ความคิดเห็นที่ 6
ภาคจบครับคุณยายศรีครับ  การปลูกเลี้ยง การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ให้ได้ผลดีจำเป็นต้องพิจารณาและเลือกใช้ปัจจัยหลัก 4 อย่างคือ 1. วัสดุก่อสร้าง 2. ภาชนะปลูก 3. น้ำ 4. แร่ธาตุอาหาร ให้เหมาะสมกับชนิดของกล้วยไม้ แหล่งที่ปลูก ฤดูกาล ระยะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากนี้ควรตรวจดูต้นกล้วยไม้ทุก 1-2 วันว่า ต้นกล้วยไม้แสดงอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง จึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ทัน ความรู้และประสบการณ์จากการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้มาหลายปี จะบอกได้เป็นอย่างดีว่าควรจะใช้ปัจจัยเหล่านี้อย่างไร ในบทนี้จะอธิบายถึงการเลือกใช้ปัจจัยแต่ละอย่าง ซึ่งได้อ้างอิงมาจากความรู้ทางวิชาการจากเอกสารต่างๆ ประสบการณ์จากการปลูกเลี้ยงและวิจัยของผู้เขียนและจากผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ที่มีความคิดก้าวหน้าหลายรายที่ทำการปรับเปลี่ยนแปลงการปลูกเลี้ยงให้ทันสมัยกับยุคโลกาภิวัฒน์ ดังนั้นจึงหวังว่าผู้อ่านจะประสบความสำเร็จในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยไม่ต้องลองผิดลองถูกให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ข้อสำคัญที่จะต้องคำนึงถึงคือ ผู้ปลูกเลี้ยงจะต้องมีเวลาให้กับกล้วยไม้อย่างพอเพียงโดยอย่างน้อยต้องรดน้ำวันละ 1 ครั้ง มีการใส่ปุ๋ยและใช้สารเคมีปราบศัตรูกล้วยไม้บ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จึงจะสามารถปลูกเลี้ยงกล้วยไม้ให้เจริญเติบโตได้ดี วัสดุปลูกและภาชนะปลูกกล้วยไม้ วัสดุปลูก (media) และภาชนะปลูก (containers) กล้วยไม้มีความจำเป็นสำหรับใช้ห่อหุ้มส่วนของรากและมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโดของระบบราก รากทำหน้าที่ลำเลียงน้ำและแร่ธาติ (translocation) ไปยังส่วนของลำต้นเพื่อให้ต้นเจริญเติบโตและพัฒนาออกดอกและให้ผล (ฝัก) นอกจากนี้กล้วยไม้ประเภทรากอากาศและกึ่งอากาศ (epiphyte) มีหน้าที่ที่แตกต่างจากพืชอื่นๆ กล่าวคือเซลล์รากกล้วยไม้มีคลอโรฟิลล์ (chlorophylls) จึงสามารถสร้างอาหารเองได้โดยวิธีการสังเคราะห์ด้วยแสง (photosynthesis) อาหารที่รากสร้างขึ้นจะนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ (metabolism) ในส่วนของรากเองและส่วนอื่นๆ ที่ไม่มีการสังเคราะห์ด้วยแสง วัสดุปลูกหรือเครื่องปลูกมีหน้าที่ให้รากเกาะยึดเพื่อให้ลำต้นตั้งตรง ไม่โดนเอนหรือล้ม วัสดุปลูกมีหน้าที่สำหรับเก็บความชื้นและธาตุอาหารเพื่อให้รากดูดไปใช้ ขณะเดียวกันวัสดุปลูกก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศรอบๆ ระบบราก การพิจารณาเลือกวัสดุปลูก ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติดังนี้ 1. ช่วยให้ระบบรากและต้นกล้วยไม้เจริญงอกงามดี 2. หาได้ง่าย 3. ราคาไม่แพง 4. ทนทานไม่ย่อยสลายเร็วเกินไป 5. ปราศจากสารพิษเจือปน 6. สะดวกต่อการใช้ปลูก ชนิดและคุณสมบัติของวัสดุปลูกที่ใช้ต้องคำนึงถึงลักษณะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้ ซึ่งลักษณะการเจริญเติบโตของต้นกล้วยไม้สามารถจัดแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. กล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศ (epiphytes) กล้วยไม้ประเภทนี้ต้องการวัสดุปลูกที่มีการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำที่ดี โดยเฉพาะกล้วยไม้รากอากาศซึ่งมีรากขนาดใหญ่ ได้แก่ กล้วยไม้สกุลแวนด้า (Vanda spp.) สกุลช้าง (Rhynchostylis spp.) สกุลเข็ม (Ascocentrum spp.) สกุลกุหลาบ (Aerides spp.) ฯลฯ กล้วยไม้พวกนี้ต้องการการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำที่ดีมาก กล่าวคือ ขนาดวัสดุปลูกต้องมีขนาดใหญ่และไม่อุ้มน้ำมากนัก และถ้าสามารถรดน้ำได้บ่อยๆ หรือบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นสูงพอก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่วัสดุปลูก วัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ ได้แก่ 1.1 ออสมันด้า เป็นรากเฟิร์นสกุลออสมันด้า (Osmunda spp.) มีลักษณะเป็นเส้นฝอย (fiber) มีข้อดีคือ มีการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำดีมากแม้ว่าจะอัดแน่น จึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำมากเกินไป เก็บน้ำได้ดีประมาณ 140% ของน้ำหนักตัวเอง มีธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบซึ่งรากกล้วยไม้สามารถจะดูดไปใช้ได้และมีน้ำหนักเบา จึงสะดวกในการเคลื่อนย้ายแต่มีข้อเสียคือ หาได้ยาก ราคาแพง และใช้งานยาก เนื่องจากต้องตัดแยกเสียเวลานาน ออสมันด้าใช้ได้ดีกับกล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศทุกชนิด แต่เนื่องจากมีราคาแพงมากจึงมักนิยมใช้กับกล้วยไม้ที่มีราคาแพงและต้นกล้าของกล้วยไม้รากอากาศซึ่งรากมีขนาดใหญ่และต้องการการถ่ายเทอากาศและการระบายน้ำที่ดี 1.2 ถ่าน เป็นวัสดุปลูกที่ได้จากการเผาไม้เนื้อแข็งมีธาตุคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ ไม่มีแร่ธาติอื่นๆ เมื่อนำมาใช้เป็นวัดสุปลูกจึงจำเป็นต้องใส่ปุ๋ยให้ครบถ้วน ถ่านไม่ย่อยสลาย มีน้ำหนักเบา ไม่มีปัญหาเรื่องรดน้ำเนื่องจากมีการระบายน้ำดี ถ่านเป็นวัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของรากและต้นกล้วยไม้รองจากออสมันด้า แต่มีข้อที่ดีกว่าคือ ราคาไม่แพงนักและสะดวกในการใช้ปลูก ถ่านที่ใช้ควรจะนำมาทุบให้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 0.5-2 ซม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของรากถ้ารากมีขนาดเล็กก็ใช้ถ่านที่มีขนาดเล็ก 1.3 กาบมะพร้าว เป็นวัสดุปลูกที่มีราคาถูกและหาได้ง่าย จึงนิยมใช้ในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้เป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะเพื่อการค้า ข้อเสียของกาบมะพร้าวคือ ถ้ารดน้ำมากเกินไปกาบมะพร้าวจะอุ้มน้ำไว้มาก และอาจทำให้รากเน่าได้ง่าย นอกจากนี้กาบมะพร้าวย่อยสลายเร็วจึงต้องเปลี่ยนวัสดุปลูกบ่อยๆ การปลูกด้วยกาบมะพร้าวสามารถตัดขนาดต่างๆ ได้ตามต้องการ จึงไม่จำเป็นต้องใส่ในภาชนะปลูกอีกทีหนึ่ง รูปร่างและขนาดของกาบมะพร้าวที่ใช้มีดังนี้ - ลูกอัดกาบมะพร้าวขนาดประมาณ 1 นิ้ว ใช้ปลูกลูกกล้วยไม้ที่เพิ่งเอาออกจากขวดหรือจากกระถางหมู่
- ลูกอัดกาบมะพร้าวขนาดประมาณ 4 นิ้ว และใช้ลวดรัดไว้กับต้นที่โตพร้อมจะออกดอกหรือาจจะใส่ลงกระถางขนาด 4 นิ้ว อีกทีหนึ่ง - กาบมะพร้าว ใช้วางบนโต๊ะแล้วนำต้นกล้วยไม้วางข้างบนอาจจะเจาะรูบนกาบมะพร้าวเพื่อฝังต้นไม่ให้ล้มหรือใช้ไม้ไผ่ขนาดเล็กปักเป็นหลัก หรือใช้เชือก ลวดหรือสายโทรศัพท์ ขึงเป็นแนวยาวตามความยาวแล้วใช้ลดรัดต้นกับเชือก วิธีนี้มักใช้ในการปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สกุลหวายเพื่อตัดดอก - กะบะกาบมะพร้าวขนาด 24x32 ตร.ซม. ใช้กับต้นที่โตพอสมควรแต่ละกะบะจะปลูกได้ 4-5 ต้น แล้ววางกะบะลงบนโต๊ะให้แต่ละกะบะมีระยะห่างพอสมควร วิธีนี้ใช้ในการปลูกกล้วยไม้สกุลหวายเพื่อตัดดอก 1.4 อิฐหักหรือกระถางแตก เก็บความชื้นได้ดี ไม่ย่อยสลายแต่มีน้ำหนักมาก ทำให้ใช้แรงงานมากในการปลูกและการเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ถ้าตั้งต้นกล้วยไม้บนโต๊ะหรือแขวนบนราว โครงสร้างของโต๊ะที่วางหรือราวที่ใช้แขวนต้องมีความแข็งแรงมากกว่าการใช้ออสมันด้าหรือถ่าน ซึ่งทำให้ต้นทุนโครงสร้างสูงขึ้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องตะไคร่น้ำขึ้นที่ผิววัสดุและรากกล้วยไม้ ถ้าบริเวณที่ปลูกมีความชื้นสูงมากทำให้ประสิทธิภาพการสังเคราะห์ด้วยแสงของรากลดลง กล้วยไม้จะเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นวัดุปลูกพวกนี้จึงมักใช้กับกล้วยไม้ที่ตั้งอยู่บนพื้นดินเห็นแปลงใหญ่เพื่อช่วยระบายน้ำ 1.5 โฟม เป็นวัสดุเหลือใช้ที่ใช้ห่อหุ้มสินค้า ตัดให้มีขนาดพอเหมาะแล้วใส่ในกระถางแทนวัสดุปลูกอื่นๆ มีผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้คือคุณบัญชาและคุณดำรง หงส์แสนยาธรรม ที่สวนกล้วยไม้อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ได้ทดลองใช้โฟมเป็นวัสดุปลูก และปรากฏผลว่าการเจริญเติบโตไม่แตกต่างจากการใช้วัสดุปลูกอื่น ข้อดีของโฟมคือ มีน้ำหนักเบา ไม่อุ้มน้ำแต่ช่องว่างระหว่างก้อนโฟมสามารถเก็บความชื้นได้ดี มีความยืดหยุ่นทำทำให้ยึดต้นได้ดีไม่โอนเอน และรากสามารถแทงผ่านก้อนโฟมได้ นอกจากนี้มีราคาถูกมากหรือเป็นวัสดุเหลือใช้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและช่วยลดปริมาณขยะจากโฟม 2. กล้วยไม้ดิน (terrestrials) พบขึ้นอยู่ตามพื้นดินที่ปกคลุมด้วยอินทรียวัตถุ (organic matter) ดังนั้น วัสดุปลูกที่ใช้จึงควรมีส่วนประกอบคือ ดินร่วนผสมปุ๋ยอินทรีย์และอาจมีถ่านหรืออิฐหักปนบ้างเพื่อให้มีการระบายน้ำที่ดีขึ้น ภาชนะปลูกกล้วยไม้ควรจะมีขนาดเหมาะสมกับต้นกล้วยไม้กล่าวคือ ถ้าต้นมีขนาดเล็กก็ต้องใช้ภาชนะขนาดเล็ก ถ้าใช้ภาชนะที่ใหญ่เกินไปต้นจะเน่าแฉะได้ง่ายเนื่องจากการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศไม่ดี นอกจากนี้ถ้าปลูกต้นเล็กในภาชนะขนาดเล็กจะออกดอกเร็วกกว่าการปลูกในภาชนะขนาดใหญ่ หลังจากปลูกเลี้ยงกล้วยไม้หลายๆ ปี ควรจะเปลี่ยนวัสดุปลูกและภาชนะปลูกใหม่ เนื่องจากต้นกล้วยไม้อาจจะเจริญเติบโตล้นภาชนะปลูกออกมาหรือวัสดุปลูกเก่าผุมีตะไคร่ขึ้น ทำให้สะสมโรคและแมลง ต้นกล้วยไม้จะเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร ถ้าได้มีการเปลี่ยนภาชนะปลูกใหม่จะเจริญเติบโตดีขึ้น สำหรับกล้วยไม้สกุลแวนด้า สกุลช้างและสกุลผาแลน๊อปซิส ไม่ควรตัดรากเก่าและไม่ทำรากหัก เพราะจะ
ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต ดังนั้นกล้วยไม้กลุ่มนี้จึงไม่ควรเปลี่ยนกระถาง แต่ควรใส่ภาชนะปลูกเก่าซ้อนลงในภาชนะปลูกใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ชนิดของภาชนะปลูก จำแนกได้ดังนี้ 1. ปลูกเลี้ยงแบบธรรมชาติ กล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศสามารถปลูกโดยมัดรากให้เกาะกับเปลือกท่อนไม้ หรือใช้หมากฝรั่งที่รับประทานแล้วติดลำต้นกับเปลือกท่อนไม้ซึ่งสะดวกและอยู่ได้อย่างถาวร กิ่งหรือลำต้นหลังจากปลูกต้องรดน้ำให้ชื้นเสมอหรือปลูกในช่วงฤดูฝน เพียง 2-3 เดือนรากก็จะเจริญยืดยาวไปตามเปลือกไม้เกาะยึดแน่น จากนั้นจึงเอาเชือกหรือลวดที่รัดรากไว้ออก สำหรับกล้วยไม้และเกาะยึดแน่น จากนั้นจึงเอาเชือกหรือลวดที่รัดรากไว้ออก สำหรับกล้วยไม้ดินก็สามารถปลูกในแปลงดินได้แต่ต้องดูแลเรื่องการระบายน้ำและสามารถควบคุมการให้น้ำได้ เนื่องจากในช่วงพักตัวจะไม่ต้องการน้ำ 2. กระเช้าไม้ ควรใช้กระเช้าไม้สักเนื่องจากมีความคงทนกว่าไม้ชนิดอื่นขนาดของกระเช้าควรเลือกให้เหมาะสมกับขนาดของต้น กระเช้าไม้เหมาะสำหรับกล้วยไม้รากอากาศ เนื่องจากมีความโปร่งจึงระบายน้ำและถ่ายเทอากาศดี อาจใช้ถ่านทุบใส่เป็นวัสดุปลูกเพื่อเก็บความชื้น แต่ถ้าบริเวณที่ปลูกเลี้ยงมีความชื้นเพียงพอ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใส่วัสดุปลูก ส่วนกล้วยไม้รากอากาศเช่น สกุลหวาย (Dendrobium spp.) ประเภทแคทลียา (Cattleya alliance) และสกุลออนซิเดียม (Oncidium spp.) สามารถปลูกในกระเช้าไม้ได้เช่นกัน แต่ต้องมีถ่านทุบใส่เพื่อช่วยเก็บรักษาความชื้นบริเวณราก ในปัจจุบันมีการผลิตกระเช้าพลาสติกที่มีสีสันให้เลือกหลายสี มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับกระเช้าไม้ ซึ่งก็สามารถใช้เป็นภาชนะปลูกได้ดี แต่ความคงทนขึ้นอยู่กับคุณภาพของพลาสติก 3. กระถางดินเผา กระถางที่ใช้กับกล้วยไม้รากอากาศและกึ่งอากาศจะมีการเจาะรูด้านล่างและด้านข้าง เพื่อการระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศรอบๆ วัสดุปลูก ขนาดของกระถางที่ใช้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 1 ½ นิ้ว, 2 นิ้ว, 3 นิ้ว, 4 นิ้ว, 5 นิ้ว และใหญ่กว่านี้ นอกจากนี้ยังมีกระถางทรงสูงและทรงเตี้ย วัสดุปลูกที่นิยมใช้กับกระถางดินเผาที่ใช้ปลูกต้นไม้ทั่วๆ ไป ซึ่งกระถางจะเจาะรูระบายน้ำเฉพาะที่ก้นกระถาง ในปัจจุบันมีการผลิตกระถางพลาสติกที่มีสีสันให้เลือกหลายสี มีรูปร่างและขนาดใกล้เคียงกับกระถางดินเผา ซึ่งสามารถใช้เป็นภาชนะปลูกได้ดี แต่ความคงทนขึ้นอยู่กับคุณภาพของพลาสติก 4. กาบมะพร้าว จากที่กล่าวมาข้างต้น กาบมะพร้าวสามารถนำมาใช้เป็นภาชนะปลูกได้หลายรูปแบบ โดยตัดเป็นรูปต่างๆ ตามความต้องการหรืออาจจะใช้ลูกมะพร้าวทั้งลูก 
จากคุณ :
นายเมฆนรก
- [
15 ก.พ. 49 16:37:58
]
|
|
|