ความคิดเห็นที่ 1 เฮ้....เอางั้นเลยหรือ เมื่อคืนมวยแพ้ ยิ่งนอนไม่หลับ ด่าไอบ้า...ว่าเน่าสนิทได้ดีเหลือเกินนะ โรงกลั่นบางจาก เรื่องมันยาว มันต้องเริ่มแต่ต้นๆ อยากฟังหรือครับ เล่าจากตอนไหนดีละ เอายุคเริ่มของไทย ที่่เริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครองเลยมั้ย.... เล่าให้ฟังจริงๆนะ ครับ จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 05:56:07

ความคิดเห็นที่ 2 กาลครั้งหนี่ง......... ออกทะเลไปโน่น อิอิ (ข้อมูลจาก ดร.เทียนไชย จงพีร์เพียร ) ครับ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ. 2475 ประเทศไทยต้องสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศ ผ่านบริษัทต่างประเทศซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ในประเทศไทย ในขณะนั้นมีอยู่ 2 บริษัท คือ บริษัทแสตนดาร์ดแวคคัมออยล์ของอเมริกา (ปัจจุบัน คือ บริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด) และบริษัทรอยัลดัทช์ปิโตรเลียมของอังกฤษกับฮอลแลนด์ (ปัจจุบัน คือ บริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด) บริษัททั้งสองมีสัญญาส่วนแบ่งการตลาดต่อกัน คือบริษัทของอเมริกามีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีนและญี่ปุ่นร้อยละ 80 บริษัทของอังกฤษกับฮอลแลนด์มีส่วนแบ่งร้อยละ 20 แต่บริษัทอังกฤษกับฮอลแลนด์มีส่วนแบ่งในประเทศแถบอินโดจีน คือ ไทย แหลมมลายู พม่า และอินเดีย ร้อยละ 80 ส่วนบริษัทของอเมริกามีส่วนแบ่งร้อยละ 20 บริษัททั้งสองจึงรักษาระดับราคาเพื่อให้เป็นไปตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ ทำให้บริษัทของคนจีน หรือของคนไทยที่ตั้งขึ้นต้องล้มไปเพราะ ไม่สามารถสู้สองบริษัทดังกล่าวนี้ได้ ดังนั้น ราคาน้ำมันในประเทศไทยจึงถูกผูกขาดโดยบริษัท ดังกล่าวที่จะตั้งราคาขายเท่าใด ทางราชการและประชาชนก็ต้องซื้อในราคานั้น ทำให้ราคาน้ำมันในประเทศในช่วงนั้นแพงมากเมื่อเทียบกับราคาน้ำมันในตลาดโลก จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:00:32

ความคิดเห็นที่ 3 หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิง เนื่องจากเห็นว่าเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญของประเทศ จึงมอบหมายให้ นายวนิช ปานะนนท์ เป็นผู้ดำเนินการจัดการเรื่องน้ำมันเชื้อเพลิง นับตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา และหลังจากที่ได้มีการติดต่อกับต่างประเทศและเตรียมงานมาประมาณ 1 ปี รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมดูแลเรื่องกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง โดยจัดตั้ง "แผนกเชื้อเพลิง" ขึ้นในกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2476 และกระทรวงกลาโหมได้มอบหมายให้นายวนิช ปานะนนท์ เป็นผู้ดำเนินการสั่งซื้อน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย ให้แก่ส่วนราชการ ทำให้สามารถซื้อน้ำมันได้ถูกลง จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:04:08

ความคิดเห็นที่ 4 ต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้ยกฐานะแผนกเชื้อเพลิงขึ้นเป็น "กรมเชื้อเพลิง" เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2480 มีอาคารตั้งอยู่ ข้างศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อธิบดีคนแรก หรือสมัยนั้นเรียกว่าเจ้ากรม คือ นายวนิช ปานะนนท์ ผู้ซึ่งดูแลเรื่องน้ำมันมาตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 นั่นเอง โดยกรมเชื้อเพลิงได้เปิดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่ประชาชนด้วย ภาพประกอบนี้....หลังจากเป็น ปตท.แล้วนะครับ จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:09:02

ความคิดเห็นที่ 5 ต่อมาเมื่อสถานการณ์โลกส่อเค้าว่าจะเกิดสงครามขึ้น รัฐบาลจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องสำรองน้ำมันไว้ใช้ จึงได้ศึกษาดูงานในประเทศที่ไม่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง เช่น ญี่ปุ่น และได้ตราพระราชบัญญัติน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2481 มีสาระสำคัญอยู่สองประการ คือ 1) ผู้ขายจะต้องมีน้ำมันสำรองไว้จำนวนกึ่งหนึ่งของน้ำมันที่ขายไปในหนึ่งปี และ 2) ให้รัฐบาลเป็นผู้กำหนด ราคาขายน้ำมัน เมื่อพระราชบัญญัติดังกล่าวออกมาสร้างความไม่พอใจให้กับบริษัทค้าน้ำมัน ต่างชาติทั้งสองบริษัท โดยเมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับบริษัททั้งสองก็หยุดดำเนินการไป จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:12:57

ความคิดเห็นที่ 6 ในปี พ.ศ. 2483 กรมเชื้อเพลิงได้สร้างโรงกลั่นน้ำมันขึ้นที่ช่องนนทรีย์ มีกำลังการกลั่น 1,000 บาร์เรล/วัน เริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2483 จนกระทั่งเกิดสงครามโลก ครั้งที่สอง และสงครามมหาเอเชียบูรพา กรมเชื้อเพลิงก็สามารถจัดหาน้ำมันให้แก่หน่วยงานราชการและประชาชนได้ด้วยความเรียบร้อย ถึงแม้จะต้องมีการปันส่วนน้ำมันกันบ้างก็ตาม สงคราม สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2488 ทหารฝ่ายสหประชาชาติได้เดินทางเข้ามาประเทศไทย ในฐานะผู้ชนะสงคราม (ตอนนั้นไทย ยังอยู่ในกลุ่มผู้แพ้สงคราม นะครับ) ในจำนวนนี้มี นายเจ. เอ. อีแวน ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทเชลล์แห่งประเทศไทย จำกัด และนายอี. พี. เจ. ผู้จัดการบริษัทแสตนดาร์ดแวคคัมออยล์ จำกัด เป็นเจ้าหน้าที่น้ำมันเชื้อเพลิงของสหประชาชาติร่วมเดินทางมาด้วย และได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เพื่อเจรจาเรื่องการค้าน้ำมันเสรี จนมาถึงปี พ.ศ. 2489 สมัยที่นายควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรี บริษัทน้ำมันต่างชาติได้ขอเข้ามาทำการค้าในประเทศและขอให้รัฐบาลยกเลิกพระราชบัญญัติ น้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2481 โดยอ้างว่าไม่เป็นการค้าเสรี (สุดท้ายผู้แพ้ ก็ต้องยินยอม) ครับ จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:16:44

ความคิดเห็นที่ 7 ในที่สุดก็มีการตกลงยกเลิกพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ออกหนังสือรับรองให้กับบริษัทต่างชาติทั้งสองมีสาระสำคัญว่า 1) รัฐบาลจะไม่ถือว่าบริษัทหรือผู้แทนขาย น้ำมันโดยไม่มีใบอนุญาตในขณะนั้นมีความผิด 2) รัฐบาลจะไม่เข้าหุ้นส่วนค้าน้ำมันกับบริษัท ค้าน้ำมันต่างประเทศ และ 3) การซื้อน้ำมันของรัฐบาลต้องให้บริษัทมีสิทธิเข้าเสนอขายด้วย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ยุบเลิกกรมเชื้อเพลิง โดยกระทรวงกลาโหมได้ลงนามสัญญาซื้อขาย ทรัพย์สินของกรมเชื้อเพลิงที่ช่องนนทรีย์และร้านค้าของเอกชนทั้งหมดกับบริษัททั้งสองเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2489 พร้อมทั้งให้เช่าที่ดินมีกำหนด 30 ปี และเมื่อหมดสัญญาให้ต่อได้อีก 30 ปี ในปีเดียวกันนี้เองบริษัท คาลเท็กซ์ จำกัด (เป็นการรวมตัวของ California + Texas) ได้เข้ามาประกอบกิจการค้าน้ำมันเพิ่มอีก 1 ราย จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:21:51

ความคิดเห็นที่ 8 แต่.. กลาโหมเห็นว่าน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงมีความจำเป็นในทางการทหาร จึงเห็นควรให้ตั้งแผนกเชื้อเพลิงขึ้นใหม่เพื่อกิจการของทหาร โดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2492 ยืมเงินทุนจากกระทรวงการคลัง 15 ล้านบาท ใช้เป็นทุนหมุนเวียนสำหรับซื้อน้ำมันทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ตามความต้องการของกองทัพ และหน่วยราชการ พร้อมกันนั้นได้มีการสร้างคลังและถังเก็บน้ำมันขึ้นที่ท่าเรือริมคลองพระโขนง (คลังน้ำมันพระโขนง ปตท.ปัจจุบัน) ซึ่งมีที่ดิน ติดต่อกับท่าเรือคลองเตย และแผนกเชื้อเพลิงได้จัดซื้อน้ำมันจากบริษัทน้ำมันอิสระที่ไม่ขึ้นอยู่กับสหรัฐอเมริกา จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:25:05

ความคิดเห็นที่ 9 ในการจัดตั้งแผนกเชื้อเพลิง และสร้างคลังน้ำมันดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ (ด้วยเกรงว่าแผนกเชื้อเพลิงจะขายน้ำมันให้แก่เอกชนและประชาชน) * เขาเอาเปรียบเราในฐานะผู้แพ้สงครามมานานแล้ว ครับ บริษัทน้ำมันทั้ง 3 บริษัท จึงยื่นคำขอให้แผนกเชื้อเพลิงส่งรายชื่อผู้ซื้อน้ำมันให้บริษัททราบด้วย เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มา........ จนถึงสมัยที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งมียศเป็นพลโทในขณะนั้นและดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้นำเรื่องการถูกบีบบังคับจากบริษัทน้ำมันต่างชาติ เข้าสู่คณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2495 ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปเจรจาให้มีการค้าน้ำมันเชื้อเพลิงได้โดยเสรี โดยขอยกเลิกข้อผูกพันที่มีอยู่เดิม และให้กระทรวงกลาโหมจัดตั้ง "องค์การเชื้อเพลิง" ขึ้นเพื่อดำเนินการจัดซื้อน้ำมันโดยเปิดประมูลทั่วไป และให้บริษัทน้ำมันต่างชาติมีโอกาสเข้าประมูลด้วย หมายเหตุ... ป้ายที่่ลงประกอบ คือป้ายจริง ตอนนี้ยังเก็บรักษาไว้ที่่แผนกเก่าฯผมเอง ครับ แก้ไขเมื่อ 12 ส.ค. 55 06:35:38 จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:34:11

ความคิดเห็นที่ 10 ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2496 แผนกเชื้อเพลิงได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นกรม เรียกว่า "กรมการพลังงานทหาร" มีพันเอกณรงค์ สาลีรัฐวิภาค เป็นเจ้ากรมคนแรก สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และมีหน้าที่ควบคุมดูแลองค์การเชื้อเพลิง ซึ่งในขณะนั้นองค์การเชื้อเพลิงยังไม่สามารถจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่พ่อค้าและประชาชนได้ จนกว่าจะยกเลิกสัญญาที่มีอยู่กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ การเจรจาขอแก้ไขสัญญาสามารถตกลงกันได้และมีการแก้ไขสัญญาใหม่เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2500 จึงทำให้รัฐบาลไทยสามารถค้าน้ำมันได้โดยเสรี * เริ่มต้นของการสร้างโรงกลั่นน้ำมัน บางจาก แล้ววครับ ปี พ.ศ. 2502 รัฐบาลได้ก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันบางจากขึ้น มีกำลังการกลั่น 5,000 บาร์เรล/วัน โดยเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2507 ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 ได้ให้บริษัทซัมมิทอินดัสเตรียล คอร์ปอเรชั่น เช่าดำเนินการและจำหน่ายน้ำมันให้องค์การเชื้อเพลิง จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:39:09

ความคิดเห็นที่ 11 เบื่อหรือยัง.... อิอิ ผม............คงต้องขอตัว ไปจัดการกับ ภรรยกิจ ก่อนนะ คร๊าบบบ เผ่น..อย่างไว เรียกหลายครั้งแว้ววววว จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 06:41:59

ความคิดเห็นที่ 12 กลุมหอการค้าและชาวอุดรธานี เรียกร้องให้ ปตท. ย้ายคลังน้ำมัน ออกจากตัวเมือง แต่ ปตท. จะค่อยทยอยย้าย คลังน้ำมันไปที่จ.สระบุรี ให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ ปี จะทำให้ขาดความมั่นคง ทางด้านพลังงาน ของชาวอีสานตอนบนหรือไม่ ลุงนาย เห็นว่าอย่างไรคะ. จากคุณ : ทุ่งทอตะวัน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 11:52:18

ความคิดเห็นที่ 13 ครูตุ๊ฯ ครับ เมื่อความเจริญ กายเข้ามา คลังน้ำมันฯ คงต้องย้ายออก แต่ก่อนนี้ คลังน้ำมันฯอุดร ตั้งอยู่ริมหนองบัว ใกล้สถานีรถไฟอุดร เนื่องจากการขนส่งสมัยก่อนๆ อาศัยทางรถไฟเป็นหลัก ที่หนองบัวนี่่ก็เช่นกัน มีศาลเจ้า อยู่อีกริม สระน้ำนี้ เวลามีงานประจำปี มักจุดพลุ ดอกไม้ไฟ ลอยกระทง โคมไฟ ซึ่งขัดกับความปลอดภัยของ คลังน้ำมัน ทุกปี ปตท.คงโดนมวลชน บีบจนต้องย้ายไปที่่อื่นๆ ยังมีคลังฯใกล้เคียงอีกแห่ง ที่่่ขอนแก่น และอุบลฯ ก็อีกไม่ช้าก็คงโดนเหมือนกัน ส่วนที่่โคราช โดนบีบปิดไปตั้งเกือบสิบปีแล้ว สำคัญที่่ สถานีเติมน้ำมันอากาศยาน อุดรฯ จะโดนปิดด้วยไหม การซ้อมรบ ใหญ่ๆระดับชาติ มีที่่นี่่บ่อย ถ้าโดนปิดไปด้วย คงต้องไปซ้อมที่่อื่นๆ คงยุ่งตายห่าน นะครับ ทำให้ภาคอิสานตอนบน ต้องมารับน้ำมันที่่ขอนแก่น และสระบุรี เท่านั้น คงไม่เดือนร้อน ถ้าเส้นทางรถยนต์ ไ่ม่โดนปิดไปซะอีก นะครับ แต่เรื่องราคา + ค่าขนส่ง จะเท่าเดิมไหม ผมไม่แ่น่ใจ นะครับ ครู.... จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:21:50

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วน..มีผู้หลังไมค์ มานานแล้ว ผมยังไม่ได้ตอบ(ลืม) ขออภัยนะครับ เรื่อง ยางมะตอย........ ทำไมถึง ยางมะตอย ไม่เรียก แอสฟอลต์ (asphalt) แฮ่ๆ ไปค้นมาให้ว่า ยางมะตอย คือ กากที่เหลือจากการกลั่นน้ำมัน  ทำให้มีลักษณะเหนียวหนืดดำๆ คนไทยเมื่อรู้จักใช้ยางมะตอยมาราดผิวถนน  เมื่อมีบริษัทของฝรั่งเศส เป็นตัวแทนจำหน่าย ชื่อว่า บริษัท Maltoy จำกัด เลยเรียกยางดำๆนี้ว่า ยางของ บ.มาตอย ต่อๆมาเลยเพี้ยนเป็น ยางมะตอย ครับ อิอิ ผมก็มั่วตอบได้แค่นี้ แต่ข้อมูลนี้เป็นความจริง ครับ จากคุณ : นายเก่าคนก่อน เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 12:39:55

ความคิดเห็นที่ 15 ขอบคุณหลายๆครับ อานาย ได้ความรู้อีกเพียบ จากคุณ : โบ๊บุ่ย เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 14:26:12

ความคิดเห็นที่ 16 ออกทะเลไปเที่ยวไกลมาก มาถึงบางจากแป๊บเดียว...ก็ไปอุดรซะอีกแล้ว ตามประสาคนเล่าเรื่องความหลัง... (ไม่ได้ว่าใครแก่นาคร้าบ...55555) แต่ถึงกระนั้น ก็ความรู้เพียบเลย ขอบคุณครับ ลุงอ่ำ เคยได้ยินว่า มีคนเคยเห็นโลมา ว่ายหลงเข้ามาโผล่ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ตรงแถวๆบางจาก และใกล้ๆสรรพาวุธบางนาครับ จากคุณ : ลุงอ่ำ เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 15:06:20

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ จขกท. ที่ตั้งคำถาม พลอยให้ได้ความรู้จากลุงนายเก่าฯไปด้วย ~ จากคุณ : ป้าหนาสองนิ้ว เขียนเมื่อ : วันแม่แห่งชาติ 55 15:08:25

ความคิดเห็นที่ 18 อานาย ฯ ออกตัวยังก๊ะอีตา บุญชู แน่ะฮะ (ทำเสียงยานคางไปด้วย) อยากฟังจริง ๆ เหรอ . . . ยาวน้า . . . แฮ่ . . . ขอบพระคุณ อานาย ฯ มาก จริง ๆ ครับ ได้ความรู้ใหม่ กระจ่างชัด รู้จริง แจ๋ว ๆ ๆ ๆ ๆ คร้าบ . . . ขอบคุณ คุณ โบ๊บุ่ย ด้วยครับ ที่กระตุ้นถาม อาท่าน จนพวกเราได้รับทราบเรื่อง ที่เพิ่มพูนความรู้มากมาย อย่างนี้. จากคุณ : พจนารถ๓๒๒ เขียนเมื่อ : 13 ส.ค. 55 16:51:47

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณจขกท.และพี่นายค่ะ อ่านสนุกได้ความรู้ดีเนอะ แต่ป้าจอยว่าน่าจะมีต่ออีกหน่อยน้า จากคุณ : ป้าจอยเอง เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 00:44:40

ความคิดเห็นที่ 20 ดูเหมือนจะยังไม่จบนะครับพี่นาย มาต่อด้วยครับ จากคุณ : พ่อ@LLถุง เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 16:11:59

ความคิดเห็นที่ 21 อานายครับ ภาค 1 จบตอน พ.ศ. 2508 เองหรือครับ มาต่อ ภาค 2 หน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับผม จากคุณ : โบ๊บุ่ย เขียนเมื่อ : 16 ส.ค. 55 16:27:15