อีกเรื่องหนึ่งที่ยกย่องกันมากว่าพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงรอบรู้อย่างดีเกี่ยวกับ เงินตรา ของหัวเมืองฝ่ายเหนือที่ใช้กันมาแต่เก่าก่อน สมัยพ่อเจ้าอินทวิชยานนท์ พระชนกนาถ และย้อนหลังขึ้นไปจนถึงสมัยพระเจ้าเมงรายสถาปนานครเชียงใหม่
สมัยพระเจ้าเมงรายสถาปนานครเชียงใหม่นั้น พระราชชายา เจ้าดารารัศมีทรงบันทึกไว้ว่า สมัยนั้น นครเชียงใหม่ใช้เงิน ท้อก ข้อนี้ สันนิษฐานจากกฎหมายเมงราย กล่าวไว้หลายแห่งด้วยกัน
เงิน ท้อก มีอยู่ ๒ ชนิด คือ หลังโข่งเหมือนหอยโข่ง มีเนื้อเงินดี อีกชนิดหนึ่ง หลังแบน เนื้อเงินมีโลหะอื่นผสม เงินท้อกนี้ ใช้กันมาจนถึงสมัยพ่อเจ้าอินทวิชยานนท์ สมัยต่อๆ มา ยังนิยมใช้เป็นเงิน ใส่ผี-เสียผี กันอยู่ เป็นเงินตราสมัยเก่าที่มีหลงเหลือมาไม่มากนัก
เงินตราอีกอย่างหนึ่ง คือ เงินก้อนจ๊อย รูปร่างลักษณะมีหลายอย่าง ที่เป็นสี่เหลี่ยมก็มี ที่เป็นรูปสำเภาจีนก็มี มีตราประทับเป็นอักษรจีน (เข้าใจว่าเป็นเงินตราที่ใช้อยู่ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน) เงินก้อนจ๊อยนี้ มีน้ำหนักถึง ๑๒๕ บาท ไม่ได้ใช้เป็นสื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนกันทั่วไป โดยมากนิยมเก็บเอาไว้เป็น เงินขวัญถุง
เงินตราที่ใช้กันอยู่ในสมัยพ่อเจ้าอินทวโรรส มีอยู่ ๒ ชนิด คือ เงินเล่ม กับ เงินป้าง เงินเล่ม นั้น หนัก ๕ บาท
สองเล่ม คนเมืองนับเป็น ฮ้อย ส่วน เงินป้าง นั้น เท่ากับครึ่งเล่ม
การซื้อขายกัน ถ้าราคาต่ำกว่า ป้าง ก็ตัดแบ่งจากเงินป้าง ชั่งเอาตามน้ำหนัก และถ้าต่ำกว่า เฟื้อง ก็ใช้สิ่งของทอนหรือแลกเอา
ระหว่างที่ทางรถไฟยังสร้างมาไม่ถึงเชียงใหม่ เกลือ ก็เป็นเงินตราอย่างหนึ่ง ที่ใช้ทอนหรือแลกเป็นเงินปลีกย่อยต่ำกว่าเฟื้องได้ตามกฎหมาย และความยินยอมของประชาชนชาวเชียงใหม่ในยุคนั้น
ยังมีเงินอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า เงินดอก เป็นเงินส่วยที่ราษฎรชำระให้แก่ทางบ้านเมือง เป็นเงินเนื้อดี จึงเอาไปทำเป็น เงินท้อก ได้ สมัยพ่อเจ้าอินทวิชยานนท์ มีโรงกษาปณ์หลวง เอาเงินดอกมาทำเงินท้อก ตั้งอยู่ที่หน้าวัดเจดีย์หลวง (ปัจจุบันไม่มีซากอยู่เลย)
นอกจากนั้น ก็มี เงินแท้บ อีกอย่างหนึ่ง คำว่า แท้บ พระราชชายาทรงสันนิษฐานว่า มาจาก ท้อก เพราะคำเมืองนั้น อะไรก็ตาม ถ้าแบนๆ และโตก็เรียกว่า เถิบ ถ้าแบนแต่เล็ก ก็เรียกว่า แท้บ ต่อๆ มาก็กลายเป็น แถบ ไป และเรียกเอาเงินรูปีเป็น แถบ ไปด้วย !
ในสมัยเดียวกัน ทางกรุงเทพฯ ใช้ เบี้ย แทนเงินปลีกย่อย แต่ทางเหนือมีใช้อยู่บ้าง แต่ไม่แพร่หลายนัก โดยมากใช้เป็นเงินบูชาครู
เกี่ยวกับเรื่อง เงินตรา นี้ เล่ากันว่า แม้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ยังต้องทรงไต่ถามจากพระราชชายา แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่เงินตราสมัยก่อนๆ ดังกล่าว ไม่ค่อยมีตกทอดมาถึงสมัยนี้มากนัก ที่มีอยู่ก็ถูกฝังซุกซ่อนจมดินไว้ หรืออีกทีก็เก็บไว้เป็นเงินขวัญถุง ไม่มีตัวอย่างจะดูได้จากที่ไหน
พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ทรงค้นคว้าและรวบรวมประวัติศาสตร์ล้านนาไว้มาก แต่ยังไม่ทันที่งานด้านนี้จะสำเร็จ ก็ทรงพระประชวรและถึงแก่พิราลัยเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๖ ศิริชนมายุได้ ๖๑ ปีเศษ
ดารารัศมี...ผู้เป็นที่รัก เสด็จสู่สวรรคาลัยไปหลายสิบปีแล้ว แต่จนทุกวันนี้ เหล่านักเรียนยุพราชวิทยาลัย ดาราวิทยาลัย วชิราวุธวิทยาลัย และบรรดาชาวเชียงใหม่ ตลอดคนเมืองเหนือทุกคน ยังไม่ลืมพระคุณของพระองค์ท่าน ทั้งวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป.
แก้ไขเมื่อ 17 เม.ย. 55 15:04:38