครใคร่กินอย่างไร ก็กินไปตามอัธยาศัย และกำลังทรัพย์แห่งตนไปเถิด   อย่าเอาความอยากได้ อยากกิน   ชอบ หรือ ไม่ชอบของเรา เป็นตัวกำหนด ให้ผู้อื่น ชอบ หรือ ไม่ชอบ ตามเราไปด้วยก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่อง ปัดยง  ปัดยาจีนอะไรหรอก...!! จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 21:18:27

ความคิดเห็นที่ 2 หนูทานมังฯ  2  มื้อ  เช้า - กลางวัน  มา 20 กว่าปีแระ   ( เฉพาะวันพระ ).....เพราะอยากทำ !!! วันไหนไม่สะดวก ก็ไม่ทำ !!! พยามไม่ให้ตัวเองทุกข์  และ  เดือดร้อนผู้อื่น อิอิ ปล.  สวัสดีค่าาาาาาา   จากคุณ : เห้อออออออออ เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 21:32:46

ความคิดเห็นที่ 3 อยากศึกษาหาหนังสือมาอ่าน พอจะแนะนำได้ไหมครับ จากคุณ : บ้านหนองจันสอน เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 21:46:30

ความคิดเห็นที่ 4 เหมือนเขาจะถามว่า ทางนึงกินเจ อีกทางนึงไหว้เจ้าด้วยเนื้อสัตว์ มันไม่ขัดแย้งกันหรืออย่างไร? จากคุณ : ไฟลามทุ่ง เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 21:49:59

ความคิดเห็นที่ 5 มีหนังสือเยอะครับคุณบ้านหนองจันสอน ประเภทเกี่ยวกับประวัติพุทธศาศนา ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับพวกนี้ส่วนมาก เป็นหนังสือของท่านอาจารย์ เสฐียรพงษ์ อ.เสถียร โพธินันทะ อ.สมภาร พรหมทาฯลฯ มันเป็นเรื่องของคนมากกว่านะ น้าเป็ด... คนสร้างพิธีกรรมอะไรก็ได้ เพื่อมุ่งเน้นความเชื่อให้เป็นจริงเป็นจังขึ้น ทางหนึ่งกินเจ ทางหนึ่งกิน - ไหว้ ด้วยเนื้อสัตว์ มันเป็นความเชื่อของ สองแนวทาง แล้วนำมาปฏิบัติ ต่างกรรม ต่างวาระ อย่างที่บอกแต่ต้นว่า การไหว้ การเซ่นสรวงด้วยเนื้อสัตว์ ตลอดไปจนถึงการกิน มันมีเหตุมาตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นในโลก การไหว้ การบูชา ก็เพื่อเป็นการเอาใจสิ่งที่มองไม่เห็น ที่สามารถให้คุณให้โทษแก่มนุษย์ เป็นการเอาใจ...อ้อนวอน  ร้องขอ  และตอบแทน  สิ่้งที่มองไม่เห็นนั้น จะเรียกว่า เจ้า  เทวดา อินทรพรหม ยมยักษ์ อะไรก็ตามแต่จะเรียก ก็เกิดจากการ...สรรหา  ของมนุษย์ทั้งสิ้น มนุษย์ ที่มีความเชื่อแตกต่างกันไปตามภูมิภาค และพงษ์เผ่าของตน กินเจ.........ก็ความเชื่อแบบหนึ่ง เซ๋นไหว้....ด้วยเนื้อสัตว์ ก็เป็นความเชื่ออีกแบบหนึ่ง ที่มนุษย์สร้างขึ้น และยึดถือ  แล้วทำต่อๆกันมา ทั้งหมดมันอยู่ที่....ความเชื่อ...แค่นั้นเอง...!! จากคุณ : ~นายเฉิ่มศักดิ์~ เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 22:13:05

ความคิดเห็นที่ 6 จากคุณ : อิ่มสบายท้อง เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 23:33:40

ความคิดเห็นที่ 7 สวัสดีค่ะ คูณลุงเฉิ่มศักดิ์ หนูอยากจะให้กี้ฟเพราะถูกใจคำตอบของคุณลุงจังเลยค่ะ ... แต่กี้ฟก็หมดไปเสียแล้ว.... สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์คือ...การเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่สิ่งที่แตกต่างกันของมนุษย์ก็คือ...ความคิด...ความเห็น สาเหตุที่มีความคิดและความเห็นที่แตกต่างกัน...ก็คงจะเกิดจาก ต่างมุมต่างมอง หากคนที่มีมุมมองกว้าง...ก็จะมองเห็นโลกในภาพรวมที่กว้าง...มุมบวกก็มากกว่า แต่คนที่มีมุมมองแคบ...มองเห็นแค่ด้านใดด้านหนึ่ง...ก็อาจจะเหมารวม... สุดแต่ว่่า...เขาจะเหมารวมเป็นภาพบวก หรือ ภาพลบ ...ก็เท่านั้นมังคะ อิอิ จากคุณ : แสนดีเหมือนทราย เขียนเมื่อ : วันตรุษจีน 55 23:47:02

ความคิดเห็นที่ 8 กระทู้นั้นมันเกิดจากคนแก่อคติ ไม่ใช่ว่ามีความเชื่ออะไรหรอกครับ มันไม่รู้อะไรเลยมากกว่าครับ ...คิดไปได้อย่างไร "ตรุษจีนมีไว้เพื่อฆ่าสัตว์ ชดเชยจากที่กินเจ" ใช่หรือไม่ ...แล้วก็อ้างไปว่า จะไม่อ่านปรัชญาจีนแล้ว ...มันไม่เกี่ยวกันเลยทั้งสามส่วน ...ปรัชญาจีน เขาก็สอนในส่วนของการใช้ชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ไม่เห็นมีสอนให้ไหว้เจ้าหรือกินเจอะไร ...คนเราสมัยนี้มั่วได้โล่ห์ เจออะไรสงสัยแทนที่จะใช้ปัญญาคิดแบบนิ่งนิ่ง นี่ก็ไม่กลั่นกรองอะไร ตั้งกระทู้มันโท่งโท่ง จากคุณ : มับนะขู เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 10:38:33

ความคิดเห็นที่ 9 โอ่แก่ งัก งัก งัก  คุยอะไรกันเหรอหลานๆ งัก งัก งัก จากคุณ : สมภพ เจ้าเก่า เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 11:04:44

ความคิดเห็นที่ 10 ผมคิดว่ามันต่อยอดมากจากการ บูชายันต์นะ เรื่องการ เซ่น!! ใหว้ ส่วนเรื่องการทาน หรือ ไม่ทานเนื้อสัตว์ ก็มาจากแนวคิดทางศาสนาของแต่ละสาย จุดเริ่มก็คงมีหลายตำนาน แต่ในปัจจุบัน วัฒนธรรม ประเพณี วิถี ปฏิบัติ ต่างปะปน ผสม กลืน กลาย ไปตามเวลา ดังนั้น เราควรแยกเรื่อง การเซ่นใหว้ ออกจาก เรื่องการกินตามความเชื่อ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกปัจจุบันมันก็ ลักลั่น ย้อนแย้ง หากนำมาจับเปรียบเทียบ กันเสียหมด..... เพียงแต่ว่า พิธีการหรือประเพณีปฏิบัติต่างๆ เขาจะถือเอาว่า เป็นการควบคุมสังคมได้ในทางหนึ่ง เหมือนการสร้างเอกลักษณ์ของกลุ่มหรือชนเผ่า รวมถึงกลุ่มความเชื่อ ผมว่ามันก็ไม่ใช่และไม่เกี่ยวกับปรัชญาอะไรเลยซักนิดเดียว งงไหม....ผมก็งง5555555 จากคุณ : หน้าต่างไร้กลอน เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 12:01:34

ความคิดเห็นที่ 11 ว่าแล้วเชียว อ่านแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ ...คนแก่อคติ  หมายถึง  คนที่แก่อคติ (มีอคติที่แรงกล้า) ...ไม่ใช่คนแก่ ที่อคติ จากคุณ : แบบนี้จะไปเข้าใจอะไรได้ (มับนะขู) เขียนเมื่อ : 24 ม.ค. 55 12:12:28