
 สวัสดีวันเสาร์ค่ะ :)

 คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาคเหนือ อีสาน มีวัฒนธรรมอาหารที่หลากหลาย หนึ่งในนั้นคือ 
ลาบ 
 ลาบ
 ลาบ เป็นเมนูอาหารที่คนให้ความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้ง ลาบหมู ลาบไก่ ลาบควาย ลาบปลา ลาบนก 
วันนี้จึงอยากจะฝากเตือนถึงประชาชนเกี่ยวกับการบริโภค ลาบดิบ 

 ที่ผ่านมาหลายคนคงได้ยินเรื่อง 
โรค หูดับ ที่เกิดจากการบริโภคลาบหมูดิบอยู่เนืองๆ 

 อาการ
 หูดับ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย 
สเตร็ปโตค็อกคัส ซูอิส (Streptococus suis) ที่อยู่ในเนื้อหมูทีไม่ผ่านการปรุงสุก เชื้อแบคทีเรีย Streptococus suis เป็นเชื้อที่อยู่ในโพรงจมูกและต่อมน้ำลายของหมู เชื้อดังกล่าวพบได้ในหมูทั่วไปจนกลายเป็นเชื้อประจำถิ่น เมื่อหมูอยู่ในภาวะเครียด เช่น อยู่ในที่แออัด อากาศชื้นหรือหนาวจากฝนตกหนัก ภูมิคุ้มกันของหมูจะลดลง เชื้อดังกล่าวจึงฉวยโอกาสเข้าสู่กระแสเลือดทำให้หมูป่วยหรือตาย 
 เชื้อดังกล่าว มีวิธีเข้าสู่คนได้ 2 วิธี คือ
 เชื้อดังกล่าว มีวิธีเข้าสู่คนได้ 2 วิธี คือ 1)เมื่อร่างกายคนมีแผลไปจับต้องหมู 
2) กินเนื้อหมูหรือเลือดสด โดยไม่ผ่านกระบวนการปรุงให้สุก
หากเชื้อเข้าสู่ร่างกายคนแล้วอาจจะทำให้เกิดอาการต่างๆ 
โดยอาการทั่วไปจะทำให้มีไข้สูงเฉียบพลัน คลื่นเหียน ปวดศีรษะ หรือหากร้ายแรง อาจทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีไข้ ปวดศีรษะมาก คอแข็ง 
หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทหูจะทำให้การได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลันจนถึงขั้นหูหนวก 
ภายหลังที่หายจากอาการป่วยแล้วอาจจะมีความผิดปกติในการทรงตัว 
หากเชื้อเข้าปลายระบบประสาทตาจะทำให้ม่านตาอักเสบ ลูกตาฝ่อ หรือตาบอดได้ 
หรือหากติดเชื้อในกระแสโลหิตเป็นอาการรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ดังนั้น  ควรปรุงประกอบอาหารให้เนื้อสัตว์สุกด้วยความร้อนระดับ 70 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที
ส่วนผู้ชำแหละหรือผู้สัมผัสเนื้อสัตว์ ควรสวมถุงมือป้องกันการติดเชื้อทุกครั้ง หากมีบาดแผลต้องปิดแผลให้มิดชิด 
หากประชาชนมีอาการป่วย เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะหลังกินหมูดิบภายใน 3 วัน 
ให้รีบไปพบแพทย์ด่วนและต้องบอกประวัติการกินหมูดิบให้ทราบ 
หากมาพบแพทย์เร็วจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตและหูหนวกได้