ความคิดเห็นที่ 1 เช้าๆ ของวันเสาร์ วันแรกของเดือนกันยายน กระผมได้ไปยังจุดรวมพล ท่าราชวรดิฐ แถววัดพระแก้ว ตรงถนนท่าขุนนางแห่งนี้ เป็นที่รวมพลกัน ของบรรดา อาจารย์ นักวิชาการ ผู้นำชุมชนท้องถิ่น และนักเที่ยวท่องอย่างผม โดยที่คุณต่อ ได้กล่าวต้อนรับ และแนะนำ นาวาเอกเริงชัย นายทหารเรือ ผู้ได้อำนวยความสะดวกอย่างดียิ่ง ในการท่องเที่ยว เรียนรู้ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 03:28:09 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:02:43

ความคิดเห็นที่ 2 ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์ กว่าห้าสิบชีวิต ก็ได้ขึ้นเรือที่ท่าเรือของทางราชการแห่งนี้ เพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้าม จุดแรกที่ว่ากัน คือพระราชวังเดิม (พระราชวังกรุงธนบุรี) พูดกันภาษาชาวบ้าน ก็ บ้านของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ครับ ชื่อท่าเรือเดิม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:07:49

ความคิดเห็นที่ 3 ที่ตั้งของพระราชวังเดิม ก็คือ กองบัญชาการกองทัพเรือ ในปัจจุบัน หากนั่งเรือ ก็เลยวัดอรุณฯไป นิดสสส์ เดียว จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:09:30

ความคิดเห็นที่ 4 พระราชวังเดิม เป็นพระราชวังแห่งเดียวที่สร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน ในปี พอ ศอ 2311  ติดกับป้อมรบสมัยกรุงศรีอยุธยา พื้นที่ของป้อมวิไชยเยนทร์เดิม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:11:33

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อครั้ง รัชกาลที่ 1 สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ย้ายราชธานี ไปฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ และสร้างพระราชวังใหม่ ที่นี่จึงได้ชื่อว่า "พระราชวังเดิม" ฟังดูหากเป็นภาษาจีน เรียกว่า กู้กง 故宫ก็ได้เหมือนกัน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:14:24

ความคิดเห็นที่ 6 ในยุคตอนต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระราชวังเดิมนี้ ก็ตกเป็นที่ประทับของเจ้านายหลายพระองค์ตลอดมา จนกระทั่ง มาถึง รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทาน พระราชวังเดิมแห่งนี้ ให้แก่กองทัพเรือ   เพื่อให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:17:54

ความคิดเห็นที่ 7 โดยทรงขอให้รักษาซ่อมแซม สิ่งปลูกสร้างที่มีมาแต่เดิม ได้แก่ ท้องพระโรง พระตำหนักของสมเด็จพระปิ่นเกล้า จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:19:38

ความคิดเห็นที่ 8 รวมทั้ง ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และศาลศีรษะปลาวาฬ ในภาพนี้เป็นศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่ได้รับการบูรณะใหม่อีกครั้งในปี พอ ศอ 2541 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:21:17

ความคิดเห็นที่ 9 ภายในศาลศีรษะปลาวาฬ เป็นศาลที่จัดแสดงหัวปลาวาฬโบราณ ที่ถูกขุดค้นพบใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน (อยู่ติดกัน) อาคารนี้สร้างใหม่ครับ เมื่อสิบปีที่แล้ว คือปี 2542 แทนศาลเดิมที่ทรุดโทรม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:24:47

ความคิดเห็นที่ 10 บริเวณท้องพระโรงชั้นนอก จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:25:43

ความคิดเห็นที่ 11 ที่พระราชวังเดิมแห่งนี้ ได้รับรางวัลจากยูเนสโก สาขาการรักษาอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม เอเชีย แพซิฟิก เฮอริเทจ อวอร์ด เมื่อปี 2004 น่าภาคภูมิใจมาก จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:28:31

ความคิดเห็นที่ 12 ภายในท้องพระโรงแห่งนี้ มีระฆังจีนใบเขื่อง แขวนห้อยอยู่ เป็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวกระผม เร่งฝีเท้าเข้าไปชม เพราะทราบว่า จะได้ของดี จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:31:09

ความคิดเห็นที่ 13 เอกลักษณ์อย่างหนึ่ง ของคนจีน คือการจดบันทึกเรื่องราว ไม่ว่าเราจะไปที่วัดวาอาราม ศาลเจ้า เรื่องหนึ่งที่เป็นความวิเศษของคนจีน คือการจารึก บันทึก ประวัติศาสตร์หนหลัง ลงบนวัตถุที่มีความทนทาน เช่นระฆัง ศิลา เป็นต้น ที่บนพื้นผิวระฆังใบนี้ก็เช่นกันครับ ระบุว่า วัดซำป้อ ณ ตำบลห่อเซียน 河仙镇三宝佛寺 พระภิกษุอนัมนิกายชื่อว่า อิ้งเฉิง 印澄和尚 ร่วมกับบรรดาพุทธศาสนิกชนผู้มีศรัทธา ได้สร้างระฆังใบนี้ เพื่อเป็นกุศล บรรเทาเคราะห์กรรมที่มีทั้งในอดีตและปัจจุบัน ให้ได้ไปเกิดในดินแดนพุทธเกษตร จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:39:04

ความคิดเห็นที่ 14 อิ อิ อาจารย์ ดูดีๆ  มีกล้องวงจรปิดกระผมติดอยู่ สิบสองตัว ของเดิมสี่ มีข้าง ใน ขอรับ จากคุณ : ท่านขุนเดชา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:43:24

ความคิดเห็นที่ 15 โดยระบุปีการสร้าง สร้างในรัชศกปี เจียหลง อันเป็นปีแห่งกษัตริ์ยราชวงศ์เวียดนาม คือ 阮福映 ตรงกับ รัชศกเจียชิ่ง ของประเทศจีน เท่ากับปี พุทธศักราช 2359 จวบจน ปี 2467 ระฆังใบนี้ ซึ่งเดิมอยู่ที่วัดหงษ์รัตนาราม เจ้าอาวาส ก็ปุเลงๆนำระฆังจีน มาให้แก่ ผู้สำเร็จราชการ กระทรวงทหารเรือในสมัยนั้น เจ้ากระทรวงเห็นเป็นระฆังจีนๆ ก็นิมนต์ระฆัง มาไว้ที่พระราชวังเดิม แห่งนี้ ขออภัยรูปสลับกันกับความเห็นด้านบน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:46:29

ความคิดเห็นที่ 16 บังเอิญ ณ จังหวะนั้นเอง ที่ผมกำลังพิเคราะห์พิจารณาดูอักษรประวัติศาสตร์นี้ ก็มี บุคคลที่เป็นเรียกขานว่า อาจารย์ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่านหนึ่ง มาอธิบายเรื่องระฆังใบนี้ ให้คนฟังกัน เล่ากันว่า ระฆังใบนี้สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าตากสิน แถมมี เรื่องของวังหน้า เข้ามา ผสมเป็นเรื่องดราม่า ผสมกัน เป็นที่น่าฟัง คนก็ฟังกันอ้าปากหวอ อึ้งทึ่ง อึงมี่กัน ผมหล่ะอยากจะขัดคอ ให้เงาแวป เสียจริง ระฆังใบนี้สร้างหลังท่านสวรรคตไปกว่า สามสิบห้าปี ไม่มีการระบุอะไรที่เกี่ยวกับพระองค์ท่านเลย ประวัติศาสตร์หลายเรื่องมักถูกบิดเบือน โดยผู้ที่ไม่ทราบอักษรจีน แต่แค่กล่าวว่า   ก็ฟังเขามาอีกที แล้วมาเล่าสู่กันฟัง มันน่าเจ็บใจดีครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:52:37

ความคิดเห็นที่ 17 สวัสดีครับ ท่านขุนฯ ไปเซ็งลี้ขายค้าที่นี่ ก็ไม่บอก จะได้ขอเส้นสาย ถ่ายรูปให้ได้เยอะกว่านี้หน่อย จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:54:58

ความคิดเห็นที่ 18 มาว่ากันต่อ ถึงศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขอเล่าท้าวความว่า ทั้งตัวพิพิธภัณฑ์พระราชวังเดิม (ซึ่งภายในห้ามถ่ายรูป) และศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน เดิมชำรุดทรุดโทรมมาก ตราบจนในต้นปี 2540 ท่านคุณหญิงซึ่งเป็นภริยา ผบ ทร  ในสมัยนั้น (ขออภัยที่จำชื่อไม่ได้) ได้ดำริว่าต้องมาปรับปรุงให้สวยงาม สง่าสมกับเป็นหน้าตาของกองทัพเรือ ก็ได้แรงจาก ชาวจีน ที่ถือได้ว่าเป็น ลูกหลานเชื้อสาย สมเด็จพระเจ้าตากสิน คือแซ่แต้   โดยการนำของเจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 00:59:10

ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อปี พ ศ 2541 เจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ 郑午楼博士 ในวัย 85 ปี พร้อมกับคณะกรรมการสมาคมเตชะสัมพันธ์ ซึ่งถือเป็นลูกหลาน แซ่แต้ ขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน ได้ประกอบพิธีเปิดศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ณ พระราชวังวังเดิม ที่นี้ หลังจากได้ลงขันกันจำนวนเงินกว่าสิบล้านบาท ปรับปรุง พิพิธภัณฑ์วังเดิม แห่งนี้ เจ้าสัวอุเทน ได้บรรเลงอักษรพู่กันจีน เป็นคำกลอนคู่ couplet ภาษาจีนเรียกว่า ตุ้ยเลี้ยง เป็นความว่า 牧野鹰阳 三尺青霜开帝业               鼎湖龙去 千秋俎豆纪丰功 ความหมายในที่นี้ หมายถึง พระองค์ทรงถือพระแสง แชซึง ยาวสามเชียะ ปราบอริราชศัตรู กอบกู้บ้านเมือง สู่เอกราช แถวล่าง คือ แม้นว่ามหาราชผู้ยิ่งใหญ่ ได้สวรรคตไปแล้ว แต่พระเกียรติยศคุณความดีท่าน ยังคงเป็นที่ เชิดชู ให้ชนรุ่นหลังได้ถวายสักการะชั่วนิรันดร์ คำตุ้ยเลี้ยงนี้ ได้แกะสลักเสลา ลงบนไม้สัก ติดแผ่นทองที่อักษร ประดับไว้ในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งนี้ ผมเชื่อว่าน้อยคนจะได้รู้ เรื่องราวตรงนี้ เพราะผมไปถอดความมาจากบทความของจีนมา แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 12:06:59 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:01:37

ความคิดเห็นที่ 20 หากภัณฑารักษ์ ของพิพิธภัณฑ์พระราชวังเดิม ต้องการข้อมูล  ทั้งเรื่องราวบนอักษรจีน และเรื่องของระฆัง กระผมยินดีสาธยายให้ลึกซึ้งกว่านี้ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:02:57

ความคิดเห็นที่ 21 พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่ง ในหลวง รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ทรงเปิด เมื่อต้นปี 2541 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:07:16

ความคิดเห็นที่ 22 ความสง่างามภายใน พระราชวังเดิม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:09:40

ความคิดเห็นที่ 23 หลังจากชมภายในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเปี่ยมด้วยความรู้ด้านประวัติศาสตร์ งานศิลปะ คุณต่อ การท่องเที่ยว กทม ก็ได้พาเดินถัดไป มาชมเรื่องราวของ ป้อมบางกอก หรือป้อมวิไชยประสิทธิ์ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:11:49

ความคิดเห็นที่ 24 ป้อมวิไชยประสิทธิ์ สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เดิมชื่อ ป้อมบางกอก หรือ ป้อมวิไชยเยนทร์ ตั้งตามชื่อของเจ้าพระยาวิชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ชาวกรีกที่เป็นผู้กราบบังคมทูลให้สร้างป้อมแห่งนี้ เพื่อป้องกันเรือรบของฮอลันดา ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี ได้ทรงสร้างพระราชวังขึ้นบริเวณป้อมนี้ พร้อมกับปรับปรุงป้อมพระราชทานนามว่า "ป้อมวิไชยประสิทธ์" ภาพนี้ปีนขึ้นบนป้อม ถ่ายวิวเล่นๆ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:13:51

ความคิดเห็นที่ 25 สำหรับความหมาย คำว่า "หะเบสสมอ" ตามการจั่วหัวกระทู้ หะเบสสมอ เป็นคำภาษาจาม แปลว่า ถอนสมอเรือ ในศัพท์ทหารเรือไทยนั้น มีคำในภาษาจามปนอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง เนื่องจากสมัยโบราณนั้นทหารเรือมักจะเป็นชาวจาม ในสังกัดกรมอาสาจาม เพราะชาวจามมีความเชี่ยวชาญในการเดินเรือทะเลมาก ขอบพระคุณข้อมูล จากคุณต่อ และทุกท่านที่ติดตามชมครับ  ราตรีสวัสดิ์ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 03:28:58 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 01:18:06

ความคิดเห็นที่ 26 ลำดับถัดมา พวกเราได้นั่งเรือมายัง "ราชนาวิกสภา" อาคารแฝดสองชั้น ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามท่าราชวรดิฐ เป๊ะ ราชนาวิกสภานั้นอยู่ภายใต้ความดูแลของกองทัพเรือ เป็นสถาบันส่งเสริม องค์วิชาความรู้ วิชาการ ราชนาวี และยังเป็นที่มีตติ้งของบรรดาสมาชิก จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 03:44:12

ความคิดเห็นที่ 27 วิทยากรแห่ง ราชนาวิกสภา ท่านสุภาพสตรีได้นำพาพวกเราชม สถานที่ประวัติศาสตร์ และอู่ทหารเรือธนบุรี จุดแรกนี้ พระนิเวศน์ เป็นที่ประทับดั้งเดิมของพระยาจักรี ก่อนจะมาเป็น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 03:47:18 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 03:46:31

ความคิดเห็นที่ 28 แล้วเดินลัดเลาะ ทางพิเศษ นำไปยัง "อู่ทหารเรือธนบุรี" หรือกรมอู่ทหารเรือ   จุดแรกที่ได้พานพบ คือ อู่หมายเลข 2   อันมีเรือพระราชพิธี สำคัญ อยู่ 4 ลำ จอดลอยอยู่ ที่พอคุ้นกัน คือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และ เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 03:55:15

ความคิดเห็นที่ 29 ชมศีรษะเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ แบบชัดๆ ซึ่งอยู่ระหว่าง บำรุงรักษา ยังไม่เต็มยศ นะครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 04:04:54 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:04:09

ความคิดเห็นที่ 30 เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 เป็นเรือพระที่นั่งกิ่งประเภทเรือรูปสัตว์ หนึ่งในเรือพระราชพิธี ในกระบวนพยุหยาตราชลมารค จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาส พระราชพิธีกาญจนาภิเษก แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2539 โดย กองทัพเรือ ร่วมกับ กรมศิลปากร ได้นำ โขนเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่สร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 3 และ รัชกาลที่ 4 มาเป็นต้นแบบ โดยกองทัพเรือ สร้างในส่วนที่เป็นโครงสร้างเรือ พาย และคัดฉาก ส่วนกรมศิลปากร ดำเนินการในงานที่เกี่ยวกับ ศิลปกรรมของเรือทั้งหมด และที่เห็นเป็นพิเศษ มีเจาะช่องติดปืนไว้ใต้องค์ครุฑด้วย จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:06:32

ความคิดเห็นที่ 31 ตรงอู่หมายเลข สองนี้ มีพระอุโบสถ วัดวงศมูลวรวิหาร ที่ตั้งประจัญอยู่ วัดวงศมูลวรวิหาร เป็นวัดที่สร้างในสมัยต้นกรุงเทพ ฯ ที่ดินที่สร้าง วัดวงศมูล แต่เดิมเป็นพระนิวาสสถานเดิมของ พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ฯ แต่ครั้งยังดำรงพระยศ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ที่ดินที่สร้างวัดมีเขตติดต่อกับ อู่กำปั่นหลวง ซึ่งปัจจุบัน เหลือเพียงแต่ พระอุโบสถแห่งนี้ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 04:11:52 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:11:36

ความคิดเห็นที่ 32 อย่างที่กล่าวไว้ ว่าในปัจจุบันนี้ เหลือแต่อาคารที่เป็นพระอุโบสถ ที่ยังมีเขตวิสุงคามสีมา ไม่มีการถอดถอน ถึงแม้ว่าจะยุบวัดโดย ให้สงฆ์ ที่พรรษาอยู่ ณ วัดนี้ ไปสมทบจำพรรษาที่วัดอื่น ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๕๙ และก็อยู่ในความดูแลของกองทัพเรือมาตลอดจนทุกวันนี้ วัดวงศมูลนี้แต่เดิมเมื่อแรกสร้างหันหน้า พระอุโบสถทางทิศตะวันออก แต่ในปัจจุบันนี้ พระประธานที่ตั้งอยู่ได้ถูกย้ายมาตั้งชิดผนังด้านทิศใต้ ตอนช่วงหน้าต่างตรงช่องกลาง ด้านนี้จึงเหลือหน้าต่างสี่ช่อง และได้แก้ช่องหน้าต่างด้านทิศเหนือ ตอนช่องกลางเป็นประตูทางเข้า พระประธานที่ตั้งอยู่ชิดผนังด้านทิศใต้ จึงหันหน้าพระพักตร์ไปทิศเหนือ นับว่าเป็นวัดที่มีการตั้งพระประธาน แตกต่างกว่าวัดอื่น ๆ โดยทั่วไป แต่เดิมพระประธานก็ตั้งอยู่ทางหุ้มกลองด้านหลัง หันพระพักตร์ทางทิศตะวันออก ( หุ้มกลอง คือผนังด้านหน้าและด้านหลังพระอุโบสถ ) เล่ากันว่า เมื่อครั้งที่ กรมขุนธิเบศร์บวรทรงสร้างวัดนั้น พระอุโบสถหันไปทางพระตำหนักที่ประทับ ทำให้ไม่สบายพระองค์ประชวรอยู่เนื่อง ๆ จะเป็นการแก้เคล็ดหรือมีผู้ทูลทักท้วง จึงทำให้ต้องย้ายพระประธานในพระอุโบสถ และถือว่าพระอุโบสถหันหน้าไปทางทิศเหนือดังเช่นในปัจจุบัน Unseen มาก แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 04:17:53 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:17:21

ความคิดเห็นที่ 33 นอกจากนั้น ยังมีเรื่องอัศจรรย์ ภายในพระอุโบสถ นอกจากหลวงพ่อพระประธาน ที่ประดิษฐาน แปลกกว่าที่อื่น ยังมีพระบรมสารีริกธาตุ ที่แต่เดิมที อัญเชิญมาสักการะ เพียง สามองค์ ปัจจุบัน มีจำนวนเพิ่ม มาเป็นกว่า สามสิบองค์ หากท่านใดต้องการเข้าไปนมัสการ ก็เชิญติดต่อ บอกยามข้างหน้ากรมอู่ทหารเรือ ครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:22:52

ความคิดเห็นที่ 34 จากพระอุโบสถ อันซีนไทยแลนด์ ได้เดินต้อยๆตากแดด ไปยัง "พิพิธภัณฑ์อู่เรือหลวง" จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:24:51

ความคิดเห็นที่ 35 กรมอู่ทหารเรือ ได้จัดทำโครงการพิพิธภัณฑ์อู่เรือหลวงเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ขึ้น เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ และเผยแพร่พระอัจฉริยภาพ ด้านการต่อเรือในพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อเป็นศูนย์รวมองค์ความรู้ด้านการต่อเรือ และอุตสาหกรรมอู่เรือของ ประเทศ ตลอดจนเป็นการเผยแพร่ผลงานการต่อเรือ และงานช่างกรมอู่ทหารเรือที่ได้ร่วมกัน สร้างสรรค์จนเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังเป็นการบูรณะและอนุรักษ์อาคาร ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมสวยงามและเก่าแก่ใน พื้นที่กรมอู่ทหารเรือ ทั้งนี้ เพื่อสนองพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการพิพิธภัณฑ์เพื่อ ประโยชน์ต่อส่วนรวม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:27:33

ความคิดเห็นที่ 36 อาคารพิพิธภัณฑ์อู่เรือหลวง ตั้งอยู่ระหว่างอู่หมายเลข ๑ และอู่หมายเลข ๒ เป็นอาคาร ๒ ชั้น มีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบขนมปังขิง รอบอาคารประดับด้วยไม้ฉลุลายที่สวยงาม ตามหลักฐานที่ปรากฏอาคารนี้ สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยกรมอู่ทหารเรือ ได้เริ่มดำเนินโครงการนี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๑ เป็นต้นมา จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:28:46

ความคิดเห็นที่ 37 สัญญลักษณ์ ของที่นี่ และลายฉลุอันงดงาม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:29:32

ความคิดเห็นที่ 38 การจัดแสดงภายใน พิพิธภัณฑ์อู่เรือหลวงเฉลิมพระเกียรติ ฯ จัดแบ่งพื้นที่ตามการนำเสนอออกเป็นส่วนต่าง ๆ โดยเริ่มจาก "ราชนิเวศน์สู่อู่เรือหลวง" เป็นส่วนจัดแสดงประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ก่อนจะมีการสร้างอู่เรือหลวงขึ้น ในภาพ ท่านภัณฑารักษ์ คิวเรเตอร์ ของพิพิธภัณฑ์ ได้กรุณาอธิบาย อย่างดี จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:34:25

ความคิดเห็นที่ 39 ต่อเนื่องด้วย "จากอู่เรือหลวงสู่กรมอู่ทหารเรือ" เป็นส่วนอธิบายถึงความสำคัญของงานอู่เรือ กับการปกป้องอธิปไตยของชาติทางทะเล และความจำเป็นของการมีอู่เรือขนาดใหญ่ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:36:24

ความคิดเห็นที่ 40 โมเดล ของ กรมอู่ทหารเรือ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:36:55

ความคิดเห็นที่ 41 ภายในจัดแสดง พระอัจฉริยะภาพของในหลวง กับงานนาวิกสถาปัตย์ ภาพนี้ เป็นครุฑ ที่ยังหาที่มาที่ไปไม่ได้ หากใครทราบ แจ้งที่ภัณฑารักษ์ได้ เขาว่ามาอย่างนั้น จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:38:54

ความคิดเห็นที่ 42 นำรูปมาให้ชมพอหอมปากหอมคอครับ ท่านใดปรารถนาอยากเข้าเยี่ยมชม ต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้า ในวันเวลา ราชการ แจ้งไปยัง แผนกกิจการพลเรือน กองกำลังพล กรมอู่ทหารเรือ อย่างชิ้นนี้ เป็นจักรสำหรับเย็บงานหนัง ของทหารเรือ ยี่ห้อ  ซิงเกอร์ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 04:41:35 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:39:49

ความคิดเห็นที่ 43 จากนั้น พวกเราเดินทางออกมาด้านนอก ผ่านอู่หมายเลข หนึ่ง หรืออู่นอก อันเป็นอู่ที่มีขนาดใหญ่ ยาว 90 M Deep 4 M   สร้างเสร็จ เมื่อปี พ ศ 2449 นับเป็นอู่เรือแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทย ที่ได้ต่อเรือหลวง และเรือพระราชพิธี มาอย่างมากมาย จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 04:57:52

ความคิดเห็นที่ 44 ท่านวิทยากรได้เล่า ผมก็พอฟังเลาๆครับ เวลานำเรือเข้า มีวิธีกั้นน้ำ นำเอาหมอนไม้เหล่านี้ ไปเรียงที่พื้นอู่  หลังจากนั้น ปล่อยน้ำให้เต็มอู่ แล้วค่อยอัญเชิญ เรือเข้ามา   นักประดำตอนนี้ จะค่อยๆจัดระเบียบหมอนไม้ใต้น้ำ ให้ได้ที่ได้ทาง ด้านบนก็มีการดึงขึงเชือกกันพัลวัน พอทุกอย่างเป๊ะ ก็สูบน้ำออก โช๊ะ เรือก็ตั้งตรงบนหมอนไม้เหล่านี้ครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:00:35

ความคิดเห็นที่ 45 มีเรือพระราชพิธี จอดอยู่ ณ อู่นอก แห่งนี้ด้วย จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:01:19

ความคิดเห็นที่ 46 จากกรมอู่ทหารเรือ พวกเราทัวร์กันต่อ โดยการโดยสารเรือของทหาร ผ่านใต้สะพานพระปิ่นเกล้า ใครอย่าคิดว่า บนท้องถนนเท่านั้นที่มีการตรวจจับความเร็ว ในแม่น้ำ ก็มีเช่นกัน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:04:36

ความคิดเห็นที่ 47 ผ่านหน้า มธ คณะศิลปศาสตร์ ที่ ท่าพระจันทร์แห่งนี้   ผมเคยสอนอยู่ตึกนี้ชั้น สอง อยู่หลายปี ก่อนระเห็จ ไปศูนย์รังสิต ยังคงนึกถึงบรรยากาศที่แสนงดงามที่นี่ครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:06:03

ความคิดเห็นที่ 48 ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งเรือวิ่งผ่านโรงพยาบาลศิริราช ด้านเลี้ยวเข้าปากคลองบางกอกน้อย กระผม พลันรู้สึกปลาบปลื้ม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ขอให้พระองค์ทั้งสอง มีพระสุขภาพแข็งแรง พระชมมายุยิ่งยืนนาน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:07:55

ความคิดเห็นที่ 49 สักสิบนาที เห็นจะได้ ก็มาถึงที่นี่กันแล้ว "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี" จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:10:24

ความคิดเห็นที่ 50 หน้าสถานที่ เป็นมุมนี้ ต้องนั่งเรือ หรือว่ายน้ำถ่ายเอาเท่านั้น จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:11:05

ความคิดเห็นที่ 51 มาชมการฝึก ทหารในการพาย เรือพระราชพิธี โดยเฉพาะพระราชพิธี กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:15:02

ความคิดเห็นที่ 52 ท่านครูฝึกท่านนี้ อายุ 51 ปี ทำหน้าที่เป็น "ต้นบท" ได้สาธิต การร้องแบบ เห่เรือหลวง  ที่มีจังหวะการร้อง 3 ทำนอง เสียงท่านไพเราะ เสนาะโสต ได้รับเสียงปรบมือจากคณะผู้ชมอย่างกึกก้องครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:18:10

ความคิดเห็นที่ 53 จังหวะที่ว่านี้ ขึ้นอยู่กับว่า ต้องการให้ พลพาย  พายช้าหรือเร็ว อย่างตอนออกเรือ พายตามน้ำ ก็ใช้จังหวะ "ช้าลวะเห่" จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:19:48

ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อเรือจวนถึงที่ประทับ ก็ต้องใช้ทำนอง "สวะเห่" หากต้องการให้ พลพาย พายให้หนัก จังหวะเร็ว ก็ต้องใช้ทำนอง "มูลเห่" เหมือนติดเทอร์โบให้ อย่างไงอย่างง้าน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:22:25

ความคิดเห็นที่ 55 ผู้ที่เป็น "ต้นบท" เขาคัดเอาคนเสียงดี กังวาน และดังพอให้ได้ยินทั่วเรือ ท่านครูฝึกท่านนี้ เดิมเป็นพลพาย ผ่านงานพระราชพิธี มาตั้งแต่ครั้ง ฉลองกรุงสองร้อยปี 2525 จุดที่ฝึกกันนี้ เรียกว่า "เขียง" เพราะว่า กว่าจะฝึกฝนกันได้ สมัยก่อน โลว์เทค ใช้เวลากว่าแปดเดือน บนเขียงนี้ แต่ปัจจุบัน ค่อยยังชั่ว เหลือแค่หกเดือน แต่ก็ยังเป็น "เขียง" เพราะพลพาย ต้องโดน โขก สับ เละเป็นบ๊ะช่อ เหงื่อต้องไหลเป็นปี๊ปๆ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:25:48

ความคิดเห็นที่ 56 ตัวแทนจากคณะ อาจารย์จาก ม ศิลปากร มอบของที่ระลึกให้ท่านครูฝึก ด้วยความประทับใจอย่างยิ่ง จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:26:42

ความคิดเห็นที่ 57 ตกภาพ หลักฐาน  ที่ว่า เขียง  สำหรับ โขกสับ เรียกกันเช่นนี้จริงๆ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:30:35

ความคิดเห็นที่ 58 ที่สะดุดตา เห็นจะเป็นเรือแม่ศรีเมือง ตรงจุดนี้ ท่านครูฝึกได้เล่าให้ฟังก่อนร่ำลากันไป ว่าแม่ย่านาง ท่านนี้ ศักดิ์สิทธิ์ และเฮี้ยนกว่าท่านใด มักปรากฎกายในชุดสไบงามๆ มาเขย่าขวัญเล่น แต่มิได้มาหลอกให้กระเจิงอย่างไร ส่วนใหญ่ท่านจะนำโชค ถูกหวยกันเป็นประจำ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:33:22

ความคิดเห็นที่ 59 จุดสุดท้ายที่วันนี้จะไปกัน เป็นพระอารามชั้นโท ที่ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย เรียกว่า บ้านบุ "วัดสุวรรณารามราชวรวิหาร" ป้ายชื่อยังใช้ จังหวัดธนบุรี อยู่เลยครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:36:17

ความคิดเห็นที่ 60 วัดแห่งนี้เป็นที่สร้างขึ้นในกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดทอง ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นสถานที่ ซึ่งพระเจ้าตากสินทรงมีพระราชดำรัส ให้นำเชลยศึกพม่าจากค่ายบางแก้วไปประหารชีวิต ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ทั้งพระอาราม และพระราชทานนามว่า "วัดสุวรรณาราม จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:39:05

ความคิดเห็นที่ 61 ผมเมียงมองแรกๆ ก็นึกว่า เป็นวัดริมคลอง ดาษดื่นทั่วไป ยังมิได้เอะใจ คำว่า  ราชวรวิหาร พอเดินเข้าไปในพระอุโบสถ ถึงกับ ตะลึง นะจังงัง อยู่นาน ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นี่ เกรดเดียวกันกับ  "พระที่นั่งพุทไธศวรรย์" แห่งวังหน้า จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:42:51

ความคิดเห็นที่ 62 ไปสืบค้นประวัติดู จึงได้ทราบความว่า ในสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดสุวรรณาราม และให้ช่างเขียนภาพฝาผนังในพระอุโบสถด้วย มีงานของจิตรกรอย่าง หลวงวิจิตรเจษฎา(ทองอยู่) ผู้เขียนเนมีราชชาดก กับหลวงเสนีย์บริรักษ์(คงแป๊ะ) ผู้เขียนมโหสถชาดก ภายในพระอุโบสถ นอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ยังเป็นที่ประดิษฐานพระประธานซึ่งเป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย ฝีมือช่างเดียวกันกับพระศรีศากยมุนีที่วัดสุทัศน์ (ฝีมือช่างสุโขทัยมีนามว่า “ พระศาสดา”) สันนิษฐานว่าเป็นพระพุทธรูปที่เชิญมา ตั้งแต่กรุงสุโขทัย ในสมัยรัชกาลที่ 1 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:51:11

ความคิดเห็นที่ 63 พระศาสดา พระพุทธรูปพระประธานของพระอุโบสถ วัดสุวรรณารามฯ นอกจากงดงามมากแล้ว ยังเลื่องลือว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์มาก จึงมีคนมาบนบาน ติดสินบนท่านอยู่เนืองๆ เล่ากันว่า หลวงพ่อท่านจะชอบวิธีแก้บนแบบแปลกๆ ซึ่งมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ แก้บนด้วยการเขกหัวตัวเอง แก้บนด้วยการกลิ้งเป็นตุ๊กตาล้มลุก และการวิ่งม้าแก้บน ต้นตอที่มาของการ "วิ่งม้าแก้บน" มีเรื่องเล่าว่าในอดีตนับร้อยปีมาแล้ว เคยมีผู้พบเห็นม้าขาววิ่งรอบโบสถ์ในตอนกลางคืน จึงเชื่อว่าเป็นม้าที่หลวงพ่อศาสดาพระประธานท่านโปรด เมื่อบนบานสิ่งใด ชาวบ้านจึงต้องแก้บนด้วยการวิ่งม้า ที่เห็นในภาพ คือเด็กๆ ที่รับจ้างวิ่งม้า แก้บนครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 05:57:24

ความคิดเห็นที่ 64 วิ่งม้าแก้บนแต่เดิม มีม้าก้านกล้วยเป็นอุปกรณ์ประกอบ แต่ระยะหลังๆ เปลี่ยนมาใช้ผ้าขาวม้า (ของใหม่ที่ยังไม่เคยใช้สอยมาก่อน) กรรมวิธีก็คือ นำผ้าขาวม้าที่ขมวดปม (เป็นรูปศีรษะม้า) จนเสร็จสรรพ มาวางที่ใบเสมาแรก หน้าพระอุโบสถ เพื่อกราบไหว้บอกกล่าวต่อหลวงพ่อ จากนั้นก็ควั่นผ้าให้เป็นเกลียวแล้วขี่คร่อม จับปลายผ้าข้างหน้าและข้างหลังไว้ วิ่งไปรอบโบสถ์ (จำนวนขั้นต่ำสุดคือ 3 รอบ แต่จะมากกว่านั้นแค่ไหนก็ได้ไม่จำกัด) หลวงพ่อพระศาสดาท่านศักดิ์สิทธิ์ ในการบนบานเกี่ยวกับเรื่องไม่ให้จับโดนใบแดง ถูกเกณฑ์เป็นทหาร ครับ ภาพนี้ มือปืนรับจ้าง กำลังสาธิตให้ชมกัน     ฮี้ๆๆๆ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:00:01

ความคิดเห็นที่ 65 การแก้บนด้วย 2 วิธีแรก มักจะเกี่ยวข้องกับการขอให้หลวงพ่อช่วย ในเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจ หรือบนขอให้ฝนไปตกที่อื่น แก้บนเขกหัวตัวเอง คือ บนไว้เป็นจำนวนเท่าไร ก็ใช้มือเราเขกหัวเราให้ครบ แต่จะเจ็บจริง เล่ากันว่า ในขณะแก้บนจะรู้สึกเหมือนกับ มีใครมาช่วยจับมือ เพิ่มน้ำหนักการเขกให้รุนแรงหนักหน่วงเป็นพิเศษ ส่วนการกลิ้งตุ๊กตาล้มลุก ขั้นตอนปฏิบัติมีอยู่ว่า เริ่มต้นด้วยการนั่งชันเข่าต่อหน้าใบเสมา ด้านทางเข้าพระอุโบสถ เอามือทั้งสองข้างสอดไปกุมใต้ขา จากนั้นก็กลิ้งวนขวาไปหาซ้ายให้เป็นวงกลม บนไว้กี่รอบก็กลิ้งให้ครบตามจำนวน และถ้าจะให้ครึกครื้นเต็มยศชุดใหญ่ยิ่งขึ้น ผู้แก้บนอาจจะแต่งกายในชุดเด็กหัวจุก ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า การบนเขกหัวตัวเอง และกลิ้งตุ๊กตาล้มลุก จะค่อย ๆ สร่างซาหายไป เ นื่องจาก "ดูเหมือนง่าย แต่ยากลำบาก เจ็บเนื้อเจ็บตัวเกินไป" จึงไม่เป็นที่นิยมในหมู่นักบนบานศาลกล่าว หลงเหลือเพียงแค่ "วิ่งม้าแก้บน" ที่ยังพอให้เห็นอยู่ แต่หากไม่สะดวก ก็จ้างบรรดา มือปืนรับจ้าง วิ่งกันได้ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:03:07

ความคิดเห็นที่ 66 ชุมชนบริเวณวัดสุวรรณารามนี้ เรียกว่าบ้านบุ ครับ อยู่ริมคลองบางกอกน้อย ติดกับสำนักงานเขตบางกอกน้อย ชีวิตริมคลองที่นี่ยังธรรมชาติดีครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:07:49

ความคิดเห็นที่ 67 ที่บ้านบุนี้ ถือว่าเป็นแหล่งทำขันลงหินแห่งเดียวในประเทศไทย   การทำขันลงหินเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนอย่างหนึ่ง บ้านที่ทำขันลงหิน ซึ่งอยุ่ใกล้กันในละแวกนั้นมีกว่าร้อยครอบครัว เล่ากันว่า ครอบครัวทำขันลงหินนี้ต้นตระกูลสืบมาจากอยุธยา เมื่อกรุงแตกก็อพยพกันเป็นหมู่มา อยู่ที่บางลำภูเป็นแหล่งแรก แล้วย้ายมายังบ้านบุจนปัจจุบัน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:08:31

ความคิดเห็นที่ 68 หากข้อเขียน มีข้อผิดพลาดประการใด ขอเชิญท่านผู้รู้ ช่วยขัดเกลาให้เหมาะสมถูกต้องด้วย เพราะลำพังแค่ถ่ายรูป จดข้อมูลไม่ใคร่จะทัน จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:10:08

ความคิดเห็นที่ 69 ลากันด้วยภาพนี้ เหล่าหนูน้อย นักวิ่งแก้บน แห่งวัดสุวรรณาราม ขอบพระคุณครับ จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 06:11:18

ความคิดเห็นที่ 70 สวัสดีครับ ท่านอาจารย์ กระทู้ทรงคุณค่าอย่างนี้  ต้องโหวต และเก็บไว้ในคลังเลยครับ อยากให้สัก10 กิ๊ฟ แต่ขอประหยัดกิ๊ฟไว้ใช้ในงานสวนผึ้ง ละกันนะอาจารย์ อยากให้ป้าเยาว์ หรือ คุณณัฐ มาบน ไม่ให้ฝนตกทริปสวนผึ้งและทริปผ่านไปอย่างเรียบร้อย  วิ่งม้าสัก 3 รอบ ( ม้ารับจ้าง ) จะดีไหมเนี่ย.. จากคุณ : กอไผ่สีสุก เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 07:48:25

ความคิดเห็นที่ 71 สุดยอดดดด   ขอบคุณครับ หลายเรื่องที่เพิ่งได้รู้  จากกระทู้นี้เลยครับ จากคุณ : หน้าต่างไร้กลอน เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 07:54:00

ความคิดเห็นที่ 72 ตามมาชมเรื่องราวดีๆ ค่ะ เรื่องวิ่งแก้บน...ตอนนี้ แค่ให้ป้าเยาว์เดินทางตรงได้ในระยะไม่ไกลมาก ต้องลุ้นแล้วค่ะ... จากคุณ : @NBC เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 07:55:57

ความคิดเห็นที่ 73 ตามเรื่องราวจาก อ.เสลา ได้ความรู้มากมายครับ โดยเฉพาะด้านภาษาจีนที่ผู้ไม่ทราบ มักถูกบรรดาไกด์หลอกด้านข้อมูลมั่วๆ เป็นประจำ สำหรับอู่ซ่อมเรือหลวง นอกจากที่พระราชวังเดิมแล้ว ยังมีที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า และอู่ราชนาวีมหิดลอดุลยเดช ที่อ่าวแสมสาร สัตหีบ ที่มีขีดความสามารถซ่อมเรือหลวงขนาดใหญ่ เช่นเรือหลวงจักรีนฤเบศร์ เรือหลวงพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เรือหลวงพุทธเลิศหล้านภาลัย เรือหลวงสิมิลัน โดยไม่ต้องเดินทางไปซ่อมยังต่างประเทศให้สิ้นเปลืองงบประมาณแต่อย่างใด สำหรับอู่เรือหลวงพระราชพิธีนั้น ยังไม่เคยเข้าไปเยือนครับ ได้แต่ยืนมองจากฝั่งตรงข้ามที่ผมรู้จักคุ้นเคยมากกว่า ฮิ ฮิ จากคุณ : owl2 เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 08:49:00

ความคิดเห็นที่ 74 ขอบพระคุณ อาจารย์ เป็นอย่างสูง ในการแบ่งปันองค์ความรู้ และประสบการณ์อันทรงคุณค่ายิ่ง ร่วมโหวต และเก็บเข้าคลังกระทู้ค่ะ. จากคุณ : ทุ่งทอตะวัน เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 08:49:29

ความคิดเห็นที่ 75 ขอขอบคุณความรู้ที่ได้จากอาจารย์ครับ จากคุณ : ฝั่งหัวใจ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 08:57:39

ความคิดเห็นที่ 76 ขอบพระคุณอย่างสูงครับพี่เสลา ได้ความรู้และสนุกมากครับ ทำให้ย้อนหลังกลับไผเมื่อสมัยเด็กๆเลย ต้องหาเวลาไปชมด้วยสายตาจริงๆบ้างแล้ว จากคุณ : มัจฉา (chalor_a) เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 09:23:38

ความคิดเห็นที่ 77 ขอบคุณ อ.เสลา สำหรับเรื่องราวสาระดีๆที่มีมาตลอดๆ @70........คุณไผ่ อยู่ใต้ฟ้ากลัวอะไรกะฝน............เพื่อนๆบอกมา  กลุ่มนี้ไปใหน ฝนก็ห้ามไม่อยู่ จริงป่าว........(ว่าแต่....พระพิรุณเจ้าขา ขอโปรดหยุดทำงาน1วันเพื่อความบันเทิงของผองเพื่อนนะเจ้าคะ) จากคุณ : ณัฐ วัชรพล เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 09:43:36

ความคิดเห็นที่ 78 ขอบคุณอาจารย์มากๆนะคะ กระทู้อาจารย์น่าติดตามทุกครั้ง ไม่เคยผิดหวังเลยค่ะ จากคุณ : ข้าวสวยญี่ปุ่น เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 09:44:43

ความคิดเห็นที่ 79 ขอบคุณ กระทู้ สาระ ของอาจารย์ครับ ภาพสวย อ่านเพลิน เช่นเดิม       จากคุณ : พี่กี้ร์ เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 10:21:09

ความคิดเห็นที่ 80 สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นดิฉันต้องขอบคุณคุณเสลาและคณะของเครือข่ายการท่องเที่ยวภาคประชาคม และ สนงวัฒนธรรม กีฬา การท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร ที่ให้ความสนใจเข้าเยียมชมพระราชวังเดิม(เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กย.)โดยเฉพาะคุณเสลาที่ได้เขียนอธิบายหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับพระราชวังเดิม ซึ่งในกระทู้ที่ 12-16 ที่อธิบายถึงความเป็นมาเป็นไป และความหมายของตัวอักษรจีนที่สลักบนระฆังจีนได้อย่างละเอียดและถูกต้อง เพราะระฆังใบนี้ไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ เลย เพียงแต่เป็นระฆังที่ได้รับมาจากวัดหงสาราม (วัดหงส์รัตนาราม)ในสมัยรัชกาลที่ 6 และปัจจุบันตั้งอยู่ที่พระที่นั่งองค์ทิศเหนือของอาคารท้องพระโรง ในพระราชวังเดิม กองทัพเรือ ดิฉันในฐานะเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ (ในวันนั้นดิฉันทำหน้าที่เป็นผู้บรรยาย) ต้องขอขอบคุณคุณเสลาด้วยน่ะค่ะ แต่ยังมีบางกระทู้ที่ดิฉันขอแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องหน่อยน่ะค่ะ ได้แก่ 1. ในกระทู้ที่ 19 ที่ว่า "เมื่อปี พ ศ 2541 เจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์ 郑午楼博士 ในวัย 85 ปีพร้อมกับคณะกรรมการสมาคมเตชะสัมพันธ์ ซึ่งถือเป็นลูกหลาน แซ่แต้ ขององค์สมเด็จ พระเจ้าตากสินได้ประกอบพิธีเปิดศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ณ พระราชวังวังเดิม ที่นี้หลังจากได้ลงขันกัน จำนวนเงินกว่าสิบล้านบาทปรับปรุงพิพิธภัณฑ์วังเดิม แห่งนี้ รวมทั้งสร้างศาลฯ" นั้นคือคุณอุเทนได้บริจาคเงิน เพื่อร่วมบูรณะโบราณสถานในพระราชวังเดิมนั้นเป็นถูกต้อง แต่ไม่ได้เป็นผู้สร้างศาลเจ้าตาก เพราะศาลหลังนี้สร้าง ในช่วงที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมีกรมพระจักรพรรดิพงศ์เสด็จมาประทับที่พระราชวังเดิม (พ.ศ.2424-2443)ค่ะ 2.ในกระทู้ที่ 9 ที่ว่า "ภายในศาลศีรษะปลาวาฬเป็นศาลที่จัดแสดงหัวปลาวาฬโบราณที่ถูกขุดค้นพบใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน (อยู่ติดกัน)อาคารนี้สร้างใหม่ครับเมื่อสิบปีที่แล้ว คือปี 2542แทนศาลเดิมที่ทรุดโทรม" นั้นที่ถูกต้องคือ กะโหลกศีรษะปลาวาฬที่จัดแสดงในศาลศีรษะปลาวาฬนั้นไม่ได้ถูกขุดค้นพบที่ใต้ถุนศาลเจ้าตากฯ เพราะกระดูกดังกล่าวเป็นกระดูกของปลาวาฬที่มาตายเกยตื้น ณ หน้าท่าน้ำพระราชวังเดิมในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่ภายหลังเมื่อศาลหลังเดิมพังลงเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2443 นั้น มีคนเกรงว่ากระดูกปลาวาฬที่อยู่ในศาลดังกล่าวจะได้รับความเสียหาย จึงมีคนนำมาเก็บไว้ที่ใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ซึ่งภายหลังที่มูลนิธิฯ เข้ามาบูรณะพระราชวังเดิม และมีการสำรวจทางโบราณคดี จึงพบว่ากระดูกปลาวาฬที่ใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ส่วนตัวศาลศีรษะปลาวาฬหลังเดิมนั้นสร้างเมื่อไรไม่มีหลักฐานบันทึกไว้ รู้แต่ว่าศาลหลังเดิมได้พังลงเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2443(เป็นคืนที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์สิ้นพระชนม์)ต่อมา ในปี พ.ศ.2538 มูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมได้เข้ามาทำการสำรวจ และได้พบฐานอาคารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า บริเวณพื้นที่ที่อยู่ระหว่างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชและตำหนักเก๋งคู่หลังเล็ก เมื่อพิจารณาจากหลักฐานทางเอกสารประกอบแล้ว สันนิษฐานว่าเป็นซากของอาคารศาลศีรษะปลาวาฬเดิม ที่สร้างขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ก่อนรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวและได้พังลงในคืนวันที่ 11 เมษายน พ.ศ.2443 โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมของศาลศีรษะปลาวาฬหลังเดิมตามที่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นอาคารโถงแบบจีน ดังนั้นทางมูลนิธิอนุรักษ์โบราณสถานในพระราชวังเดิมได้ปรึกษากับกรมศิลปากร และเห็นชอบให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2542 บนฐานของศาลหลังเดิมที่ได้ขุดพบเพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกระดูกศีรษะปลาวาฬค่ะ จากคุณ : เหน่ง เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 11:23:23 A:101.109.177.96 X: TicketID:373665

ความคิดเห็นที่ 81 ก่อนอื่น ขอขอบพระคุณ คุณเหน่ง อย่างยิ่งครับ ที่ได้ให้การต้อนรับ ในวันนั้นอย่างอบอุ่น เรียนตามตรง ผมเองก็มิค่อยได้ฟังอะไรมาก เนื่องจากต้องเที่ยวถ่ายรูปครับ ในเรื่องของข้อมูลต่างๆนั้น ในกระทู้ที่ 19 ผมได้แปลถอดความจาก เอกสารจีน ที่ ดร ต้วนลี่เซิงได้บันทึกไว้ หากเพราะสับเพร่าไปเขียนเองว่า "สร้างศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน" ทั้งที่จริงก็ทราบความอยู่ว่า ศาลนี้มีมานานแล้ว เดี๋ยวกระผมจะแก้ไขให้   ต้องขออภัยครับ ส่วนความเห็นในกระทู้ที่ 9  เรื่องศีรษะปลาวาฬ ผมได้ซื้อหนังสือ "พระราชวังเดิม" ที่วางจำหน่ายในท้องพระโรงด้านนอก อาจจะอ่านแล้วตนเองไม่เข้าใจ หรือ สื่อความหมายผิด เขียนดังนี้ครับ                     (  ศาลศีรษะปลาวาฬ     ศาลศีรษะปลาวาฬหลังปัจจุบันเป็นอาคารที่สร้างขึ้นในปี พ ศ 2542 บนฐาน ของศาลหลังเดิมที่ได้ขุดพบ เพื่อใช้เป็นที่จัดแสดงกะโหลกศีรษะปลาวาฬโบราณ ที่พบใต้ถุนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช .................................. .......................................................................................  ) มาชมบทแปลอังกฤษครับ                              WHALE HEAD SHRINE     The present shrine is a building constructed in 1999 on the base of the old shrine and is used to house the relics of whale bones found below King Taksin s Shrine during recent restorations. ............................................................................ ตรงนี้ ผมอาจจะสื่อผิด ก็ได้ หรือ หนังสือ เขียนแล้ว ชวนให้อ่านแล้ว ไขว้เขว ก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม  ข้อมูลที่ คุณเหน่ง ได้แจ้งใน กระทู้ ด้านบนนี้ นับเป็นประโยชน์ยิ่ง และจักได้เข้าใจกันถูกต้อง ขอขอบพระคุณอีกครั้งครับ แก้ไขเมื่อ 04 ก.ย. 55 12:25:06 จากคุณ : นายเสลา เขียนเมื่อ : 4 ก.ย. 55 12:03:56