ความคิดเห็นที่ 1 ตื่นเช้ามาอากาศมัวซัวเพราะฝนมันตกมาตั้งแต่เมื่อวาน มองไปที่หลังบ้านเห็นแต่หมอกคลุมหนาไปหมด น่ากลับไปนอนต่อจริงๆ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 วันไหนที่อากาศอึมครึมแบบนี้ ชวนให้แม่น้องไทคิดถึงข้าวสวยร้อนๆ ปลาทูสดทอด ผักต้มผักสดจานใหญ่ๆบวกสะตอสดของโปรด แล้วก้อนํ้าพริกกะปิหรือนํ้าบูดูทรงเครื่องอีกซักถ้วยนึง โอ๊ย มื้อเย็นยามฝนๆนี่ไม่ีมีอะไรอร่อยกว่านี้อีกแล้วเนอะ กินได้เป็นกาละมัง ธรรมเนียมฝรั่งเองก้อมีอาหารชวนกินยามฝนตกเหมือนกัน เจอวันฝนตกพรําๆแบบนี้ทีไร มื้อเที่ยงง่ายๆเลยก้อซุปร้อนๆถ้วยนึง แซนวิชร้อนซักคู่นึง ประมาณพวกTomato Soup & Grill Cheese Sandwich นั่นแหละค่ะ ซุปพวกนี้เราเปิดกระป๋องเอาได้ มันสะดวกดี ส่วนแซนวิชนี่ทําง่ายสุดๆ ขนมปังทาเนยเข้าที่ด้านนึง เอาไปจี่บนกะทะเปล่าไม่ต้องใส่นํ้ามันอะไรทั้งสิ้นซะ วางแผ่นชีสชนิดที่ชอบกินลงไปบนแผ่นขนมปัง บางทีเราก้อมีจี่แฮมวางลงไปด้วย พอจี่จนได้ที่แล้วก้อประกบกันเข้าก้อได้แซนวิชอร่อยๆแล้ว มีญาติฝรั่งอยู่คนนึง เค้าคุยถึงลูกสาวด้วยความเอ็นดูว่า ตอนลูกอายุราวๆสิบสามสิบสี่ ยังไม่เคยเข้าครัวเลย พอพ่อแม่ไม่อยู่บ้าน ลูกโทรไปถามว่า แม่ๆจะทําแซนวิชกิน ต้องทาเนยที่ข้างไหนของแผ่นขนมปังเหรอ แม่น้องไทฟังเสร็จ แทบสําลักกาแฟออกมา **เออ ให้มันได้ยังงี้เด๊ะ** จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:35:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ในความเห็นส่วนตัวของแม่น้องไท การทําอาหารเป็นเรื่องที่มีทั้งง่ายและยากอยู่ในตัว แต่เป็นสิ่งสําคัญที่ทุกๆคนทั้งหญิงและชายควรจะหัดให้เป็นซะ อย่างน้อยของทําง่ายๆต้องหัดให้เป็น นี่ไม่ใช่่เฉพาะแค่สําหรับเพื่อการมาอยู่ต่างแดนอย่างเดียว แต่สําหรับโลกปัจจุบันที่เราต้องพึ่งพาตัวเองในเรื่องสุขภาพ ความปลอดภัย ความสะอาดของการกินอยู่ด้วย หลายต่อหลายคนที่เคยถามไถ่มาว่า จะมาเรียนต่ออเมริกา ต้องหิ้วอะไรมาบ้าง ส่วนใหญ่จะเจอแม่น้องไทตอบไปว่า เธอเอาฝีมือมาเถอะ นอกนั้นไม่มีปัญหา มันหากันได้ สําหรับน้องๆที่เตรียมตัวว่าจะมาเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา แล้วกลัวว่าจะขาดแคลนเรื่องอาหารการกิน แม่น้องไทขอแนะนําเลยว่า หัดทํากับข้าวซะ ไม่ต้องถึงกับไปเข้าโรงเรียนเรียนทําอาหารที่มันวิลิสมาหราหรอก แต่หัดทําของโปรดของตัวเองที่แม่ตัวหรือแม่ครัวทําให้กินที่บ้านน่ะค่ะ หรือไม่อีกทีครูพักลักจําเอาจากพ่อค้าแม่ค้าที่ผัดอาหารตามสั่งน่ะค่ะ ง่ายที่สุดเลย จดจําดูวิธีการและขั้นตอนมาซะ  พอมาอยู่ต่างแดน วันไหนอยากเปรี้ยวอยากหวานขึ้นมา ก้อจะแปลงวัตถุดิบในท้องถิ่นกันได้ รสชาติที่ได้ถ้าไม่ใช่ก้อใกล้เคียงแหละ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:36:44 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนอีกเหตุผลนึงที่บอกให้เอาฝีมือมานั้น เนื่องจากประสบการณ์ในการอยู่ต่างแดน ได้พูดคุยกับฝรั่งบ่อยๆ แม่น้องไทจับได้ว่า เมื่อไหร่ที่ฝรั่งที่รู้จักคุ้นเคยกับอาหารไทยรู้ว่าเราเป็นคนไทยปุ๊บ ในสายตาเค้า เค้าจะใ้ห้เครดิตพิเศษกับการทําอาหารของชาติเราด้วยความชื่นชมขึ้นไปเลยทันที เพราะอาหารไทยนี่ขึ้นชื่อลือชาว่า มีเอกลักษณ์ในเรื่องกลิ่น รสชาติ และความซับซ้อนของสมุนไพรที่ใช้เป็นส่วนประกอบ จริงๆนี่ ตัวเราเองจะทําอาหารอร่อยหรือไม่อร่อยไม่รู้แหละนะ แต่ในเมื่อเราในฐานะคนไทยต่างแดน เอาเครดิตตรงนี้มาเรียบร้อยแล้ว ถ้าเราเอาฝีมือติดตัวมาบ้าง ก้อพอช่วยให้กู้หน้าตัวเองและไม่ทําให้ขายหน้าประเทศชาติไปได้อยู่ ปู่กับย่าของน้องไทจัดว่าเป็นคนที่ทําอาหารฝรั่งเก่งทั้งคู่ เป็นคนที่รู้จักประยุกต์การใช้เครื่องเทศหลายอย่างมาปรุงให้อาหารอร่อยแปลกใหม่ เค้าเคยเอ่ยปากกับแม่น้องไทว่า **เวลาจะมากินข้าวบ้านยูทีไร พวกชั้นตื่นเต้นทุกทีเพราะไม่รู้ว่างวดนี้จะไ้ด้กินอะไรแปลกๆอีก Thai food is so sophisticated.** รสชาติอาหารไทยไม่เร้าใจได้เหรอ เที่ยวก่อนโน้นกินผัดกะเพราไก่ไข่ดาวราดข้าว เที่ยวถัดมากินซุปไก่ใส่มันฝรั่งบีบมะนาวโรยหอมแดงเจียวเสียบตามด้วยพริกแห้งทอด น้องๆซุปหางวัวนั่นแหละ ถัดมาก้อเป็นยําวุ้นเส้นใส่ไข่เจียวหั่นฝอยกับเห็ดหูหนูโรยด้วยถั่วลิสงคั่ว ปู่ย่าถึงกับนั่งเพ่งว่าไอ้หูดําๆนั่นตัวอะไร แม่น้องไทบอกว่า Fungus จ้ะ ปู่ย่าก้อพยักหน้าหงึกหงักเอาเข้าปาก บอกว่าอื้อหือ อร่อย ถัดมาอีกกินข้าวทอดแหนมคลุกแกล้มพริกทอดเคียงกับผักเยอะๆ ต่อมาก้อเป็นข้าวคลุกกะปิเคียงด้วยแอปเปิ้ลเขียวซอย อ้าว ก้อไม่มีมะม่วงดิบนี่นา ต้องแปลงผลไม้ท้องถิ่นมาใช้กันไปตามเรื่องตามราว แล้วก้อมาเล่นกันที่ลาบไก่งวงใส่ข่า ใช้อกไก่งวงมาทําอร่อยที่สุด แต่โดยธรรมชาติเนื้อไก่งวงนี่มันสาบหน่อย ถึงจะเอาไปย่างให้เลือดมันหยดออกไปเพื่อลดความสาบมั่งแล้วก้อตาม ก้อยังมีรสสาบติดเนื้ออยู่ ถ้าเราใส่ข่าสดที่เราคนไทยรู้จักมักคุ้นกันดี เดินตลาดซื้อหามาทํากับข้าวกันประจําอยู่แล้วลงไปผสมด้วย มันจะช่วยดับกลิ่นสาบของไอ้ไก่เวรนี้ให้ หั่นให้เป็นลักษณะลูกเต๋าเล็กๆใส่ผสมคลุกเคล้าไปในลาบนั่นแหละ ตักกินแต่ละคําจะมีรสร้อนแรงของข่าผสมผสานไปในเนื้อลาบ ปู่ย่าของน้องไทถึงกับเปิดหนังสือพจนานุกรมสมุนไำพรหารูปมาศึกษาทันทีเลยว่า ข่าหรือกาแลงก้า(Galanga)นี่มันรูปร่างเป็นยังไง ถึงได้เพิ่มชีวิตชีวาให้กับอาหารได้แบบนี้ ลองสิ ของยังงี้ต้องลองทําถึงจะรู้ ทําลาบไก่หรือไก่งวงแบบไม่ใส่ข่า กินเทียบกับจานที่ใส่ข่าสดอย่างที่แม่น้องไทบอก โดยที่รสชาติอื่นดีคงตัวแล้ว ข่าสดกรุบๆช่วยปลุกให้รสชาติของลาบไก่เด้งดึ๋งห่างกันเป็นช่วงตัวเลยค่ะ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:40:16 ]

ความคิดเห็นที่ 5 บางทีแม่น้องไทเกิดอาการจวนตัว หัวตื้อเรื่องเมนูขึ้นมา ก้อลักไก่เล่นอะไรง่ายๆเหมือนกัน เอาตระกูลข้า่วผัดมาเล่น ผัดแกงเขียวหวานไก่แห้งโปะๆกลบๆด้วยใบโหระพามั่ง ผัดข้าวผัดพริกขิงโรยๆใบมะกรูดจากกระถางประจําตระกูลมั่ง ผัดนํ้าพริกกะปิใส่สะตอหมูสับกับกุ้งของทางใต้มั่ง ซึ่งเมนูสุดท้ายนี้แม้เราต้องแปลงมาใช้ถั่วฝรั่งซอยใส่แทนวิญญาณสะตอก้อจริง แต่เราตํานํ้าพริกกะปิแบบคงรสชาติของความจัดจ้านเอาไว้ ผลสุดท้ายออกมาอร่อยใกล้เคียงกันแหละค่ะ สุดท้าย ยามหมดมุขจริงๆค่อยหันมาแปลงต้มยําหลายๆแบบให้กินซะ ต้มยํา่แบบไทยๆไม่ใส่นํ้าพริกเผามั่ง แบบใส่นํ้าพริกเผาแต่ทําแบบนํ้าใสมั่ง หรือไม่ก้อแบบใส่นํ้าพริกเผาใส่นมสดมั่งไปตามเรื่องตามราว รสชาติอาหารไทยที่มันแตกแขนงออกมาได้หลากหลายนั้น เป็นเพราะเราคนไทยรู้จักการใช้สมุนไพรมาปรุงอาหารกัน หลักการมันสิงสู่อยู่ในชีวิตประจําวันของเราอยู่แล้ว อาหารไทยแต่ละจานจึงมีชีวิตชีวา จัดจ้าน กลมกล่อม ลงตัว และมีเอกลักษณ์ที่ไม่ธรรมดา ดังนั้น พวกกระเทียม หอม ขิง ข่า ใบโหระพา ใบกะเพรา ใบแมงลัก ใบมะกรูด ดอกจันทร์ ใบกระวาน อบเชย ลูกผักชีอะไรทั้งหลายแหล่พวกนี้ หัดรู้จักเอาไว้ไม่เสียหลายหรอก รับรองในชีวิตได้ดึงออกมาใช้บริการแน่ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:41:10 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ถ้าจํากันได้ถึงกระทู้เก่าที่แม่น้องไทเคยเปิดครัวในบ้านให้ดูกัน จะเห็นเครื่องดูดควันอันใหญ่ของแม่น้องไทใช่ไหม เครื่องนี้แหละที่สร้างเรื่องขําๆให้เกิดขึ้นที่หน้าบ้าน กล่าวคือ ช่วงเย็นๆจะมีกลุ่มคนมาเดินออกกําลังกาย แล้วชอบมาหยุดยืนจับกลุ่มคุยกันเยื้องๆหน้าบ้านแม่น้องไท ใหม่ๆเราไม่รู้ว่ามาคุยอะไรกันนักหนา ทีหลังมา ถึงได้มารู้ว่า อ้อ เค้ามายืนอิ่มทิพย์กัน รอสูดกลิ่นกับข้าวไทยที่ลอยออกมาจากเครื่องดูดควันอันใหญ่ที่ว่านี่แหละ สูดไปยืนทายกันไปว่าวันนี้บ้านนี้ทําอะไรกินนะ บางคนที่คุ้นเคยกันหน่อย ทักทายกันหลายหนเข้า แม่น้องไทก้อแบ่งอาหารไทยไปให้กินกัน วันก่อนแม่น้องไทแบ่งหมูปิ้งนมสดพร้อมนํ้าจิ้วแจ่วไปให้สองบ้าน ขาที่เค้าเอาจานมาส่งคืน บ้านนึงเมียอบคุ๊กกี้เต็มจานตอบแทนมาให้ แล้วเล่าให้พ่อน้องไทฟังว่า ยุ่งแล้วเธอ ผัวชั้นเค้าชอบหมูปิ้งอันนี้มากๆเลยอ่ะ วันก่อนรํ่าร้องว่าจะกินอีก สั่งให้ชั้นทําให้กินหน่อย ชั้นบอกว่า เฮ้ย ทําไม่เป็น กินมักกะโรนีกับชีสแทนไ้ด้ไหมอ่ะ เฮ้ย มีหงุดหงิดว่ะ สั่งให้ชั้นมาขอหัดเรียนทํากับข้าวไทยซะ ส่วนอีกบ้านนึง แม่น้องไทไปเจอกับเค้าที่ลู่วิ่งออกกําลังกาย เมียเข้ามาขอบคุณที่เอาข้าวเหนียวหมูปิ้งไปให้ บอกว่า หูยย  อร่อยสุดๆ แล้วเค้าก้อถามแบบเกรงใจว่า เนี่ยชั้นอยากจะทําอะไรตอบแทนไปให้นะ แต่ชั้นล่ะกลัวว่ายูจะนึกว่าชั้นดูถูก ชั้นแค่ย่างฮอทดอกเป็น ยูกินไหมอ่ะ ตกเย็น ฝั่งผัวจูงหมาออกมาเดินเล่น พร้อมกับเอาจานมาคืนให้ เค้าติดอกติดใจกับนํ้าจิ้มแจ่วมาก เลยมานั่งซักสูตรจากแม่น้องไทว่า นํ้าจิ้มนี้ทํายังไงเหรอ มันเปรี้ยวแบบกลมกล่อมมีเอกลักษณ์นะเนี่ย แล้วกลิ่นไหม้ๆหอมๆ (smoky) ที่แฝงมาในนํ้าจิ้มนี่มาจากชิ้นส่วนอะไรเหรอ แหม๊ คําถามยังงี้ต้องตอบยาว ขนาดมะขามสด ฝรั่งยังหน้ามึนตาใสไม่รู้จัก แล้วจะรู้จักนํ้ามะขามเปียกได้ยังไงว๊า แล้วไหนจะข้าวคั่ว ตามด้วยนํ้าตาลปี๊บอีก ท่าทางคงต้องอธิบายกันเมื่อยมือเลย แม่น้องไทเลยนัดแนะกับเค้าไปว่า ไว้ถึงคราวทําเมนูนี้อีกในงวดหน้า จะโทรไปเรียกมาดูขั้นตอนการทําซะ จะว่าไป นอกจากอาหารไทยที่มีรสชาติขึ้นชื่อไปทั่วโลกแล้ว เมืองไทยยังได้ชื่อว่าเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในโลกแถมราคาถูกอีก  ฝรั่งที่เคยไปเที่ยวเมืองไทยจะพูดถึงตรงนี้ด้วยความชื่นชมกันทุกคนไป เพราะอาหารการกินของบ้านเมืองเค้าแพงหูฉี่จนจะมากินทิ้งกินขว้างกันไม่ได้เลย โดยเฉพาะอาหารสด ผักสด และผลไม้สดนี่แพงยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น บางบ้านร้อยวันพันปีกินแต่ผักผลไม้แช่แข็งหรือกระป๋องด้วยซํ้า เพราะราคามันถูกกว่ากันมากมาย จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:48:38 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ครอบครัวฝรั่งอเมริกันส่วนใหญ่จะมีตู้แช่แข็งไว้อีกตู้นึงต่างหากจากตู้เย็นในบ้าน ถ้าไม่วางอยู่ตรงมุมในโรงรถก้อจะตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ถุนในบ้าน ดั้งเดิมมานี่เค้าเอาไว้แช่แข็งพวกเนื้อวัว ฝรั่งโดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกหลายคน เค้าจะไม่ซื้อหาเนื้อสดๆตามร้านซุปเปอร์มาร์เก็ตเพราะมันแพง เค้าจะค่อยๆเจียดเงินมาเก็บนิดเก็บหน่อยทั้งปีเพื่อเตรียมไปล้มวัวเป็นเสบียงเนื้อของบ้าน บางบ้านลูกเยอะหน่อยก้อล้มวัวตัวนึง บางบ้านเอาแค่ครึ่งตัวหรือหนึ่งในสี่ของวัว คือไปขอแชร์กับครอบครัวอื่นซะ การล้มวัวแบบนี้คิดออกมาแล้วเนื้อที่ได้ต่อกิโลจะถูกกว่าการซื้อตามร้านเยอะอยู่เหมือนกัน เรียกว่าถูกมากกว่า่ครึ่งต่อครึ่งไปเลย เพียงแต่จะได้เนื้อทุกส่วนหลากหลายกลับมา เลือกไม่ได้ว่าขอแค่ส่วนสเต๊กอย่างเดียวนะ ซี่โครงไม่เอา เนื้อมันๆไม่เอา เพราะนี่คือการล้มวัวเป็นตัวๆ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 วิธีการล้มวัวที่สะดวกที่สุดก้อคือ ไปจ้างคนตัดเนื้อขาย(Butcher)ให้ล้มวัวให้ แค่บอกไปว่าตัวเองต้องการตัวนึง(Whole) หรือครึ่งตัว(Half) หรือขาเดียว(Quarter) วัวมันมีสี่ขา ไม่ว่าจะขอแชร์เนื้อแค่ขาเดียว ก้อจะได้เนื้อทุกส่วนครอบคลุมเหมือนๆการสั่งครึ่งตัวหรือทั้งตัวแหละค่ะ คนแล่เนื้อนี้เค้าทําเป็นอาชีพเค้าอยู่แล้ว มีใบอนุญาตถูกต้องตามกฏหมาย วิธีการ สถานที่ มีดไม้อุปกรณ์ต่างๆ ก้อเป็นไปตามหลักการกฏหมายของเค้า พอบอกปริมาณที่จะเอาไปเสร็จ คนตัดเนื้อจะนัดแนะให้ว่าวันไหนให้มาเอา พอเค้าล้มวัวเสร็จ เค้าจะชําแหละชิ้นส่วนต่างๆออกมา ห่อกระดาษไขหนาๆที่ใช้สําหรับห่อเนื้อ ลักษณะของกระดาษนี้ คล้ายๆกับกระดาษห่อข้าวมันไก่บ้านเรานั่นแหละ ข้างนอกเป็นกระดาษสีนวลๆ ข้างในเป็นไขๆลื่นๆมันๆ กระดาษนี้ เค้าใช้ห่อเนื้อวัวสําหรับเก็บแช่ในช่องแข็งได้นานๆ โดยที่เนื้อไม่แห้ง คนขายเนื้อจะจัดห่อเป็นแพ็คเล็กๆแบบห่อละปอนด์สองปอนด์มาให้เรียบร้อยเลย ทุำกห่อจะมีเขียนสีเมจิกเอาไว้หน้าห่อให้ว่า เป็นเนื้อส่วนไหน แฮมเบอร์เกอร์ สเต๊ก เนื้อส่วนที่เอาไปอบ เนื้อเหนียวๆทําสตู หรือเป็นเนื้่อซี่โครง ถ้าเป็นกลุ่มเนื้อสเต๊ก คนแล่เนื้อก้อจะตัดสเต๊กมาเป็นชิ้นๆขนาดพร้อมย่างกินคนเดียวให้เรียบร้อยหมด จะแยกห่อเสร็จสรรพ มีการเขียนกํากับด้วยตัวย่อที่หน้าห่อให้ว่าเป็นเนื้อสเต๊กส่วนไหน ราวด์อาย ริบอาย ฟิลามิยอง ทีโบน นิวยอร์ค พอร์ตเตอร์เฮ้าส์หรือว่าอะไรก้อแล้วแต่ แค่เอาออกมาละลายนํ้าแข็ง ก้อเข้าเตาย่างกินได้เลย เนื้อบางส่วนที่เป็นเนื้อส่วนเลวคือมีมันเยอะหน่อย คนแล่เนื้อก้อมีการเอาไปทําไส้กรอกมาให้ด้วยเรียบร้อย แล้วแต่การตกลงกันในตอนต้นน่ะค่ะ เนื้อที่ได้กลับมาเป็นสิบๆร้อยๆห่อนี่แหละ ที่ฝรั่งเค้าเอามาวางเรียงเก็บไว้ในตู้แช่แข็งในบ้านเอาไว้เป็นเสบียงอาหารกินของครอบครัวไปทีละครึ่งปีหรือทั้งปี เหลือการไปตลาดประจําอาทิตย์แค่ซื้อพวกนม ไข่ ผัก เครื่องกระป๋อง ของแห้ง หรือของกินเล่นนิดๆหน่อยๆเท่านั้น แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 50 19:56:08 จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:54:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ครอบครัวที่เค้ามีการแช่แข็งเนื้อ เพื่อเก็บไว้กินทีละนานๆแบบนี้ เค้าจะใช้ตู้แช่แข็งแบบที่ไม่มีการละลายนํ้าแข็งในตัว ตู้แช่แข็งแบบไม่ละลายนํ้าแข็งในตัวนี้จะมีอยู่ 2 แบบ หนึ่ง ตู้แช่แข็งที่เรียกว่า Deep Freezer หรือ Chest Freezer ลักษณะเป็นเหมือนตู้แช่แข็งไอติมน่ะค่ะ คือสูงแค่เอว เปิดยกฝาขึ้นมา ข้าวของทุกอย่างเก็บในถัง เวลาจะหยิบหาของต้องโน้มตัวลงตํ่ารื้อหา เปรียบเทียบขนาดคิวบิคกันแล้ว ตู้แช่แข็งแบบนี้ราคาถูกที่สุด จัดของให้เป็นระเบียบยากที่สุด หาของยากที่สุด เพราะมันไม่ค่อยมีชั้นแยกให้เห็นตรงหน้าเป็นสัดเป็นส่วน รื้อๆหยิบๆไปสองสามทีข้าวของมันจะปนๆกันไปหมด เห็นแล้วอารมณ์เสียสุดๆเหมือนกัน จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:54:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สอง ตู้แช่แข็งแบบที่เรียกว่า Upright Freezer ชนิด Manual Defrost ตู้แบบนี้ลักษณะรูปทรงตั้งขึ้นเหมือนตู้เย็นในบ้านเราๆนี่แหละ ชั้นวางของมันเรียงเหมือนตู้เย็นธรรมดา ทุกอย่างอยู่ตรงหน้าหมด การจัดวางของก้อย่อมเป็นระเบียบได้ง่ายกว่า และหาของได้ง่ายกว่ากัน ตู้่แบบไม่ละลายนํ้าแข็งในตัวนี้ สังเกตได้ง่ายตรงที่ว่า ชั้นวางของแต่ละอันจะเป็นเหมือนขดลวด ราคาของตู้ก้อจะถูกกว่าแบบที่มีการละลายนํ้าแข็งให้ ตู้แช่แข็งทั้งสองแบบที่แม่น้องไทกล่าวมานี้ เหมาะสําหรับการเก็บของแบบนานๆเป็นปีๆ ของไม่เสียเพราะความเย็นจัดถึงตลอด ไม่มีอากาศหมุนเวียนเพื่อละลายนํ้าแข็งในตู้แต่อย่างใด ทําให้ประหยัดไฟกว่ากันครึ่งๆ แต่ข้อเสียของมันก้อคือ ขาดตรงความสะดวกในเรื่องการละลายนํ้าแข็ง  ใช้ๆไปนํ้าแข็งมันจะเกาะตามชั้น ปีสองปีทีเราต้องหาคูลเลอร์ใส่นํ้าแข็งให้พร้อม แล้วถ่ายเทข้าวของออกมาจากตู้แช่แข็งซะเพื่อจัดการละลายนํ้าแข็งในตู้ เป็นอะไรที่เสียเวลายุ่งยากไปเป็นวันๆน่ะค่ะกว่าที่จะใส่ทุกอย่างกลับเข้าไปในตู้ได้ใหม่ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ทีนี้ บ้านที่มีการหมุนเวียนของกินอยู่ในระยะไม่กี่เดือน ไม่ใช่กะเก็บเนื้อไว้กินยาวๆทีละปีสองปีแบบนี้ ตู้แช่แข็งแบบละลายนํ้าแข็งอัตโนมัติย่อมสะดวกกว่าระบบอัตโนมือใช่ไหมล่ะ รูปทรงของตู้มันจะเหมือนๆแบบที่สองคือ ตั้งขึ้นเหมือนตู้เย็น ผิดกันก้อตรงลักษณะของชั้น แบบที่ละลายนํ้าแข็งอัตโนมัติแทนที่ชั้นวางจะเป็นเหล็กขด ก้อกลายเป็นชั้นโปร่งๆขาวๆแทน เนื่องจากตู้แบบละลายนํ้าแข็งอัตโนมัตินี้จะมีการดึงอากาศข้างนอกเข้ามาหมุนเวียนเพื่อช่วยละลายนํ้าแข็ง บางช่วงบางเวลาอุณหภูมิภายในตู้จึงที่ไม่เย็นจัด ดังนั้นตู้แช่แข็งระบบนี้ไม่เหมาะสําหรับการกะเก็บเนื้อสัตว์นานๆ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 18:58:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ในบ้านเราใช้ตู้แช่แข็งแบบสุดท้ายที่ว่านี่แหละ ที่แม่น้องไทเก็บนานที่สุดก้อเป็นพวกพริกขี้หนูสด ที่นี่เมืองหนาว จะหาซื้อพริกสดได้ก้อแค่ปลายฤดูร้อน ราวๆต้นเดือนกันยายนพริกถึงจะสุกพอกิน เราต้องขับรถเข้าไปในเมืองไปหาซื้อพริกที่คนลาวคนม้งเค้าปลูก มันถึงจะเป็นพันธุ์แบบเผ็ด พริกที่คนฝรั่งปลูกนี่กินไม่ได้เรื่องเลยค่ะ  แต่ยังไงๆพริกเผ็ดของคนลาวคนม้งนี่ก้อยังไม่หอมเหมือนพริกขี้หนูสวนของบ้านเรานะคะ อันนั้นนั่นสุดยอดยุทธจักรของพริกแระ ขนาดฝีมือไม่ได้เรื่อง พริกขี้หนูสวนยังช่วยให้กับข้าวโดดเด่นได้เลย แม่น้องไทเป็นคนกินอาหารเผ็ดจัด ต้องซื้อพริกปีนึงร่วมร้อยเหรียญหรือร้อยกว่าเหรียญมาแช่แข็งเอาไว้ บางปีพริกมันถูกหน่อยเราก้อซื้อเยอะหน่อย ซื้อเสร็จเอามาล้างให้สะอาดแล้วแบ่งเก็บเอา ส่วนที่เก็บไว้กินเป็นพริกสดก้อเอาเข้าถุงพลาสติกสําหรับแช่แข็งโดยเฉพาะซะ เค้าจะมีขายถุงขนาดแกลลอนน่ะค่ะ ใส่พริกได้ซักเกือบถุงละเกือบสองโลแหละนะ บางคนบางบ้านก้อเด็ดขั้วพริกออกหมดก่อนจะเก็บ แต่แม่น้องไทเก็บมันทั้งสภาพที่ยังติดขั้วพริกนั่นแหละค่ะ จะหยิบมาทํากินเมื่อไหร่ค่อยเด็ดขั้วออก บางทีก้อใช้ขั้วพริกมันไปด้วยเลย ถุงสําหรับฟรีซแบบนี้ทําให้พริกสดแช่แข็งดูสวย ไม่แห้ง กินอร่อยอยู่เสมอ บางส่วนก้อเอามาปั่้นกับนํ้าส้มสายชูเป็นพริกนํ้าส้มเก็บไว้ในตู้เย็นเอาไว้ใส่กินในพวกก๋วยเตี๋ยวกินไปหลายๆเดือน แล้วพริกบางส่วนก้อเอามาเรียงบนถาดอบไฟอ่อนๆรุมๆในเตาอบให้แห้งสนิท แล้วบดเป็นพริกป่นเก็บไว้กินเป็นปีๆ พอตกปีที่พริกแพงหูฉี่ขึ้นมา เนื่องจากฝนตกมากเกินไปหรือเป็นซัมเมอร์ที่ดันหนาวหน่อย ต้นพริกไม่งาม พริกแพงยิ่งกว่าทองคําแถมหาซื้อไม่ค่อยได้ ปีนั้นเราก้อซื้อเพิ่มนิดเดียวพอหรือข้ามช็อตไม่ซื้อไปเลย กลับมากินของเก่าไปก่อน จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:00:18 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผักไร้สารพิษเป็นอีกอย่างนึงที่แม่น้องไทแบ่งเก็บฟรีซเอา พี่คนไทยที่ชอบพอกัน เค้าปลูกจากสวนครัวตัวเองแล้วแบ่งมาให้ ทุกปีเอามาให้เยอะมากจนเรากินสดๆไม่หมด แม่น้องไทเสียดายมาก เลยล้างให้สะอาดแล้วเอามาแช่แข็งให้หมด เก็บไว้กินยามหนาว มีทั้งมะเขือเทศไร้สารพิษ ข้าวโพดไร้จีเอ็มโอ กะหลํ่าปลีที่มีหนอนเยอะๆ ผักพวกนี้ต้องถือว่าโชคดีที่ได้กิน แถมกินฟรีอีกนะ ผักออร์แกนิคแบบนี้ถ้าต้องซื้อเค้ากินมันแพงสุดๆ มะเขือเทศแช่แข็งนี่แม้เวลาเอาออกมาละลายแล้ว มันจะเละ แต่เราใช้ใส่ในพวกซุปอ่ะได้ หรือไม่ก้อเอาไว้ตําส้มตําซะ มันช่วยให้ประหยัดเงินไปได้อยู่ เพราะขืนต้องวิ่งไปหาซื้อมะเขือเทศสีดามาตําส้มตํากินตอนหน้าหนาวเนี่ย บางช่วงแค่ตะกร้าเล็กๆก้อล่อไปสี่ห้าเหรียญแล้ว นี่ยังไม่นับมะนาวสด ส้มตําครกนั้นมันจะแพงเว่อร์แบบไร้เหตุผลซะ ผักกวางตุ้งออร์แกนิคที่ได้มาเป็นกองๆ ถ้าเยอะมาก แม่น้องไทจะทําเป็นผักต้มจับฉ่ายกระดูกหมูขึ้นมาให้หมด แล้วแบ่งเก็บในทัปเปอร์แวร์แช่แข็งไว้กินยามฉุกเฉิน เราจะไม่ทิ้งให้ผักเน่าเสียของ ส่วนพวกเนื้อนี่ เรามีฟรีซแพ็คเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่ซื้อเกินเผื่อไว้นิดๆหน่อยๆเวลาเค้าจัดโปรโมชั่น เพราะขืนเล่นระบบกินตามคูปองโดยไม่มีแช่แข็งเอาไว้ เจอโปรโมชั่นไก่อาทิตย์หรือสองอาทิตย์ติดๆกัน ปีกเราคงงอกที่กลางหลังตั้งแต่กลางอาทิตย์มาเลย แต่บ้านเราไม่ฟรีซเนื้อไว้นาน ให้มีพอหยิบใช้หมุนเวียนแค่นั้น ส่วนใหญ่เราจะใช้มันหมดภายในสองเดือน ดังนั้นเราจึงสามารถฟรีซเข้าไปทั้งห่อที่หุ้มพลาสติกที่ซื้อมาจากทางร้านนี้ได้เลย เนื้อไม่แห้งเสีย บางทีถ้าพอมีเวลาซักหน่อยนึง แม่น้องไทจะซื้อแพ็คเนื้อไก่หรือวัวมามากหน่อยเพื่อทํากับข้าวไทยขึ้นมาแบ่งฟรีซเอาไว้เป็นกับข้าวสําเร็จรูป ส่วนใหญ่ไม่พ้นพวกผัดเผ็ด ผัดพริกขิง ผัดกะเพรา หมูผัดซิอิ้วอะไรนี่หรอกค่ะ อาทิตย์ไหนเราจวนตัวเรื่องเวลาเข้า ไหนจะนั่งปิดงบบัญชี ไหนจะยุ่งกะไอ้ลูกลิงสองตัว หรือเกิดตัวเองไม่สบายขึ้นมา ก้อสามารถหยิบสต๊อกกับข้าวแช่แข็งพวกนี้มาอุ่นกินกับข้าวแบบอาหารแดกด่วนได้เหมือนกัน   อีกชั้นนึงแม่น้องไทก้อฟรีซขนมปังโฮลวีทไร้สารกันบูดยี่ห้อดีๆ บ้านเราไม่เคยซื้อขนมปังขาวกิน จะกินแต่พวกโฮลวีทตลอด เครื่องอบขนมปังในบ้านก้อมี แต่แม่น้องไทจะมาอบกินทุกวันไม่ไหว ไม่มีเวลา เลยมีการซื้อเค้ามาแช่แข็งไว้ด้วย แต่พยายามเลือกซื้อขนมปังแบบรุ่นดีๆเนื้อหนักๆที่ไม่ใส่สารกันบูดซึ่งราคาก้อจะแพงขึ้นไปเป็๋นสเต็ปเค้าแหละค่ะ ขนมปังรุ่นดีๆแบบนี้แถวนึงตกสามเหรียญกว่าเห็นๆ ดังนั้นแม่น้องไทจะพยายามรอซื้อในช่วงโปรโมชั่นของเค้า ซึ่งทุกๆยี่ห้อก้อต้องหมุนเวียนมากันจัดอยู่แล้วราวๆทุกห้าหกอาทิตย์ทีนึง ตอนนั้นราคาขนมปังยี่ห้อที่เรากินๆอยู่จะลดลงมาเหลือราวๆแถวละสองเหรียญ ซึ่งถ้าเป็นครอบครัวที่กินขนมปังเยอะๆแบบบ้านเรา รอซื้อฟรีซเอาไว้ก้อคุ้ม แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 50 20:01:07 จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:02:24 ]

ความคิดเห็นที่ 14 นี่กล่องหมูปิ้งนมสดที่แม่น้องไทหมักแล้วร้อยไม้เอาไว้แล้ว ทําทีนึงก้อทําเยอะๆหน่อย วางในกล่องเรียงแถวแล้วปูกระดาษไขคั่นเอาไว้ก่อนที่จะวางสลับหัวหางไล่ชั้นเป็นแพขึ้นไปเรื่อยๆ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:02:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พอเรียงสูงได้ซักสี่ห้าแพตามปริมาณที่เราย่างกินมั่งแจกมั่งในแต่ละหนแล้ว ก้อจัดการปิดห่อพลาสติกให้แน่น แล้วเริ่มวงจรเรียงหมูที่ห่อใหม่ ห่อไม้หมูหมักนี้จัดลงวางในกล่องแล้วล็อคกล่องให้ดีๆ แล้วฟรีซเอาไว้ซะ พอวันไหนคิดอยากกินข้าวเหนียวหมูปิ้งส้มตําขึ้นมา ไม่ต้องมานั่งทําตั้งแต่ต้นจนจบ แค่เดินไปยกห่อหมูปิ้งทีละห่อออกมาตั้งข้างนอกให้ละลาย แล้วปิ้งกินได้เลย จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:04:00 ]

ความคิดเห็นที่ 16 พวกนํ้าซุปไก่หรือกระดูกหมูนี่ก้ออีกเหมือนกัน เนื่องจากเมืองฝรั่งมันไม่มีโครงไก่ถูกๆขาย ให้ซื้อหามาทํานํ้าซุป ถ้าเราอยากได้นํ้าซุปแบบไม่ใช้พวกซุปก้อนสําเร็จรูป เราก้อต้องซื้อเนื้อไก่แบบมีกระดูกมาต้มเอา ซื้อยังงี้แพ็คนึงก้อหลายตังส์อยู่นา ดังนั้นเวลาที่บ้านเรามีการต้มไก่เพื่อทําข้าวมันไก่ หรือก๋วยเตี๋ยวไก่กิน หรือมีการต้มนํ้าซุปกระดูกหมูไว้ทําข้าวต้มกระดูกหมู หรือแกงจืดมะระกระดูกหมูกินขึ้นมา แม่น้องไทจะตัดตอนตักแบ่งนํ้าซุปใสๆที่เคี่ยวได้ ที่มีใส่แค่เกลือปะแล่มๆนี้ขึ้นมา เอาแช่แข็งไว้ด้วยซักกระติบสองกระติบ ทยอยเก็บทยอยใช้ไปเรื่อยๆน่ะค่ะ เพราะพอเรามีนํ้าซุปอร่อยๆติดช่องแข็งเอาไว้แล้ว เวลาคิดจะกินอะไรนิดๆหน่อยเช่น ราดหน้าหรือโกยซีหมี่ซักจาน เกี๊ยวนํ้าซักชาม หรือต้มยําซักถ้วยนึง ก้อสามารถหยิบเ้อานํ้าซุปมาละลายใช้ได้เลย ทําให้ชีวิตการทําอาหารในต่างแดนของเรามันง่ายขึ้่น และรวดเร็วกว่ากันมากมาย จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 17 จากการที่ฝรั่งมีธรรมเนียมของการล้มวัวเพื่อเป็นเสบียงของครอบครัวแบบนี้ บางครอบครัวเค้าไม่ได้จ้างคนขายเนื้อล้มวัวให้ แต่เค้าล้มวัวกันเองตามความชํานาญก้อมี เรื่องที่จะเล่าให้ฟังกันต่อไปนี้ แม่น้องไทไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นนอกจากต้องการแบ่งปันสาระความรู้ให้กับพ่อแม่ จะได้จดจําเอาไว้ระวังภัยให้กับลูกของตัวเอง เพราะบางครั้งบางคราวเราจะนึกไม่ถึงกัน ส่วนการมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือว่าเวรกรรมก้อเป็นมุมมองของแต่ละคนไป ก่อนหน้าน้องไทจะเกิดมาราวๆสองปี ตอนนั้นเป็นช่วงราวๆปลายเดือนสิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนของปี 2001 มีข่าวใหญ่ออกทางทีวีทั่วรัฐมินิโซต้าว่า มีเด็กผู้หญิงสองคนถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลด้วยโรคติดเชื้ออีโคไล (E. Coli) ตอนนั้นพ่อแม่น้องไทนั่งดูข่าวด้วยกัน พอข่าวเค้าเอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของครอบครัวนี้ออกมา พ่อน้องไทตกใจมากเพราะ เราพอรู้จักครอบครัวนี้ แม้จะเป็นการเจอะเจอกันแค่ไม่กี่หนที่บ้านเพื่อน แต่เราก้อพอรู้ว่าใครเป็นใคร ตอนนั้นทางหน่วยงานสาธารณสุขของทางรัฐวิ่งวุ่นไปหมด เพราะเด็กสองคนนี้ป่วยด้วยเชื้ออีโคไลหลังจากไปเที่ยวงานประจําปีอันใหญ่ของรัฐมา หน่วยงานสาธารณสุขก้อเที่ยวส่งคนไปตรวจสอบตามร้านอาหารในงานที่เด็กครอบครัวนี้มีแวะเข้าไปเที่ยวไปกินอะไรกิน เพราะเชื้ออีโคไลนี่มันไม่ใช่อยู่ๆก้อวิ่งมาในอากาศซะที่ไหน แต่เชื้อตัวนี้เป็นแบคทีเรียที่ปกติจะอาศัยอยู่ในลําไส้ใหญ่ของทั้งคนและสัตว์ ปกติ เราจะป่วยจากเชื้อแบคทีเรียตัวนี้ได้ ก้อต่อเมื่อไปกินอาหารที่มีมูลสัตว์ปะปนมานั่้นแหละ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขตรวจเท่าไหร่ๆก้อไม่เจอเชื้อนี้ในร้านอาหารเลย ไม่ว่าจะจากอาหารหรือจากนํ้าแข็งหรือตู้เครื่องดื่มอะไรในร้าน ทางรัฐก้อจัดการส่งคนไปเก็บกวาดข้าวของหมดตู้เย็นในบ้านเค้าเลย เอาบิลค่ากับข้าวของเค้ามาดูหมดว่าไปซื้ออะไรที่ห้างไหน ร้านไหนมามั่งภายในระยะอาทิตย์นั้น เอาข้าวของกินทุกๆอย่างเอามาตรวจค้นหาเชื้ออีโคไลทั้งในชีส นม ไข่ นํ้าส้ม ไอศรีม อาหารสด และอาหารแช่แข็ง ซึ่งถ้าทางรัฐตรวจพบขึ้นมา เค้าจะต้องประกาศเรียกล็อตอาหารคืนหมดจากประชาชนน่ะค่ะ มันจะดูกันได้ที่หมายเลขตรงบาร์โค๊ตของอาหารแต่ละอย่างที่เราซื้อมาว่าตกในกลุ่มที่เค้ามีเลขเรียกคืนหรือไม่ ทีนี้ข่าวที่เราได้ยินต่อๆมาเกี่ยวกับการสืบหาเชื้อนี้ก้อจบลงตรงที่ว่า ไม่พบเชื้อนี้ในร้านอาหารในงาน ไม่พบว่ามีในอาหารในบ้านที่เค้าซื้อ แล้วข่าวของการหาเชื้อนี้ก้อเงียบหายไป ไม่มีการเรียกคืนอาหารจากยี่ห้อไหนๆแต่อย่างใด จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:07:46 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ทีหลังมา แม่น้องไทได้มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อน ซึ่งรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ลึกพอสมควร เค้าเล่าให้แม่น้องไทฟังว่า ครอบครัวนี้มีธรรมเนียมของการล้มวัวเอง โดยที่ปู่หรือตานี่แหละจะเป็นคนล้มวัวเอง ชําแหละเนื้อเอง แล้วแบ่งวัวกันระหว่างครอบครัว เป็นการทุ่นรายจ่ายค่ากับข้าว เค้าทําแบบนั้นมาตลอดทุกปีอยู่แล้ว   ปกติของการชําแหละเนื้อวัวออกจากเครื่องในทุกอย่างนี่ คนแล่จะต้องระวังไม่ให้มีดไปผ่ากรีดเอาไส้เข้า ถ้าเกิดมีไปผ่าโดนขึ้นมา เค้าจะต้องเปลี่ยนมีดทันที เพราะกลัวพวกเชื้อโรคจากมูลสัตว์ในไส้จะออกมาปะปนกับเนื้อเข้า ทีนี้ คาดว่าในการล้มวัวหนนี้ มีดที่ใช้แล่เนื้อคงจะไปกรีดเอาลําไส้แตกเข้าโดยไม่รู้ตัว มูลสัตว์เลยเข้ามาปะปนอยู่ในเนื้อส่วนที่เค้าเอาไปบดทําแฮมเบอร์เกอร์ซะ เชื้ออีโคไลนี้ตายอย่างเดียว คือที่ความร้อนจัด ไม่ได้ตายที่จุดแช่แข็ง ดังนั้น เมื่อครอบครัวนี้เอาเนื้อแฮมเบอร์เกอร์มาย่างกินเย็นนั้น โดยที่บางส่วนอาจจะยังไม่ได้สุกดี เลยทําให้ได้รับเชื้อนี้เข้าไป มียกเว้นอยู่ก้อคือลูกสาวคนสุดท้องที่ยังเล็กอยู่ไม่ได้นั่งร่วมกินด้วย ทีนี้ผู้ใหญ่ภูมิต้านทานของร่างกายมันดี ไม่เป็นอะไรมาก แต่เด็กนี่ภูมิต้านทานร่างกายไม่แข็งแรงพอน่ะค่ะ โศกนาฏกรรมเลยเกิดขึ้น ครอบครัวนี้มีลูกสาว 3 คน คนโตตอนนั้นอายุ 5 ขวบ คนรองนี่ราวๆ 3-4 ขวบ แล้วคนเล็กสุดนี่คือหนึ่งขวบ เด็กคนเล็กสุดนี่ไม่เป็นอะไรเลยจึงเป็นข้อเอะใจให้เจ้าหน้าที่ผิดสังเกตได้ ลูกคนโตกับคนรองนี่เจ็บหนักอยู่ที่โรงพยาบาล ข่าวทีวีตามอัพเดทอาการป่วยของเด็กต่อเนื่องอยู่แทบทั้งอาทิตย์ ตอนนั้นคนรองทําท่าว่าจะไม่รอด ไตเริ่มวายแล้ว เพราะเวลาเด็กๆได้รับเชื้ออีโคไลนี้เข้าร่างกาย นอกจากจะมีอาการอาเจียนสลับกับท้องร่วงแล้ว ส่วนใหญ่ที่จะตามมาคือ ไตจะวายเพราะร่างกายสูญเสียนํ้ามากเกินไป ซึ่งเรียกว่าเข้าขั้นที่หนักมากๆแล้ว ทุกคนที่ติดตามเฝ้าดูข่าวก้อภาวนาช่วยให้เด็กคนนี้กัน สุดท้ายกลายเป็นว่าร่างกายเด็กคนนี้สามารถฝ่าฟันเชื้อนี้มาได้ แต่พี่สาวคนโตสุดกลับเป็นฝ่ายที่ร่างกายทนต่อสู้กับเชื้ออีโคไลนี้ไม่ไหว เกิดอาการชักเนื่องจากไข้ขึ้นสูงมาก สุดท้ายเสียชีวิตไป งานฝังศพถูกจัดขึ้น ณ วันที่ 11 กันยายน 2001 วันที่ตึกเวิร์ลเทรดถูกถล่มนั่นแหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 50 13:12:47 จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:08:52 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หลังจากเสร็จงานศพของลูกคนโต และลูกคนรองพ้นขีดอันตรายพร้อมกลับบ้านได้แล้ว ผู้คนในเมืองเล็กที่เค้าอยู่ และเมืองรอบข้าง ต่างหลั่งไหลหยิบยื่นนํ้าใจให้กับโศกนาฏกรรมของครอบครัวนี้ มีการจัดงานเปิดประมูลระดมทุน เพื่อสมทบช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลที่ครอบครัวนี้ต้องแบกรับ ลักษณะของงานที่จัดออกมา แทนที่จะเป็นงานสลดแสดงความเสียใจต่อการจากไปของลูกคนโตของเค้า ทางครอบครัวนี้เลือกขอให้เป็นการจัดงานรื่นเริง เป็นงานรับขวัญลูกคนรองที่ได้กลับมาบ้านแทน เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์ที่คอยสะกิดใจแม่น้องไทมาตลอด ทําให้คอยระวังในเรื่องอาหารการกินของเด็กๆ เนื้อสัตว์ทุกอย่างต้องสุกสนิท พวกนม ชีส นํ้าส้ม นํ้าผลไม้สําเร็จรูปต้องซื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์เท่านั้น เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบโศกนาฏกรรมข้างต้นนี้แหละค่ะ หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าทําไมนํ้าส้ม นํ้าแอ๊ปเปิ้ลถึงมาเกี่ยวข้องด้วย มันมาเกี่ยวก้อตรงผิวส้มผิวแอ๊ปเปิ้ลนี่แหละค่ะ เวลาเค้าเก็บผลไม้น่ะ มันหล่นลงพื้นดินในสวนซึ่งอาจจะมีมูลสัตว์ปนเปอยู่ แล้วของแบบนี้มันมาจากหลายสวน ใครจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าเราเป็นครอบครัวที่ซื้อนํ้าส้มที่คั้่นขายสําเร็จรูปมาให้ลูกกิน อ่านดูตราดูป้ายหน้ากล่องซักนิดนึง นํ้าส้มที่ผ่านการพาสเจอร์ไรซ์มาแล้ว จะทําให้ปลอดภัยหายห่วงจากเชื้ออีโคไลนี้ไป แต่ถ้าเราเป็นครอบครัวที่ซื้อส้มสดจากตลาดมาคั้นนํ้าส้มให้ลูกเล็กๆกิน การล้างผิวส้มให้สะอาดๆหลายครั้งก่อนคั้นก้อจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อนี้ลงไปได้ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ดึกๆคืนก่อนแม่น้องไทนอนไม่หลับ เลยลุกมานั่งดูรายการซีเอ็นเอ็น เปิดเจอรายการข่าวเจาะลึกที่ขึ้นหัวข้อว่า **Is our food safe enough?** มีดอกเตอร์ซานเจย์สุดหล่อขวัญใจของแม่น้องไท เป็นผู้ดําเนินรายการ เค้าพูดถึงโศกนาฏกรรมของเชื้ออีโคไลในผักโขม (Spinich) ที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วคือ เดือนสิงหาคมปี 2006 น่ะค่ะ ตอนนั้น คนตั้งสองร้อยกว่าคนทั่วประเทศ ถูกหามส่งโรงพยาบาลด้วยโรคติดเชื้อตัวนี้ ที่ตายนี่ก้อหลายศพ มีทั้งเด็กเล็กสองสามขวบ ที่แม่เอาใบสปินิชสดมาทํานํ้าปั่นสุขภาพให้ลูกกิน และคนแก่ที่กินผักนี้เป็นจานผักสลัด ร่างกายทั้งของเด็กและคนแก่ไม่มีภูมิต้านทานพอที่จะต่อสู้กับเชื้อนี้ได้ ตอนนั้นพอทางการประกาศว่า เชื้อมันมาจากผักสปินิชยี่ห้อไหนแล้ว แม่น้องไทรีบหิ้วเอาถุงสปินิชของที่บ้านที่เพิ่งซื้อมาไปคืนที่ร้านแทบไม่ทันเลยค่ะ ดอกเตอร์ซานเจย์พาไปเจาะลึกดูถึงฟาร์มสปินิชอื้อฉาวอันนี้ที่อยู่ที่แคลิฟอร์เนียว่า เชื้ออีโคไลนี้เข้ามาอยู่ในผักสปินิชได้อย่างไร ฟาร์มสปินิชใหญ่ยักษ์อันนี้อยู่นอกเมือง ข้างๆเป็นฟาร์มวัว มีรั้วไม้หยาบๆตีกั้นระหว่างฟาร์มเอาไว้ วัวน่ะเข้ามายุ่มย่ามในฟาร์มผักไม่ได้ แหล่งนํ้าที่เค้าใช้สําหรับรดผักก้อไม่ได้มีมูลสัตว์จากฟาร์มวัวนี้เข้าไปปะปน คือมีการป้องกันตรงนี้ไว้แล้ว ซึ่งมันก้อควรจะปลอดภัยแล้วใช่ไหม แต่กลายเป็นว่า .ด้านหลังของฟาร์มสปินิชนี้เป็นป่าเป็นภูเขาใหญ่สุดลูกหูลูกตา กลางคํ่ากลางคืนพวกสัตว์ป่าแบบหมูป่า กวางป่า มีออกมาวิ่งเล่นผ่านฟาร์มวัว แล้วก้อเลยข้ามมาเดินเล่นต่อที่ฟาร์มผักเป็นประจํา เป็นสาเหตุทําให้มูลสัตว์ที่ติดมากับอุ้งเท้าสัตว์ ปะปนเข้ามาในฟาร์มสปินิช เชื้ออีโคไลเลยแพร่กระจายไปในผักซะ ทีนี้ ในประเทศที่กฏหมายการผลิตมันเข้มงวด การสืบหาต้นตอว่าเชื้อมาจากบริษัทไหน แหล่งผลิตไหน ล็อตการผลิตเบอร์ไหน เค้าสืบย้อนหากันได้ ตอนนี้กลายเป็นว่า บริษัทนี้เจอคดีฟ้องร้องยาวเป็นหางว่าวด้วยเหตุผลที่ว่า เรื่องสัตว์ป่าออกมาเดินยํ่าเล่นระหว่างฟาร์มนี่เกิดเป็นประจํา ทางบริษัทรับรู้มาตลอด คนที่ทํางานในฟาร์มก้อรู้ดี แต่ทําไมจึงนิ่งเฉย ไม่มีการใช้ัมาตรการป้องกัน เช่น ตีรั้วตาข่ายล้อมทุกด้านของฟาร์มผัก ไม่ให้สัตว์ป่าวิ่งจากฟาร์มวัวมาเข้าฟาร์มผักได้ ความประมาทเลินเล่อตรงนี้ จึงทําให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต และทรัพย์สินของผู้บริโภคขึ้นมา จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จบตอนที่ 51 แล้วค่ะ  แม่น้องไทลืมโพสต์รูปปีป๊อตเป็นยันต์ไว้ที่ต้นกระทู้ ไม่รู้กระทู้จะถูกลบป่าวเนอะ เพราะตอนนี้มันเป็นสาระความรู้ที่อยากเอามาฝากกันน่ะค่ะ ถือว่าเปิดหูเปิดตากันไป ตอนหน้าค่ะ ไปดูอะไรน่ารักๆกัน  น้องทะเลเพิ่งตื่นนอนเลย จะรอโพสต์ให้ดูกันตอนเช้าเมืองไทยนะคะ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 19:18:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณสำหรับสาระดีๆค่ะ คุณแม่น้องไท อ่านดูแล้วรู้สึกว่าอยู่เมืองนอกนี่อาหารการกินลำบากชะมัด อยู่ที่เมืองไทยนี่ก้อหากินง่ายและถูกซะจนบางทีไม่เห็นค่ามันเลย ชอบเมนูยำวุ้นเส้นใส่ไข่เจียวหั่นฝอยจังค่ะ เดี๋ยวจะลองไปทำดูนะคะ :) ปล. อีกอย่าง ... อ่านดูแล้วอยากกินหมูปิ้งขึ้นมาทันทีเลยคะ จากคุณ : แม่เจ้าอ้วนก็อต (k_puiky) - [ 7 มิ.ย. 50 19:49:20 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มาปูเสื่อรออ่านค่ะ ลองอ่านดูอีกทีได้ความรู้มากๆ เมืองไทยเคยมีการรณรงค์ให้กินอาหารปรุงสุก คนไม่เชื่อกินอาหารดิบ เช่นเนื้อวัวและเลเนื้อหมูดิบ ตายไปหลายคน แต่คนไทยยังไม่สะทกสะท้านค่ะ ไม่เหมือนฝรั่งเลย เค้าเอาใจใส่กับสุขภาพและคุณภาพชีวิตกันดีจัง เมื่อไหร่จะถึงเรื่องเด็กๆซะทีค่ะ คิดถึง แก้ไขเมื่อ 07 มิ.ย. 50 20:36:17 จากคุณ : แม่น้องโหลด - [ 7 มิ.ย. 50 20:07:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ สำหรับสาระดีๆแบบนี้ รออ่านนะค่ะ คิดถึง3หนุ่มจัง จากคุณ : มามี้@ian - [ 7 มิ.ย. 50 20:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอคารวะแม่น้องไท   ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารจริงๆ ค่ะ เยี่ยมจริงๆ  ข้าน้อยขอคารวะ        อยากได้สูตรหมูย่าง จังเลยค่ะ แค่นึกก็อยากทานแล้วค่ะ ยังจำภาพปีป๊อตเฝ้าเตาหมูย่างได้ค่ะ         ปูเสื่อรอ ภาพ หนุ่มๆ นะคะ น้องไท และ ก๊วนสุดหล่อ  ด้วยค่ะ จากคุณ : ใบบัง - [ 7 มิ.ย. 50 20:48:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อยากเห็นภาพหนุ่มๆค่ะ เอามาฝากบ้างนะคะ หนูทำกับข้าวไม่เป็นเรยค่ะ เคยไปอยู่อเมริกาสามเดือน (work&travel) อาหารก็ทำแบบง่ายๆ ง่ายมากๆบางทีก็ทำกินเองคนเดียว ไม่กล้าให้คนอื่นกิน เพราะรู้ว่าตัวเองทำอาหารไม่เป็น อีกอย่างนึงคือ หนูมีคติประจำใจคือ สุกก็กินได้หมด อาหารที่หนูทำรับรองความปลอดภัยแต่ไม่ประกันความอร่อยค่า จากคุณ : ลุงจอร์เจีย - [ 7 มิ.ย. 50 21:15:45 ]

ความคิดเห็นที่ 27 หวัดดีค่ะทุกๆคน  แว๊บลูกมาแป๊บนึง  เด๊วทู้หน้าค่ะ ได้เจอสองสามลิงแบบน่ารักๆเลย ลูกตื่นนี่โพสต์ไม่ได้เลย มันยุ่งอีรุงตุงนังไปหมด ต้องรอให้เค้านอนไปก่อน ไม่หรอกค่ะคุณใบบัง รื่องทําอาหารก้อหัดทําไปเรื่อยๆเอา อาศัยครูพักลักจํามาตั้งแต่สมัยเล็กๆ บวกกับสังเกตคนที่เค้าทําอาหารเก่งๆ กก้อเลยพอจําอะไรๆได้ว่าจะทําอะไรต้องทํายังไงมั่ง ทําได้เท่าที่ชอบกินน่ะค่ะ หมูปิ้งนี่ เคยอ่านสูตรของคุณกัสซี่ที่มีคนก๊๋อปมาลงให้ดูในห้องอาหารการกิน ลองทําดูแล้วก้อมาปรับรสให้เข้ากับความชอบของเราน่ะค่ะ แต่นมสดนี่ทําให้หมูนุ่มจริงๆค่ะ เครื่องปรุง สำหรับหมักหมู 1 กิโลกรัม พริกไทยป่น 1 ช้อนชาตำรวมกับกระเทียมกลีบเล็ก ไม่ต้องปอกเปลือก 1 หัวโต ๆ ซีอิ้วดำ 1/2 - 1 ช้อนโต๊ะ เกลือป่น 1 ช้อนชา นมข้นจืด 3 - 4 ช้อนโต๊ะ (อย่าใส่มากเกินไป เพราะหมูจะลื่นทำให้เสียบไม้ลำบาก) น้ำตาลปีบ 1/2 ถ้วย และ น้ำตาลทรายนิดหน่อย พอให้ออกรสหวานปะแล่ม ๆ วิธีทำ แล่เนื้อหมูตามขนาดที่ต้องการ แล้วนำเครื่องหมักทั้งหมดลงผสม ขยำให้เข้ากันสักครู่แล้วนำไปเสียบไม้ เสร็จแล้วนำใส่ในกล่องมีปิดฝา เก็บในตู้เย็นในช่องแข็ง 2 - 3 วัน ก่อนนำมาปิ้งกับเตาถ่านให้สุก รับประทานกับข้าวเหนียวนึ่งร้อน ๆ เคล็ดลับความอร่อย เพื่อนหนุ่มของกัสซี่คนหนึ่ง ส่งหมูปิ้งสูตรนี้พร้อมข้าวเหนียวนึ่งมาเยี่ยมไข้กัสซี่เมื่อวันก่อน แถมยังจดสูตรแถมมาให้ด้วยรู้ใจเพื่อน กัสซี่ชิมแล้วต้องร้อง โอย โอ๊ย โอย ทำไมมัน..อร๊อย..อร่อยจริง ๆ อร่อยถล่มทลายมากคะคุณผู้อ่านที่รัก กัสซี่เลยเอาสูตรมาแบ่งให้คุณ ๆไปลองทำกัน จะได้อร่อยกันถ้วนหน้า เพื่อนของกัสซี่เขาแนะนำเคล็ดลับความอร่อยมาด้วยว่า เนื้อหมูที่ใช้ ควรเป็นเนื้อสันส่วนขาหลัง ติดมันนิดหน่อย ถ้าเนื้อหมูที่ซื้อมาติดมันมากเกินไปก็ให้แล่เอามันออกทิ้งไปบ้าง เวลาแล่เนื้อหมูก็ต้องพยายามแล่ให้ได้ขนาดเสมอกันเพื่อความสวยงาม เวลาเสียบก็ต้องเสียบเนื้อหมูตามขวาง เนื้อหมูจะได้ดูหนา เวลากินจะไม่เหนียว และที่สำคัญจะต้องหมักหมูทิ้งไว้ในช่องฟรีซสัก 2 -3 วันถึงจะดี เวลาจะนำมาปิ้งก็เอาออกมาจากช่องฟรีซ แล้วทิ้งให้น้ำแข็งละลายก่อน เครื่องจะเข้าเนื้อและนุ่ม ถ้าหมักแล้วย่างเลยจะไม่อร่อย เวลาปิ้งจะไม่สวย เนื้อหมูก็จะติดตะแกรงด้วย จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 7 มิ.ย. 50 21:18:54 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอบคุณนะค่ะ  ได้ความรู้และสาระดีๆ อีกเยอะเลยค่ะ  ฝากจุ๊บ..3 หนุ่มด้วยนะค่ะ จากคุณ : DOGHALL - [ 8 มิ.ย. 50 00:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณมากนะคะสำหรับความรู้ดีๆที่นำมาแบ่งปัน อ่านแล้วทำให้คิดได้ว่า บ้านเราดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ อาหารการกินมีไม่ขาด หาง่ายแถมอร่อยถูกปากด้วย จากคุณ : babycinny - [ 8 มิ.ย. 50 02:11:41 ]

ความคิดเห็นที่ 30 อ่านเมนูอาหารมากมายแล้วกลืนน้ำงายอึ้กกค่ะ เดี๋ยวจะลองไปทำหมูหมักดูบ้างนะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ คุณเพื่อนบ้านที่มายืนชุมนุมสูดกลิ่นกับข้าวไทยกัน เคยลองดมกลิ่นปลาร้ามั้ยคะ ^__^ จากคุณ : เจี๋ยมเจี้ยมเอี้ยมเฟี้ยมขอร้าบ - [ 8 มิ.ย. 50 02:28:12 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สวัสดีค่ะพี่.. อ่านกระทู้นี้เสร็จ ตาสว่างขึ้นเยอะเลยค่ะ หนูอ่ะ ตะก่อน ทำกับข้าวที ก็ทำเยอะๆ ใสตู้เย็นไว้ แล้วก็มาตักใส่ชาม โยนใส่ไมโครเวฟ แต่ลืมนึงถึงเรื่องฟรีซเนื้อกะผักซะสนิทเลย... เพิ่งออกมาอยู่เองได้เดือนนึงเนี่ยค่ะ จนสัก 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ไปเดินจ่ายกับข้าว เจอแต่เนื้อแพคใหญ่ น้องคนไทยบอก ซื้อไปเหอะพี่ ถูกด้วย ลดราคา แล้วก็เอาโยนใส่ช่องฟรีซไว้ซะ...เพิ่งจะได้หยิบออกมาทำวันนี้แหละค่ะ เมื่อวานไปเดินซื้อของสด จำราคาได้ เลยกลับมาดูที่ห่อ หูย ถูกกว่ากันตั้ง 3 เหรียญแหน่ะ =) เรื่องทำกับข้าว ตอนนี้ก็ต้องประยุกต์กันไปเรื่อยเปื่อยเนอะคะ... ไปดูราคาตามร้านแล้วหัวใจจะวาย เกี๊ยวห่อชีส ชีสห่อเกี๋ยวทอดอะไรนั่น ที่นี่แพงมากมาย 6 ชิ้น 5 เหรียญ...โหย หนูจะไปซื้อแผ่นเกี๊ยวมาห่อ ทอดกินเองแล้ว ไม่เอาอ่ะ ไม่กล้าซื้อ แพงอ่ะค่ะ จากคุณ : ~~FrOm NoW oN~~ - [ 8 มิ.ย. 50 02:40:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อุ อุ แม่บ้านสมองไหล อย่างเจ๊แหนม ต้องจดจำไปใช้บ้าง สำหรับการแบ่งเก็บของเช่นนี้...มีประโยชน์หลายๆ เลยอ่ะ ว่าแต่ วันนี้ไม่มีหนุ่มๆ จั๊กกะหน่อยเหรอค่ะ...อิ อิ คิดถึงเด็กอ่ะ จากคุณ : นางงอมมากๆเลยเจ๊เนี่ย (เจ๊แหนมกะน้าพุ้ย) - [ 8 มิ.ย. 50 09:17:02 ]

ความคิดเห็นที่ 33 สาระความรู้เพียบ ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ เพิ่งรู้ว่าผักก็พรีซเข้าช่องพรีซได้เหมือนกัน หนูคิดว่ามันจะช้ำเละซะหมดน่ะค่ะ ว่าแล้ว อยากกินจับฉ่ายขึ้นมาตะหงิดๆ **คิดถึง 3 หนุ่ม 3 มุม จัง ** จากคุณ : nongthee - [ 8 มิ.ย. 50 09:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาเลยค่ะ กำลังจะบอกว่า กระทู้นี้ไม่มี 3 หนุ่มมาให้น้ำลายหกเลยค่ะ จากคุณ : เต้าเจี้ยว - [ 8 มิ.ย. 50 10:08:05 ]

ความคิดเห็นที่ 35 555555555555555  ถ้าเจอกลิ่นปลาร้า คงกระเจิงกันหมดทั้งหมู่บ้่าน เอ๊ะ แม่บ้านสมองไหลนี่มันเป็นไงขาคุณเจ้แหนม  อิอิ จริงๆนี่ ผักที่เอาไปฟรีซ จะไม่สดอร่อยเหมือนของสดอีกแล้วแหละค่ะคุณบี  เพียงแต่ว่า ด้วยความเสียดายว่า ผักมันเป็นของดี ของที่ปลูกแบบไร้สารพิษ แทนที่เราจะทิ้งให้เน่าเสีย ก้อเลยเอามาแปลงๆเป็นกับข้าวพวกต้มจับฉ่ายซะก่อน แล้วค่อยฟรีซ  ส่วนพวกข้าวโพด กะหลํ่าปลี และมะเขือเทศนั้น พอละลายแล้วมันจะเละ จะเอามากินเป็นผักกรอบๆไม่ได้  แต่เอาไปต้มๆในนํ้าแกงหรือทําพวกจับฉ่ายน่ะยังได้อยู่ ถือว่ากินสารอาหารไป เด๊วขอนั่งทํางานเอกสารต่ออีกแป๊บนึงนะคะ แล้วจะมาโพสต์ตอนที่ 52 ใ้ห้อ่านค่ะ รับรองมีความสุขกันถ้วนหน้า จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 8 มิ.ย. 50 10:30:00 ]

ความคิดเห็นที่ 36 อยู่ที่เมืองไทยก็รู้สึกดีใจที่บ้านเราเรื่องอาหารการกินค่อนข้างจะสมบูรณ์ และอาหารไทยก็อร่อยและอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย เพิ่งจะได้เห็นตู้แช่แข็งแบบเต็มๆ เพราะที่นี่ไม่ค่อยได้ใช้กันเลย คิดว่าถ้านมแม่เยอะจะซื้อมาแช่นมคะ ลูกจะได้กินนมแม่นานๆ เพราะเก็บได้เป็นปีเลยอะ...... แต่ปริมาณสต๊อคที่มีอยู่ ณ.ปัจจุบัน.....อิอิ มีสำรองแค่ 3 - 4 วันเท่านั้นเอง...... จากคุณ : แอน - มามี๊โรดดี้ - [ 8 มิ.ย. 50 10:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาดูปีป๊อต  แต่ได้ความรู้แทน  อ่านไปหิยวไปเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : mixer_za_jang - [ 8 มิ.ย. 50 11:37:11 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ได้อ่านถึงคุณเขียวอ่อนเอ่ยถึงคุณกัสซี่แล้ว    อยากไปเชียงใหม่จัง ไปชิมอาหารที่ร้านคุณกัสซี่  ได้ข่าวว่ากระดกกะทะจนข้อมือระบบเลย (คุณเขียวอ่อนหมายถึงคุณGuzzie  คนเก่ง หรือป่าว  เดี๋ยวผิดคน ) พอดีน้องก้อยไปหาคุณGuzzie  เลยถือโอกาสเอาลิงค์มาฝากคุณเขียวอ่อนซะเลยนะคะ http://www.pantip.com/cafe/food/topic/D5472518/D5472518.html ส่วนเรื่องความสะอาดของอาหาร น้ำผลไม้สำเร็จรูป  อ่านแล้วกลัวจัง จากคุณ : Pecan - [ 8 มิ.ย. 50 16:32:20 ]

ความคิดเห็นที่ 39 แอบเข้ามาตามปีป๊อตด้วยคน แล้วเกิดรู้สึกดีใจจังเลย ที่เข้ามาอ่านสาระดี ๆ แบบนี้ ขอบคุณนะคะ จะตามไปอ่านทู้ต่อไปค่ะ จากคุณ : กล้วยปิ้ง (Lucky) (R-Tech) - [ 8 มิ.ย. 50 17:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มารออ่านตอนต่อไปค่ะ จากคุณ : ลูกหมูน้อยตาแป๋วๆ - [ 8 มิ.ย. 50 17:59:32 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เข้ามาดูตอนแรก งงคะ นึกว่าเข้าห้องก้นครัว อ่านๆไปได้สาระดีจัง นี่ถ้าไปเรียนต่อสงสัยอดตายคะ จากคุณ : brownee - [ 8 มิ.ย. 50 18:18:24 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คิดถึงๆ พี่เขียวอ่อน มากเลยค่ะ .. เย่นทำ Senior Project เสร็จแล้ว .. ส่งงานไปเรียบร้อย เย็บเล่ม ทุกอย่าง พ้นตัวไปซะที .. ดีใจมากๆ .. ตอนนี้เหลือเก็บอีก 2 วิชา แต่คงมีเวลาว่าง มา เกาะติดกระทู้ปีป๊อตกะน้องๆ แล้ว .. น้องๆ ดูโตขึ้นเยอะเลย ((จากกระทู้ที่แล้ว )) นั่งคอยแอบมองความพัฒนาของน้องๆ ตั้งแต่เล็ก ยิ่งน้องทะเลเนี่ย .. ตามลุ้นตั้งแต่ใกล้คลอด .. มีความสุขแทนคุณแม่น้องทะเล กับน้องไท เลยค่ะ .. จากคุณ : iMyEnZ~* - [ 8 มิ.ย. 50 18:45:48 ]

ความคิดเห็นที่ 43 หวัดดีค่ะทุกคน  ตอน 52 เพิ่งโพสต์แล้วนะคะ  ไปตามอ่านกันได้ค่ะ http://www.pantip.com/cafe/jatujak/topic/J5487863/J5487863.html อ้าว เค้ามี 2 กัสซี่เหรอคะคุณ Pecan ตกลงว่าไม่รู้เหมือนกันค่ะว่ากัสซี่ไหน เพราะสูตรหมูปิ้งนี้ก้อได้มาอีกทีนึงน่ะค่ะ แต่อร่อยค่ะ ทําแล้วปรับแล้ว ถูกใจมาก จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 8 มิ.ย. 50 22:35:06 ]

ความคิดเห็นที่ 44 อย่าลืมสูตรน้ำจิ้มด้วยคะพี่เขียวอ่อน.. จากคุณ : gik_lo - [ 12 มิ.ย. 50 16:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 45 นํ้าจิ้มแจ่วที่ทํากิน ก้อมีนํ้ามะขามเปียก นํ้าปลา นํ้าตาลปี๊บ พริกป่น ผสมให้รสชาติได้ถูกปากเรา ตรงนี้คํานึงถึงรสหมูปิ้งด้วยนะคะ ถ้าเราหมักหมูปิ้งเราออกหวานนํ้าตาลปี๊บนําแล้ว นํ้าจิ้มควรจะอ่อนมือตรงรสหวาน มาเน้นที่รสอมเปรี้ยวกับเค็มก้อว่ากันไป พอเอามาจิ้มกันแล้ว ให้รสชาติมันสมดุลกันไปน่ะค่ะ  บางคนเค้าก้อมีตํากระเทียมสดใส่ลงไปในนํ้าจิ้มด้วยนะคะ แต่ของที่แม่น้องไททํา ไม่ใส่เพราะหมูปิ้งที่หมักไว้ มีกระเทียมสดมากพอแล้ว ไม่ต้องการให้ทุกอย่างมีแต่รสกระเทียมน่ะค่ะ นํ้าจิ้มที่ได้ ณ ตรงนี้ ผสมเก็บไว้เยอะหน่อยได้ ผสมเก็บในทัปเปอร์แวร์ เข้าตู้เย็นเอาไว้น่ะค่ะ ถ้าเกิดจะมีกินหมูปิ้งซักสองสามมื้อภายในไม่กี่วัน ก้อไม่ต้องมานั่งทํากันอีก ก่อนจะกินแต่ละมื้อ ตักถ้วยนํ้าจิ้มใหม่ออกมาแล้วถึงค่อยมาโรยข้าวคั่วกับผักชีลงไปในถ้วยน่ะค่ะ นํ้าจิ้มจะมีความกรุบกรอบอร่อย ไม่อืดข้าวคั่ว เวลาแม่น้องไทแบ่งพวกหมูปิ้งไปให้ฝรั่งข้างบ้าน เราไม่รู้ว่าเค้าจะกินเวลาไหน ก้อจะเอาข้าวคั่วใส่ถุงพลาสติกเล็กๆไว้ให้ต่างหากจากนํ้าจิ้ม สอนเค้าไว้ว่า เวลาจะกิน ค่อยเอา roasted rice นี่โรยลงไปในนํ้าจิ้มหน่อยนึงนะ แล้วคนๆซะก่อนจะจิ้มกิน  ก้อเห็นอื้อหือรสชาติกันเป็นแถวๆ จากคุณ : เขียวอ่อน - [ 12 มิ.ย. 50 19:42:34 ]

ความคิดเห็นที่ 46 แอบเข้ามาเก็บความรู้ด้วยคนค่ะ ^ ^ จากคุณ : sommie - [ 13 มิ.ย. 50 01:34:14 ]

ความคิดเห็นที่ 47 แหะๆพี่ขา ไอ้หนูมันประเภท "กินเป็นทำไม่เป็น" น่ะสิคะพี่ ขอติดสอยห้อยตามแอบกินไปในทู้พี่นี่ล่ะค่ะ นะคะ จากคุณ : หมาน้อยพุงกาง (หมาน้อยพุงกาง) - [ 15 มิ.ย. 50 13:40:51 ]