| 
      
        | 
           ความคิดเห็นที่ 194   
 อ่านเรื่องขำๆ แล้ว มาอ่านเรื่องเครียดๆ กันบ้าง ที่กระทบกับเกษตรกรตรงๆ
 
 ไม่รู้ว่ามีใคร ติดตามบ้างหรือเปล่า คือเรื่อง พรบ. ทรัพยากรน้ำ  ที่ สนช. รักษาการ กำลังจะผลักดันออกกฏหมายมาใช้
 
 ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ฉบับทำลายเกษตรกร เอื้ออาทรนายทุน
 
 ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราๆ ท่านๆ คงจะได้เห็นภาพที่แปลกหูแปลกตากับบทบาทใหม่ของเจ้าหน้าที่กรมทรัพยากรน้ำ ต้องนั่งรถปิคอัพเบียดเสียดกันไปตามท้องทุ่งนา ซึ่งอาจจะดูคล้ายกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตไปตรวจจับเหล้าเถื่อน แต่เจ้าหน้าที่กรมน้ำกำลังออกตรวจจับใช้น้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้น้ำเกินกว่าที่ระบุไว้ในใบอนุญาตใช้น้ำ
 
 เป็นบทบาทที่หน่วยงานด้านพัฒนาแหล่งน้ำและจัดสรรน้ำให้แก่เกษตรกรอย่างกรมชลประทาน ซึ่งตั้งมานานกว่า 100 ปี ยังไม่เคยต้องไล่จับชาวบ้านชาวช่องเช่นนี้
 
 ปัจจุบันกรมทรัพยากรน้ำทั้งกรมมีอัตราข้าราชการอยู่ 1,600 อัตรา และลูกจ้าง 1,000 อัตรา รวมทั้งประเทศมีกำลังคนอยู่ 2,600 คน
 
 หากต้องไล่จับกันอย่างนี้ เอากำลังคนทั้งหมดของกรมทรัพยากรน้ำตั้งแต่ระดับอธิบดีลงมา ก็ต้องรับผิดชอบตรวจตรา และจับกุมกันในพื้นที่เฉลี่ยคนละประมาณ 125 ไร่ โดยไม่ต้องไปทำหน้าที่สร้างสรรค์อะไรอย่างอื่น จะไหวหรือ?
 
 ภาพเช่นว่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ ขึ้นกับการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ.... โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่าง พ.ร.บ.น้ำ พ.ศ.... ได้ผ่านวาระที่ 1 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2550 และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่คณะกรรมาธิการวิสามัญทรัพยากรน้ำ กำลังดำเนินการแปรญัตติในวาระที่ 2
 
 ซึ่งกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ก็มีความเอาใจใส่ในหน้าที่เป็นอย่างดี ประชุมกันทุกวันพุธและพฤหัสบดี แม้มีการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ การประชุมกรรมาธิการวิสามัญก็ยังคงประชุมควบคู่ไปได้ และจะประชุมต่อเนื่อง เพื่อเร่งรัดผลักดันให้เข้าสู่การพิจารณาของ สนช.ในวาระที่ 2 และ 3 ให้ได้ภายในวันที่ 6 ธันวาคม ศกนี้
 
 เป็นที่น่าสังเกตว่า อะไรคือแรงผลักดันให้กรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ทำงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งๆ ที่สภาพของ สนช.ทั้งหมด มีสถานะ "รักษาการ" ไปแล้วตั้งแต่วันที่มีการประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 24 ตุลาคมที่ผ่านมา
 
 ไม่ว่าจะมีเหตุจูงใจอย่างไรก็ตาม หาก พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำผ่าน สนช.ออกมามีผลบังคับใช้ตามกฎหมายได้แล้ว ความเปลี่ยนแปลงในเรื่องการบริหารจัดการน้ำจะเกิดขึ้นติดตามมาอย่างใหญ่หลวง เกินกว่าที่กรมทรัพยากรน้ำผู้เป็นต้นเรื่องของการเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะคาดการณ์ได้จริงๆ
 
 ประการแรก กฎหมายมีผลให้ "น้ำ" ทั้งหมด ทั้งในบรรยากาศ น้ำบนผิวดิน น้ำใต้ดิน น้ำในแม่น้ำระหว่างประเทศ น้ำในแหล่งน้ำที่รัฐสร้างขึ้น เป็นของรัฐในทันที
 
 โปรดฟังอีกครั้ง น้ำทั้งหมดทั้งมวลให้ตกเป็นของรัฐในทันที หรือเรียกง่ายๆ ว่าเป็น "ของหลวง"
 
 บทเรียนในทรัพยากรอื่นๆ ได้ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากที่ถูกยึดไปเป็นของหลวงโดยกฎหมายแล้ว เจ้าหน้าที่ของรัฐเองก็ไม่สามารถควบคุมดูแลให้เกิดการใช้ประโยชน์สาธารณะได้อย่างเป็นธรรม มีความโปร่งใส และมีความยั่งยืนได้ และต้องกลับมาเรียกร้องให้ประชาชนมีจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
 
 ในเรื่องน้ำก็เช่นเดียวกัน การประกาศให้น้ำเป็นของรัฐก็เท่ากับการตัดความสัมพันธ์ของประชาชนที่มีต่อขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีของการจัดการน้ำร่วมกัน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการช่วยกันดูแลและควบคุมบริหารจัดการน้ำได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรมกับสมาชิกทุกๆ คน
 
 เรียกได้ว่าเป็นการบังคับเอาทรัพยากรน้ำหน้าบ้านไปหน้าตาเฉยเลยก็ว่าได้
 
 แทนที่กฎหมายทรัพยากรน้ำจะส่งเสริมหรือสนับสนุนให้ประชาชน ได้ทำในสิ่งที่มีรากฐานของจารีตประเพณี หรือความร่วมไม้ร่วมมือในท้องถิ่น ตามนัยของรัฐธรรมนูญมาตรา 66 เรื่องสิทธิชุมชน ซึ่งเป็นประชาธิปไตยของการจัดการทรัพยากร ในระดับรากหญ้า แต่กฎหมายทรัพยากรน้ำ จะทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามที่กล่าวมาทั้งหมด
 
 ตัวอย่างที่ชัดเจนเช่น ถ้ารัฐจะสูบน้ำจากแม่น้ำระยองส่งไปยังนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดหรือแหลมฉบัง ก็มีความชอบธรรมตามกฎหมายทรัพยากรน้ำฉบับนี้ เพราะน้ำในแม่น้ำระยองไม่ได้เป็นของประชาชนใน จ.ระยอง อีกต่อไป แต่เป็นของ "รัฐ" เพียงผู้เดียว
 
 ประการที่สอง ภาคการเกษตรทั่วไป จะสูญเสียความสามารถการเข้าถึงและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ เมื่อเปรียบเทียบกับภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และกิจการรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ
 
 การสูญเสียความสามารถในการเข้าถึงและการจัดสรรทรัพยากรน้ำ เป็นผลมาจาก พ.ร.บ.น้ำ จะแบ่งประเภทการใช้น้ำเป็น 3 ประเภท ซึ่งภาคการเกษตรโดยทั่วไป จะเข้าข่ายการใช้น้ำในประเภทที่สอง ซึ่งเป็นการใช้น้ำในกลุ่มเดียวกันกับภาคอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การท่องเที่ยว และกิจการรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำ
 
 การใช้น้ำประเภทที่สองนี้ เกษตรกรต้องขออนุญาตใช้น้ำ และต้องเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในเรื่อง ค่าใบคำขอ ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตใช้น้ำที่สูงถึง 10,000 บาท (มาตรา 50) ค่าใช้น้ำ (มาตรา 51) และเงื่อนไขอื่นๆ ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่จะกำหนด เช่น การติดตั้งมาตรวัดปริมาณน้ำ (มาตรา 54)
 
 เงื่อนไขเหล่านี้จะทำให้เกษตรกร "เข้าถึง" น้ำได้ยากขึ้น เพราะเกษตรกรไม่สามารถถ่ายโอนต้นทุนเหล่านี้ไปยังราคาผลผลิตได้ แต่การใช้น้ำในกิจกรรมประเภทอื่นๆ ทั้งหมด ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระต้นทุนค่าน้ำ ไปรวมไปในราคาของสินค้าหรือบริการได้
 
 ตัวอย่างเช่น การประปานครหลวงผันน้ำจากแม่น้ำแม่กลองมาทำน้ำประปาฝั่งตะวันตก โดย กปน.จ่ายค่าน้ำดิบ ให้กรมชลประทานลูกบาศก์เมตรละ 0.50 บาท ต้นทุนค่าน้ำนี้ กปน.สามารถผลักภาระไปยังผู้ใช้น้ำประปาได้ โดยบวกเพิ่มเป็นค่าน้ำดิบใบบิลค่าน้ำประปา
 
 นอกจากเรื่องภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแล้ว กลไกการจัดสรรน้ำทั้งในระดับชาติและระดับลุ่มน้ำ ซึ่งประกอบด้วยกรรมการที่มาจากภาคราชการเป็นหลัก และแทบไม่มีตัวแทนจากภาคองค์กรผู้ใช้น้ำของเกษตรกรจริงๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสม
 
 จึงไม่มีหลักประกันในเรื่องความเป็นธรรมในด้านการจัดสรรน้ำได้ โดยดูจากในระดับกรรมการลุ่มน้ำ มีตัวแทนจากองค์กรผู้ใช้น้ำเพียง 2 คนเท่านั้น คือ "องค์กรผู้ใช้น้ำ" ที่จดทะเบียนตามมาตรา 36 เท่านั้น ที่จะถูกคักเลือกไปเป็นตัวแทนในคณะกรรมการลุ่มน้ำ ซึ่งหมายถึงใครก็ได้มาจดทะเบียนเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำ
 
 นายทุนหรือผู้ประกอบการใช้น้ำขนาดใหญ่ก็สามารถจดทะเบียนและส่งตัวแทนไปเป็นกรรมการในระดับลุ่มน้ำได้ และมาตรา 36 นี้ได้ทำลายความเป็นองค์กรผู้ใช้น้ำตามจารีตประเพณี ที่รับรองในรัฐธรรมนูญมาตรา 66 ด้วยเช่นกัน
 
 ในขณะที่ตัวแทนกรรมการลุ่มน้ำในกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติจำนวน 2 คน ยิ่งไม่มีหลักประกันว่า จะมีตัวแทนเเกษตรกรในสัดส่วนที่มากเพียงพอและสามารถถ่วงดุลได้อย่างเหมาะสม
 
 ดังนั้น กลุ่มที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งในเรื่องการเข้าถึงน้ำ การจัดสรรน้ำและมีเสถียรภาพในการใช้น้ำ คือ กลุ่มกิจการใช้น้ำขนาดใหญ่ต่างๆ ทั้งที่เป็นของเอกชนและที่เป็นของรัฐ (หรือรัฐวิสาหกิจ) นับว่าเป็นการตอกย้ำปัญหาความไม่เป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้มากยิ่งขึ้น
 
 ถึงวันนี้หลายฝ่ายอาจจะรู้สึกว่าสายไปเสียแล้วสำหรับการหยุดยั้งร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาตินี้
 
 แต่ผู้เขียนคิดว่ายังไม่น่าจะสายเกินไป หาก สนช.และรัฐบาลซึ่งมีสถานภาพรักษาการด้วยกันทั้งคู่จะชะลอร่าง พ.ร.บ.น้ำไว้ก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 303 (1) ระบุไว้ชัดเจน ให้การออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชน เป็นหน้าที่ของรัฐบาล และสภาที่ได้มาจากการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคมนี้แล้ว
 
 ประกอบกับไม่ได้เป็นร่าง พ.ร.บ.ที่มีความเร่งด่วน และการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำทั้งที่เป็นร่างของรัฐบาลและร่างของ สนช.ก็มีสาระสำคัญบางประการ ที่ถูกปกปิดไว้ไม่เคยผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็น ในทางสาธารณะมาก่อนหน้านี้แต่อย่างใด
 
 อีกประเด็นหนึ่งที่ สนช.ต้องพิจารณาให้รอบคอบคือ แหล่งน้ำสาธารณะจำนวนมากในประเทศไทย เกิดขึ้นโดยเป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เพื่อให้เกษตรกรได้มีน้ำไว้เพื่อการเกษตรกรรม ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และคงเป็นเรื่องที่ยากจะเข้าใจได้หากเกษตรกรที่ใช้น้ำในโครงการต่างๆ เหล่านี้ เช่น อ่างเก็บน้ำเขื่อนแม่กวงอุดมธารา อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน ฯลฯ จะต้องถูกเก็บค่าน้ำและถูกเจ้าหน้าที่รัฐไล่จับกุม หากใช้น้ำโดยไม่ขออนุญาตหรือไม่จ่ายค่าน้ำ
 
 สนช.สามารถชะลอร่าง พ.ร.บ.น้ำไว้ก่อนได้ และพิจารณาให้รอบคอบมากกว่านี้ด้วยการนำร่างไปเปิดรับฟังความคิดเห็นในทางสาธารณะ และรวบรวมเป็นข้อมูลไว้เพื่อให้รัฐบาล และรัฐสภาชุดใหม่ตัดสินใจต่อไป การเร่งรีบ รวบรัด ตัดตอนออก พ.ร.บ.ทรัพยากรนำของ สนช.
 
 นอกจากจะไม่สามารถเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้แล้วว่าเป็นการ "ทำลายเกษตรกร เอื้ออาทรนายทุน" แล้ว สนช.ยังเป็นผู้สร้าง "สงครามน้ำ" แห่งอนาคตอีกด้วย
 
 
 
 โดย มนตรี จันทวงศ์ มูลนิธิฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ
 
 จากคุณ :
BongKoch
    - [
22 ธ.ค. 50 00:59:08
] |  |  |