|
ภาพหัวกระทู้ พ่อพระพุทธเจ้า พระเจ้าสุทโธทนะ แม่พระพุทธเจ้า พระนางสิริมหามายา
ภาพคห.๑ เทพเจ้าทุกชั้นฟ้า เทวดาทุกระดับชั้น(มี๖ชั้น) ท้าวมหาพรหม หัวหน้าของพรหมทั้งหมด พระโพธิสัตว์ ในที่นี้หมายถึงผู้รอมาเป็นพระพุทธเจ้าที่สวรรค์ชั้นที่๔ ท้าวสันดุสิต พระโพธิสัตว์ที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในคราวนี้ ดุสิต สวรรค์ชั้นที่๔ในจำนวน๖ชั้น
ภาพคห.๒ จุติ ตาย(จากภพภูมินั้น) ปฏิสนธิ เกิด(ในภพภูมิต่างๆ) สุบินนิมิต ฝัน เศวตหัตถี ชื่อของช้างประเภทหนึ่ง ปุณฑริก(ปุน-ทะ-ริ-กา) ดอกบัวขาวตระกูลบัวหลวง (ดอกสีแดงเรียกปัทมา) ปทุมชาติ บัวหลวง เสาวคนธ์ ของหอม เครื่องหอม โกญจนาท เสียงช้างร้องด้วยความกึกก้อง กนกวิมาน วิมานที่สร้างด้วยทองคำล้วนๆ ทำประทักษิณ การเวียนขวาแสดงความเคารพ อุทร ท้อง
ภาพคห.๓ ประสูติ การเกิด
ภาพคห.๔ พราหมณ์ พราหมณนั้นเป็นวรรณะหนึ่งในสี่วรรณะของสังคม อินเดีย เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ ฆราวาส (อ่านว่า คะราวาด) นัยแรกแปลว่า การอยู่ครองเรือน, การอยู่ในเรือน, การเป็นอยู่แบบชาวบ้าน นัยที่สองแปลว่า ผู้ครองเรือน, ผู้อยู่ในเรือน ได้แก่ชาว บ้านทั่วไปที่มิใช่นักบวช เป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่า คฤหัสถ์ มหาจักพรรดิ์ จักพรรดิ์มีอำนาจเหนือกษัตริย์ มีอำนาจครอบครองโลก แต่นี้เหนือกว่าเพราะมีคำว่ามหานำอยู่ข้างหน้า
บรรพชา บรรพชา (อ่านว่าบันพะชา, บับพะชา) (บาลี: ปพฺพชฺช; สันสกฤต: ปฺรวฺรชฺย) แปลว่า การงดเว้นจากความชั่ว หมายถึงการบวชเป็นนักบวช เดิมคำว่า "บรรพชา" ใช้ หมายถึงบวชเป็นนักบวชทั่วไป เช่น เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกบรรพชา สาวกบรรพชา และเรียก นักบวชเช่นนั้นว่า บรรพชิต แต่ในสมัยปัจจุบัน คำนี้ใช้ เรียกเฉพาะการบวชเป็นสามเณรเท่านั้น ส่วนการบวชภิกษุเรียกว่าอุปสมบท
พระศาสดา ผู้เป็นต้นเรื่องในการเกิดศาสนา หมายถึงพระพุทธเจ้า ผนวช หมายถึงถือเพศเป็นภิกษุสามเณรหรือนักพรตนักบวชใน ศาสนาอื่นๆ บรรลุโพธิสมภาณ หลุดพ้นจากกิเลสและตัณหาเป็นพระสัมมาสัม พระพุทธเจ้า สิทธัตถะ ความหมายสองนัย นัยหนึ่งหมายความว่า ผู้ทรง ปรารถนาสิ่งใดจะสำเร็จสิ่งนั้นดังพระประสงค์ อีกนัย หนึ่งหมายความว่าพระโอรสพระองค์แรกสมดังที่พระราช บิดาทรงปรารถนา แปลให้เป็นเข้าสำนวณไทย ใน ภาษาสามัญก็ว่า ได้ลูกชายคนแรก สมตามที่ต้องการ
ภาพคห.๕ ยิ้มเพราะคิดว่าตัวเองเกิดเร็วไป หัวเราะเพราะคิดว่าตัวเองแก่เกินไป ร้องไห้เพราะรู้ว่าตนจะตายเสียก่อนจะมีพระพุทธเจ้าในคราวครั้งนี้
ภาพคห.๖ ปฐมฌาน การฝึกให้ได้ฌานในรูปาวจรกุศลจิตมี๕ขั้น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ปัญจมฌาน มีองค์ฌานคือวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา (อุเบกขาเอกัคคตา) ๑วิตก จิตกำหนดนึกคิด โดยกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ว่าหายใจเข้าหรือออก ถ้าใช้คำภาวนา ก็รู้ว่าเราภาวนาอยู่ คือภาวนาไว้มิให้ขาดสาย ถ้าเพ่งกสิณ ก็กำหนดจับภาพ กสิณอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้เรียกว่าวิตก ๒วิจาร ถ้ากำหนดลมหายใจ ก็ใคร่ครวญกำหนดรู้ไว้เสมอว่า เราหายใจเข้าหรือ หายใจออก หายใจเข้าออกยาว หรือสั้น หายใจเบา หรือแรง ในวิสุทธิมรรคท่านให้รู้กำหนด ลมสามฐานคือ หายใจเข้าลมกระทบจมูก กระทบอก กระทบศูนย์เหนือสะดือนิดหน่อย หายใจ ออกลมกระทบศูนย์ กระทบอกกระทบจมูกหรือริมฝีปาก ถ้าภาวนา ก็กำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราภาวนาถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ประการ ใด ถ้าเพ่งภาพกสิณ ก็กำหนดหมายภาพกสิณว่า เราเพ่งกสิณอะไร มีสีสัน วรรณะเป็นอย่างไร ภาพกสิณเคลื่อนหรือคงสภาพ สีของกสิณเปลี่ยนแปลงไป หรือคงเดิม ภาพที่เห็นอยู่นั้นเป็นภาพกสิณที่เราต้องการ หรือ ภาพหลอนสอด แทรกเข้ามา ภาพกสิณเล็กหรือใหญ่ สูงหรือต่ำ ดังนี้เป็นต้น อย่างนี้เรียกว่า วิจาร ๓ปีติ ความชุ่มชื่นเบิกบานใจ มีเป็นปกติ ๔ความสุขเยือกเย็น เป็นความสุขทางกายอย่างประณีต ซึ่งไม่เคยมีมาใน กาลก่อน ๕เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง คือ ตั้งมั่นอยู่ในองค์ทั้ง ๔ ประการนั้น ไม่คลาดเคลื่อน (๖) อุเบกขา ความรู้สึกเฉยๆในอารมณ์ที่มากระทบ ปฐมฌาน หรือ ปฐมสมาบัตินี้ เมื่อขณะทรงสมาธิอยู่นั้น หูยังได้ยินเสียงภายนอกทุกอย่าง แต่ว่าอารมณ์ภาวนา หรือรักษาอารมณ์ไม่คลาดเคลื่อน ไม่รำคาญในเสียง เสียงก็ได้ยินแต่จิตก็ทำงานเป็นปกติ อย่างนี้ท่านเรียกว่า ปฐมฌาน คือ อารมณ์เพ่งอยู่ โดยไม่รำคาญ ในเสียงทรงความเป็นหนึ่งไว้ได้ ท่านกล่าวว่า กายกับ จิตเริ่มแยกตัว กันเล็กน้อย แล้วตามปกติจิตย่อมสนใจในเรื่องของกาย เช่นหูได้ยินเสียง จิตก็คิดอะไรไม่ออกเพราะรำคาญในเสียง แต่พอจิตเข้าระดับปฐมฌาน กลับเฉยเมย ต่อเสียงคิดคำนึงถึงอารมณ์กรรมฐานได้เป็นปกติที่ท่านเรียกว่า ปฐมสมาบัติ ก็ เพราะ อารมณ์สมาธิเข้าถึงเกณฑ์ของปฐมฌานที่จิตกับกายเริ่มแยกทางกันบ้างเล็กน้อย แล้วนั่นเอง (หลานเขาอาจมีบุญเก่าครับถ้าเขาสนใจอ่านและทำความเข้าใจ)
แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 55 17:18:48
แก้ไขเมื่อ 19 ต.ค. 55 16:54:28
จากคุณ |
:
ชัดเจนน้องนาง
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ต.ค. 55 16:42:54
|
|
|
|
|