ความคิดเห็นที่ 1 ที่จริงอยากต่อประเด็นเรื่อง "เหี่ยวแดง" ด้วย อิอิอิ  แต่กลัวจะยาวไป.. เอาชื่อ หัวข้อก่อนดีกว่า 1.การอนุรักษ์กล้วยไม้ 2.การพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ 3.การอนุรักษ์ VS การพัฒนากล้วยไม้ 4.การอนุรักษ์กล้วยไม้แบบยั่งยืน 5.การพัฒนากล้วยไม้แบบยั่งยืน 6.การอนุรักษ์และพัฒนากล้วยไม้แบบยั่งยืนและครบวงจร.. 7...อะไรต่อดีล่ะเนี่ย.. จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 7 ม.ค. 51 10:50:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ชอบข้อ 6 ครับ  แต่ว่าหลายๆท่านที่ยังคงซื้อและเก็บกล้วยไม้จากป่ามาเลี้ยงคงจะไม่ชอบ จากคุณ : แดงอุบล - [ 7 ม.ค. 51 11:20:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาดูองค์ประกอบ วงจรของวงการต้นไม้ (วงจรนึง) ในแบบที่ผมฝัน.. (เป็น จริงในบางประเทศ)..ซึ่งไม่ได้รวมทุกองค์ประกอบ..เอามาเฉพาะองค์ ประกอบที่น่าจะนำมาพูดคุยกัน ณ ที่นี้ บางองค์ประกอบอาจอยู่ในคนๆเดียว กันก็ได้ 1.taxonomist :  คนเก็บข้อมูล,แนวหน้าในการหาของป่า ควรเป็นคนอึดๆ ลุยๆ ไม่กลัวทาก ช่างสังเกต สายตาต้องยาว และสนิทกับพวกป่าไม้..ที่สำคัญต้องไม่ขี้เหนียว สักแต่ว่าเก็บกะหาต้นใหม่หรือขยันแยกต้นนึงออกจากอีกต้นนึง เพื่อตั้งเป็นชื่อตัวเอง..แต่ต้องส่งไปให้คนที่สอง 2.germplasm conservation unit or gene bank: คนเก็บของที่คนแรกหา มาได้..ควรเป็นคนชอบขีดเขียน บันทึก เก็บข้อมูล ชอบปลูกต้นไม้ มีตู้แช่แข็งแบบเยือกและห้องเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อเป็นของตนเอง...... เพื่อวันนึงแหล่งที่หาต้นไม้ได้มันกลายเป็นสนามกอล์ฟหรือเขื่อน..กล้วยไม้ที่เก็บไว้จะได้ไม่สูญพันธุ์ เป็นคนใจดีใครขออะไรไปใช้ประโยชน์   เห็นว่าดีก็ให้ไป.. 3.breeder : ควรผู้มีความรู้ทางพันธุศาสตร์ และสถิติที่ดี..สายตาคม มีความ โลภอยู่ในตัวเป็นตัณหาผลักดัน มีรสนิยมทางศิลปะที่ดี ติดตามแฟชั่นของต้นไม้อยู่เสมอ เป็นคนเลือกเอาต้นไม้จาก gene bank ว่าต้นไหนควรจับคู่ กับต้นไหนแล้วจะทำยังไงต่อไปจนได้ต้นที่ดีที่สุด 5.Agricultural extension unit : เป็นพวกปากจัด ช่างเจรจา เมื่อ breeder ปรับปรุงพันธุ์จนได้พันธุ์ที่ดีและทดสอบสายพันธุ์เปรียบเทียบกับที่มีอยู่เดิมในท้องตลาดแล้ว...หน่วยนี้มีหน้าที่เอาไปตีปี๊บ..ให้คนปลูกและคนซื้อทั้งหลาย..ได้รู้จักว่าพันธุ์ที่ทำมาใหม่มันดีกว่าเดิมยังไง สวยยังไง ดียังไง... 6.Propagater : เป็นคนดีมีจรรยาบรร มีความรู้ทางด้านการขยายพันธุ์ เช่นปั่นตา เอาสายพันธุ์ดีจากคนผสมมาขยายให้ได้ปริมาณมากๆแล้วส่งคืนเจ้าของครบทุกต้นงอกก็บอกว่างอก ไม่งอกก็บอกไม่งอก... 8.grower : เป็นพวกชอบลองปุ๋ย ลองยา ลองฮอร์โมน เข้าใจเรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นอย่างดี ทำอย่างไรให้พันธุกรรมที่คนผสมมานทำมาจะแสดงออกได้มากที่สุด 9.whole saler : ต้องรู้จักกับคนปลูกเยอะๆ รู้วิธีนำเข้าส่งออก  ไม่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น แต่ชอบผสานผลประโยชน์ 10.retailer : เป็นคนที่จะสร้างทรรศนะตลอดจนแนวทางของตลาดกับคนใช้งานต้นไม้ ดอกไม้ 11.consumer : มีคนชอบเลี้ยง...กลุ่มนี้จะทุกข์มากหน่อย..เพราะเลี้ยงแล้วเป็นภาระและจะคาดหวังว่าวันนึงต้องเลี้ยงแล้ว งามกว่าที่คนเลี้ยงขาย เขาทำมา บางทีก็กลายเป็นคนขายซะเอง.. กับ คนชอบดู ซื้อมาดูๆ มีความสุขกับต้นไม้ ระยะนึงแล้วทำใจได้ว่าไม้มานมาสวยอยู่กับเราระยะนึงแล้วมานก็โรยราไป..คุ้มค่ากับที่เสียเงินไปละ..ไม่ได้มีความคิดว่าไม้ที่ซื้อมาทุกต้น จำเป็นจะขยายพันธุ์แจกชั่วลูกชั่วหลาน...แต่คิดว่ามันโทรมตาย ก็ไปซื้อมาใหม่... คิดออกแค่นี้อะ จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 7 ม.ค. 51 11:27:52 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อนึ่ง..ข้างบนเป็นพวกที่อย่ในสายงาน..หรือมือสมัครเล่น (แบบซีเรียส) ของการ ."ใช้" พันธุกรรมของพืชต้นนึงที่มีจุดเริ่มต้นมาจากป่า ไปจนถึงเมือง  ขอพูดแบบเข้าข้าง breeder ว่า หากจะมองหาปัญหา เพื่อ ."จุดประเด็น" มองเห็นได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก...ที่ taxonomist ขี้เหนียว...แม้กับ breeder ที่มีหน้าที่โดยตรง ติดไว้แค่นี้ก่อนดีกว่า..รอใครมาขยายความ... จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 7 ม.ค. 51 11:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนที่กระทบที่สุดในห้องเรือนกล้วยไม้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สมัครเล่น หรืออาจมีบางส่วนที่ชอบแต่แนวพันธุ์แท้ ไม่นิยมปลูกเลี้ยงลูกผสม จะถูกกล่าวหาเป็นผู้ทำลายธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง ...ขอเปิดประเด็นนี้ก่อนครับ.... ในคห. 3 เห็นว่าคุณเสือเจ้าถิ่นได้นำเสนอส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรแบบยั่งยืน นั้นเอง...หากสังเกตให้ดี ขบวนการทั้งหมดไม่สามารถกระทำได้ตนเองทั้งระบบ....ต้องมีแนวร่วมและมีข้อตกลงระหว่างกันอย่างดีเยี่ยมจนไม่เกิดคำว่า....."สุดโต่ง" ไปยังกลุ่มใดกล่มหนึ่ง รอความเห็นประเด็นเพิ่มเติมครับ จากคุณ : appendiculata191 - [ 7 ม.ค. 51 12:39:14 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามาเก็บข้อมูลไว้ประดับความรู้ค่ะ.. จากคุณ : เข้ามาชม (ภัสสรา) - [ 7 ม.ค. 51 14:05:20 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ในความเห็นของข้าพเจ้า 1.การอนุรักษ์กล้วยไม้ - ให้จัดประกวดกล้วยไม้พันธุ์แท้ช่อแรกให้มากๆ ช่อสองช่อสามไม่สนับสนุน โดยแยกประเภทเป็นพันธุ์แท้ที่ฟอร์มเหมือนไม้ป่าแบบเดิมๆ กับฟอร์มที่ต้องการตามประสงค์ กลม โต สีจัด ช่อยาว ฯลฯ 2.การพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ - พัฒนากันอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่แนวคิด ผสมได้ก็บอกผสมได้ ไม่ใช่เอาต้นนึงผสม แล้วบอกว่าเอาอีกต้นผสม เพราะกลัวว่าจะมีคนผสมตาม และไม่ควรกลัวเรื่องการจดทะเบียนชื่อกล้วยไม้ แต่ควรกลัวเรื่องของความถูกต้องของคู่ผสมมากกว่า  พ่อแม่เดียวกัน อย่าว่าแต่จิ้มสองทีเลยครับ ไม้ฝักเดียวกันยังออกมาได้ไม่เหมือนกัน 3.การอนุรักษ์ VS การพัฒนากล้วยไม้ - ชัดเลยครับให้ความรู้ผู้ปลูกเลี้ยง ให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างพันธุ์แท้ป่า กับพันธุ์แท้ที่ปรับปรุงพันธุ์แล้ว จะมีซักกี่คนที่รู้ว่ากล้วยไม้ป่าที่กำขายมันปลูกไม่ค่อยขึ้น 4.การอนุรักษ์กล้วยไม้แบบยั่งยืน - ยกเลิกการเก็บกล้วยไม้ไว้ในป่าอย่างเดียว ให้สามารถเอามาไว้ที่บ้านได้ เพราะถ้ากล้วยไม้ในป่าหมดไปก็จะได้มีกล้วยไม้ที่สามารถนำไปปลูกชดเชยได้ อ้อ แล้วอยากจะรบกวนนักท่องป่าครับ หากเจอดอกกล้วยไม้ป่าบาน ช่วยทำตัวเป็นแมลงมือบอน เอาเกสรตัวผู้ไปใส่ไว้ในแอ่งเกสรตัวเมียด้วย ในป่าที่สมบูรณ์เขาสามารถขึ้นได้เอง 5.การพัฒนากล้วยไม้แบบยั่งยืน - อยู่ที่แนวคิดอีกนั่นแหละครับ ต้นยอดเยี่ยมไม่จำเป็นต้องมีพ่อ FCC และ แม่ AM เสมอไป (ดูตัวอย่างจากการพัฒนาสายพันธุ์ แคทลียาได้ครับ) แค่พิจารณาจุดเด่น จุดด้อย และความหลากหลายของสายพันธุ์ก็ยั่งยืนพอแล้วครับ เน้นเรื่องการให้ความรู้เรื่องการใช้ชื่อสกุล ชื่อจดทะเบียน ชื่อวาริตี้ ชื่อประจำต้น หรือรหัสคู่ผสมที่สามารถติดตามได้ 6.การอนุรักษ์และพัฒนากล้วยไม้แบบยั่งยืนและครบวงจร.. - สร้างความเข้มแข็งให้วงการ ให้ท้องอิ่มแต่อย่าอิ่มคนเดียว ให้คนที่ซื้อไปเลี้ยงให้รอดออกดอกมาดูใหม่เขาจะได้มีกำลังใจในการซื้อเพิ่ม ดีกว่าเลี้ยงแล้วตายๆๆๆๆ เขาก็ไม่อยากเลี้ยงครับ คนเรามี่ความผูกพันกับสิ่งที่ตนเองชอบและประสบความสำเร็จ มากกว่าความล้มเหลว 7...อะไรต่อดีล่ะเนี่ย.. - ร้านเหล้าครับ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 15:14:02 แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 15:02:40 จากคุณ : voravan_mike - [ 7 ม.ค. 51 14:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเองก็ เพิ่งเข้ามาเลี้ยงกล้วยไม้อย่างจริงจังไม่นานนะครับ  และ เป็นพวกที่เริ่มต้นจากที่ชอบเลี้ยงเพราะเห็นว่ามันสวยดี และ มีกลิ่นหอม อย่างที่เคยคุยให้ฟังในกระทู้ที่ผมโพสเข้ามา  แต่พอเข้ามาที่เรือนกล้วยไม้นาน ๆ เข้า  ก็ได้ซึมซับเอาความรู้ต่าง ๆ ทีละน้อย ๆ แบบไม่รู้ตัวจากท่านผู้รู้ในนี้  จนปัจจุบันก็ มีความรู้สึกหลายๆอย่าง หลาย ๆ ด้านที่เปลี่ยนไป  เริ่มจากที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจเรื่องชื่อของกล้วยไม้แต่ละชนิดที่เลี้ยง  ว่ามันชื่ออะไร จนปัจจุบันเริ่มรู้จักแล้ว  และ จะพยายามรู้จักให้มากกว่านี้เข้าไปอีก  และนั่นแหละครับที่เป็นแบบที่ท่าน appendiculata191 พูดเอาไว้คือ เป็นผู้ปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สมัครเล่น สำหรับแนวความคิดแบบนั้นที่ท่าน เสือเจ้าถิ่น  เสนอมานั้น  ผมก็ว่าดีนะครับ  เพราะปัจจุบันนี้สถานการณ์การทำลายกล้วยไม้ที่ขึ้นตามธรรมชาติก็มีมากขึ้น ๆ ทุกที  แบบนี้ผมว่าจะมาคิดเอง ทำเองในเฉพาะเรือนกล้วยไม้นี้ คงไม่พอนะครับ  คงต้องอาศัยองค์กรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยเฉพาะเข้ามาดูแล  โดยจะต้องให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่าง ๆ ที่เราต้องการ คือ การอนุรักษ์ และ การพัฒนา ซึ่งผมเห็นว่าเราควรจะแยกกันให้ออกมาเป็น 2 ส่วนนะครับ  คือ การอนุรักษ์ และ  การพัฒนา  โดยเราต้องหานโยบายว่าเราจะทำการอนุรักษ์กล้วยไม้ที่มีอยู่ในธรรมชาติได้อย่างไรและโดยวิธีไหน ฯลฯ  ที่จะทำให้เขาอยู่ในธรรมชาติได้โดยไม่ถูกทำลาย ซึ่งคงต้องอาศัยอำนาจของรัฐ  แล้วนะครับ   ส่วนการพัฒนานั้น  ก็คงต้องอาศัยท่านผู้รู้ทุกท่าน  ไม่ว่ารัฐ หรือ เอกชน คนทั่วไป ที่มีความรู้มาช่วยกันหาวิธีว่าจะทำอย่างไรที่จะให้คนที่เขาชอบเลี้ยงกล้วยไม้ทั้งมือสมัครเล่น และ มืออาชีพ รวมไปจนถึงผู้ที่ทำธุรกิจในเรื่องซื้อ-ขายกล้วยไม้ด้วย  ให้ซื้อ-ขายกล้วยไม้ที่มาจากการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่  หรือ มาจากห้องแลป เท่านั้น และสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาแล้วนั้นจะต้องแสดงให้เห็นได้ว่า เลี้ยงง่ายกว่า สวยกว่า สายพันธุ์แท้จากป่า (ราคาก็ต้องไม่แพงนักนะครับ)  ซึ่งก็คงต้องอาศัยปัจจัยอีกหลายด้านที่จะโน้มน้าวให้คนมาซื้อ-ขายกล้วยไม้ดังกว่าเท่านั้น ผมก็คงจะร่วมแสดงความคิดเห็นเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ  ตามประสาของคนที่มีความรู้ทางนี้น้อย  แต่อยากเห็นสิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นตามแนวคิดของเจ้าของกระทู้นี้นะครับ แก้ไขเมื่อ 07 ม.ค. 51 15:23:12 จากคุณ : หนุ่มแม่ริม - [ 7 ม.ค. 51 15:12:28 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ที่สำคัญที่สุดทุกๆข้อในคห.ที่3 ต้องเป็นผู้สุจริตด้วยครับไม่มั่วซั่วเพราะจะเกิดความผิดพลาดอย่างมหันต์ต่อไปในอนาคตครับ ลำพังการสื่อกันไม่ดีก็ทำให้เกิดความผิดพลาดได้อยู่แล้ว   ตย. เช่นใน orchidspecies.com ที่มีหลายๆคนใช้หาความรู้ ดูรูป ไม้พันธุ์แท้อยู่เรื่อยๆ ก็ยังพบเจอ มีลงรูป Rhynchostylis  gigantea var.coerulea ด้วย ซึ่งรูปเป็นช้างบลู(ช้างเผือก xฟ้ามุ่ย)   ข้อมูลสื่อสารคงผิดพลาดครับ จากคุณ : the_gift - [ 7 ม.ค. 51 15:51:15 ]

ความคิดเห็นที่ 10 การอนุรักษ์และพัฒนา คงจะแยกทำไม่ได้นะครับ คงต้องทำควบคู่กันไป ทุกวันนี้ถ้าเราไปเดินตามตลาดที่มีไม้ป่าขาย เคยหยุดฟังคนที่ซื้อคนขายคุยกันไหมครับ คนซื้อส่วนมากก็จะถามว่า ต้นชื่ออะไร ดอกเป็นยังไง ปลูกยังไง คนขายส่วนมากก็จะตอบชื่อ จากการเปิดหนังสือ ให้ดูดอก แล้วก็บอกวิธีการปลูกว่า ปลูกง่ายๆ เอาติดขอนไม้ หรือลงกระถาง หรือติดต้นไม้ ให้น้ำให้ปุ๋ย สรุปว่า คนที่ซื้อมีข้อมูลเท่าที่คนขายบอกแล้วก็ซื้อไปปลูก ทั้งๆที่การปลูกกล้วยไม้แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน การดูแลก็ต่างกัน ซื้อไปปลูกทั้งๆที่ไม่มีความรู้ คนขายก็ไม่ใช่คนปลูก หรือคนที่มีความรู้อะไรมากมายในการดูแลรักษา ก็จะให้ข้อมูลแก่คนซื้อแบบผิดๆ ผลก็คือ กล้วยไม้ป่าที่ซื้อไปก็ตาย เป็นการเสียของโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าผู้ซื้อเป็นผู้ที่มีความรู้ดีอยู่แล้วสามารถปลูกเลี้ยงและขายพันธุ์ได้เอง ก็จะเป็นการอนุรักษ์และพัฒนาโดยตรง ส่วนนี้ควรต้องส่งเสริม แต่บ้านเรา กฎหมายก็ต้องเป็นกฎหมาย ไม่ว่าคุณจะเลี้ยงเก่งขนาดไหน สามารถขยายพันธุ์ได้มากขนาดไหน แต่เมื่อกฎหมายบอกว่าผิด มันก็ผิด น่าจะมีการแก้ไขตรงนี้ด้วย การอนุรักษ์และพัฒนา ไม่ควรที่จะห้ามทั้งหมดแต่ควรที่จะส่งเสริม ให้ความรู้ เพื่อให้ผู้ที่ปลูกเลี้ยงได้เลี้ยงไม้นั้นๆได้สำเร็จด้วย จากคุณ : ปุ้ม ครับ - [ 7 ม.ค. 51 18:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เห็นด้วยกับพี่หนุ่มแม่ริมครับ (ให้ตัดประเด็นถิ่นที่อยู่ออกก่อน) ต้องแยกการอนุรักษ์ และ การพัฒนา ออกจากกันก่อน การอนุรักษ์ ต้องการความหลากหลายทางพันธุกรรม แล้วให้กล้วยไม้แพร่พันธุ์ตามธรรมชาติ (อย่าง ในกรณี ของรองเท้านารี อินทนนท์) ในประเด็นนี้ กระผม ไม่ค่อยรู้เรื่อง ระบบนิเวศน์ ของป่าเท่าไร สำหรับการพัฒนา เป็นการคัดสายพันธุ์โดยมนุษย์ คนเราทำมา กว่าร้อยปี แล้ว คิดว่า กล้วยไม้พันธุ์ แท้ในต่างประเทศ ยกตัวอย่าง ฮาวาย คงมีคุณภาพตามที่ มนุษย์ต้องการ การ วิจัย การพัฒนา ความโลภ แยกไม่ค่อยออก ที่ทำได้ตอนนี้ ของกระผมคือ อย่ารบกวนป่า ครับ จากคุณ : ลุงหนวด (ลุงหนวด๒๕๔๗) - [ 7 ม.ค. 51 19:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ก่อนอื่นต้องขอชื่นชม ความคิดดีๆที่อยากจะรวมความคิดเห็นจากทุกคน และผมมีความรู้สึกว่า มันก็คงไม่ต่างจากการพุดคุยเรื่องการอนุรักษ์ครั้งก่อนๆ ในเวปนี้ หรือเวปอื่นในประเทศนี้ เพราะอะไรหรือครับ เพราะว่าคนไทยเราชอบที่จะคิด แต่ไม่ชอบที่จะอ่านหนังสือ ทำให้รากฐานทางความคิดนั้นไม่แน่น และเปราะบางพร้อมจะพังครืนลงมาทุกเมื่อ เพราะเท่าที่อ่านในกระทู้มาทั้งหมดนี้ ดูเหมือนว่าจะมีความไม่เข้าใจท่องแท้ในแต่ละสาขาดีพอ เพราะเรากำลังพุดในเรื่องที่กว้างมาก รวมทั้งพูดโดยขาดหลักฐานทางวิยาศาสตร์และการอ้างอิงเอกสารทางวิทยาศาสตร์ ผมจึงขอแนะนำในจุดที่ผมเห็นคือ 1. ต้องไปอ่านหนังสือในแต่ละสาขากันมาให้ท่องแท้ก่อน อย่านึกเดาเอา หนังสือที่เลือกอ่านก็ควรเป็นหนังสือทางวิชาการที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเค้าใช้เป็นภาษากลางในการสื่อสารกัน และควรอ่านในเอกสารที่เขียนขึ้นสำหรับนักวิทยาศาสตร์อ่าน เพราะ หนังสือที่เขียนให้บุคคลทั่วไปอ่าน มักจะมีการบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ทาง Second Language Asquisition จะเรียกว่า Over-simplification 2. พยายามอย่าสรุปอะไรง่าย โดยที่เราไม่รู้จริง เพราะเท่ากับว่า คนที่ปรับปรุงพันธุ์ ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกอนุรักษ์ สุดโต่ง 3. พยายาม อย่าเอาความคิดของคนที่ไม่ใช่ นักพฤกษศาสตร์ นักอนุรักษ์ เฉพาะกิจที่ไม่ได้ศึกษาอย่างจริงจังมาเป็นมาตรวัด กลุ่มคน 4. พยายามอย่าเอาตนเป็นที่ตั้งในการมองสิ่งต่างๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว พยายามมองในมุมมองอื่นบ้าง เพราะสิ่งเดียวกันนั้น ที่เรามองว่ามันแย่ มันห่วย มันไม่ได้เรื่องนั้น จริงๆแล้วถ้าเราได้มองจากมุมมองอื่น เราจะรู้ว่า สิ่งเหล่านั้นมันมีความดีแทรกอยู่เหมือนกัน อย่างที่มีคนเคยพุดไว้ และผมก็เห็นด้วยคือ ทุกคนมีทั้งด้านมืด และด้านสว่าง ไม่มีใครดำสนิท หรือ ขาวสะอาดหมดจด  พยายามมองคนแบบเปิดกว้าง และพยายามเปิดใจรับผู้อื่นบ้าง เพราะทุกครั้งที่เราพยายามจะรู้จักใคร แต่ตัวเราเองไม่เคยทะลายกำแพงที่ปิดกันตัวเราเองออกเลย เราก็จะไม่มีวันรู้จักคนอื่นได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะเราจะมองเค้า ในด้านที่เราอยากให้เค้าเป็น เลวหรือดี ใจที่โอนเอียงได้กำหนดและปรุงแต่งไว้แล้ว 5. การใช้คำว่าพัฒนาสายพันธุ์ จริงๆ น่าจะใช้คำว่า การปรับปรุงพันธุ์ เพราะพัฒนาเป็นมาตรวัดทางวัฒนธรรม ซึ่งเลื่อนลอยไปตามค่านิยม ณ ช่วงเวลาหนึ่ง การปรับปรุงสายพันธุ์ จึงไม่จำเป็นต้องดีขึ้น เพียงแต่มันได้ปรับเปลี่ยนไปตามใจเราต้องการเท่านั้นเอง จากคุณ : Paphmania - [ 8 ม.ค. 51 00:06:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาย้ำเตือนอีกที อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ อ่านหนังสือ พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร พอเพียง พอดี พอควร มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง มองต่างมุมบ้าง อย่าพยายามเหมารวมตัดสินกลุ่มคนว่าต้องเหมือนกันหมด เพราะในหมู่สงฆ์ ยังมี สมี ในหมู่ นักโทษ ก็ยังมีนักบุญได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟัง รับรู้ พินิจพิเคราะห์ อย่างมีเหตูผล บนรากฐานของความรอบรู้ อย่าพยายามเหมารวมตัดสินกลุ่มคนว่าต้องเหมือนกันหมด เพราะในหมู่สงฆ์ ยังมี สมี ในหมู่ นักโทษ ก็ยังมีนักบุญได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟัง รับรู้ พินิจพิเคราะห์ อย่างมีเหตูผล บนรากฐานของความรอบรู้ อย่าพยายามเหมารวมตัดสินกลุ่มคนว่าต้องเหมือนกันหมด เพราะในหมู่สงฆ์ ยังมี สมี ในหมู่ นักโทษ ก็ยังมีนักบุญได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟัง รับรู้ พินิจพิเคราะห์ อย่างมีเหตูผล บนรากฐานของความรอบรู้ อย่าพยายามเหมารวมตัดสินกลุ่มคนว่าต้องเหมือนกันหมด เพราะในหมู่สงฆ์ ยังมี สมี ในหมู่ นักโทษ ก็ยังมีนักบุญได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟัง รับรู้ พินิจพิเคราะห์ อย่างมีเหตูผล บนรากฐานของความรอบรู้ อย่าพยายามเหมารวมตัดสินกลุ่มคนว่าต้องเหมือนกันหมด เพราะในหมู่สงฆ์ ยังมี สมี ในหมู่ นักโทษ ก็ยังมีนักบุญได้ เปิดใจให้กว้าง รับฟัง รับรู้ พินิจพิเคราะห์ อย่างมีเหตูผล บนรากฐานของความรอบรู้ จากคุณ : Paphmania - [ 8 ม.ค. 51 00:22:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 การปรับปรุงพันธุ์ กล้วยไม้ ไม่ใช้การพัฒนาสายพันธุ์ อะไรทั้งสิ้น เพียงแต่เป็นการปรับเปลี่ยนธรรมชาติให้เป็นไปตามใจที่มนุษย์ปราถนา เพื่อตอบสนองอัตตา ความอยากได้ ตัณหา ในสิ่งที่สังคม ณ เวลานั้น ถือว่า หายาก ถือว่ามีแล้วดี ถือว่ามีราคา ซึ่งเป็นความสุขของมนุษย์ในสังคมทุนนิยมที่เกินจากปัจจัยสี่ไป เกินจากความพอเพียงไป แต่มันก็เป็นสิทธิที่ชอบธรรมของนักเพาะเลี้ยงที่จะปรับปรุงพันธุ์ แต่การกระทำเหล่านั้นควรที่จะมีผลกระทบในด้านลบต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ ของกล้วยไม้ในธรรมชาติให้น้อยที่สุด จากคุณ : Paphmania - [ 8 ม.ค. 51 00:41:45 ]

ความคิดเห็นที่ 15 การได้องค์ความรู้ส่วนหนึ่งต้องยอมรับมาจากการสั่งสอน ซึ่งก็ได้มาจากครู บาอาจารย์นั่นเอง (ตำราที่มีเขียนไว้แล้ว...ถูกถ่ายทอด) และส่วนหนึ่งมาจากความคิดแตกประเด็นจากผู้ชำนาญการสาขาโดยเฉพาะ ซึงไม่จำเป็นต้องได้องค์ความรู้จากหนังสือ มาจากหลายด้านได้ เช่นการยอมรับคำวิจารณ์ การพูดถึงประสบการณ์จากบุบคุลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่ง แล้วตนเองนั้นแหละนำมาพิจารณาว่าจริงหรือไม่จริง....ตามแนวทางที่เป็นองค์ความรู้หรือไม่ ส่วนการตีความว่าการปรับปรุงพันธุ์ ไม่ใช่การการพัฒนาสายพันธุ์ เป็นเรื่องต่างมุมมอง (ผมยอมรับได้) ในใจของนักปรับปรุงพันธุ์ (ความเชื่อส่วนบุคคล) ถึงแม้จะวาดมโนภาพการปรับปรุงพันธุ์แบบแนวกระแสนิยม หรือกระแสนิยมตนเองก็ตาม ผมเชื่อได้ว่านักปรับปรุงพันธุ์ทุกคนมีแนวทางที่แก้ปัญหาสายพันธุ์ดั้งเดิม ไม่ว่าจะต้านทานสิ่งแวดล้อมดีขึ้น การได้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น และอื่นๆ ไม่มีนักปรับปรุงพันธุ์จะปรับปรุงสายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะด้อยลงทุกประการ ฉะนั้นในขบวนการปรับปรุงพันธุ์ 1 สายพันธุ์ มีขบวนการหลายขั้นตอน เช่น รวมรวมแหล่งพันธุกรรม การเข้าคู่เพื่อเข้าสู่ขบวนการถ่ายทอดทางพันธุกรรม การคัดเลือกลูกผสม (มีคัดทิ้งด้วย) และการตรวจสอบลูกผสมจนแน่ใจว่ามีลักษณะที่ดีกว่าเดิม) ไม่มีใครผิดใครถูกในกระทู้นี้หรอกครับ อยู่ที่การแสดงท่าทีต่อสาธารณชนมากกว่า จากคุณ : appendiculata191 - [ 8 ม.ค. 51 08:47:03 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ประเด็นอยู่ตรงไหนละคับเนี่ยพี่น้อง.........]v'9k,f^ot8iy[............ โอ๊ยปวดหัววววว...อีกตามเคย.... 1 จุดยืนของคนเล่นกล้วยไม้ในการใช้ทรัพยากรไม้ป่า อย่างผิดกหมาย แต่ถูกหลักการปรับปรุงพันธุ์...........คุณ voravan_mike ให้แนวคิดและทางแก้ปัญหาที่ตกผลึกน่านำไปคิดต่อจริงๆ ถ้าบังเอิญอนาคตใครได้ไปจัดประกวดอย่าลืมล๊อปบี้กรรมการให้ใช้ความเห็นข้อที่ ของคุณ voravan_mike ก็จะดี 2 การอนุรักษ์และพัฒนาคงแยกทากันเดินไม่ได้แต่แยกคุยทีละเรื่องจะง่ายกว่า 3.เฮีย the gift  เป็นห่วงเรื่องการมั่วของข้อมูล 4.คุณพี่ paphmania เป็นห่วงเรื่องคนเล่นกล้วยไม้ซีเรียสกับวิชาการน้อยไปหน่อย..เปิดใจให้กว้าง..ควรหาอ่านเปเปอร์ทางวิชาการเพิ่มเติมความรู้ให้มากๆ และประเด็นการปรับปรุงพันธุ์คืออะไร...ทำไปทำไม ผมเองผู้รู้น้อย สรุปคร่าวๆเท่านี้.... สรุปว่า ประเด็นเรื่องอนุรักษ์หมือนวิ่งวนในอ่าง...ไปก่อน มาว่าเรื่องการพัฒนากันต่อดีป่าวคับ...... การพัฒนาพันธุ์กล้วยไม้ และการพัฒนาวงการกล้วยไม้ควรเป็นอย่างไร เริ่มจากที่คุณpaphmaniaว่าไว้...การปรับปรุงพันธุ์กล้วยไม้คือ อะไร..ทำอย่างไร...ทำทำไม...ทำที่ไหน..ใครทำ........... จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 8 ม.ค. 51 16:29:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เห็นด้วยกับอาจารย์ paph ที่ว่า "พยายามอย่าเอาตนเป็นที่ตั้งในการมองสิ่งต่างๆ แต่เพียงฝ่ายเดียว พยายามมองในมุมมองอื่นบ้าง...พยายามมองคนแบบเปิดกว้าง และพยายามเปิดใจรับผู้อื่นบ้าง" จุดมุ่งหมาย ที่ผมอยากจะพูดคือ พื้นฐานของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดในความคิดผม มันไปผูกพันกับระบบเศรษฐกิจไปเสียหมด ซึ่งบางครั้งเราอาจจะถามหาคำว่า จรรยาบรรณได้ยากอยู่ บางทีเราเพ้อเจ้อ มากเกินไป อ่อนไหวมากเกินไป และเพ้อฝันมากเกินไป หมายถึงอะไร? หมายถึงว่า เราวาดวิมานในอากาศ ในหลายๆเรื่อง ซึ่งมีทางเป็นไปได้ แต่ยาก เช่นพูดถึง การอนุรักษ์ แบบบริสุทธิ์ การไม่ผสมทำสายพันธุ์ใหม่เพราะเป็นการทำลายสายพันธุ์เก่า ผมคิดว่าเราควรสร้างทางเลือกอะไรหลายๆ ทาง หลายๆแนว แล้วหาแนวที่เหมาะสมที่สุด สำหรับคนๆหนึ่ง หรือสังคมสังคมหนึ่งๆ อย่างแรก สำหรับนักวิชาการทางด้านกล้วยไม้เมืองไทย ที่เชียวชาญด้านภาษา ควรเขียนงานออกมาให้มากๆ เขียนงานให้อ่านง่ายๆ แปลเอกสารวิชาการต่างประเทศให้เยอะ หรือไม่ก็นำบทความเหล่านั้นมาให้ผองสมาชิกได้อ่านรับรู้เข้าใจกันครับ วงวิชาการจะได้ก้าวหน้าพัฒนากับต่างชาติ ผมอยากอนุรักษ์ ไม่ทราบว่า มีเอกสารอะไรแนะนำให้ผมอ่านบ้างครับ จากคุณ : buaravong - [ 8 ม.ค. 51 18:17:23 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อยากอ่านเอกสารที่แปลจากภาษาอังกฤษเยอะๆอ่ะ เห็นมีแต่คนพูดจะทำกันเยอะ แต่ไม่ค่อยมีคนแปล ไม่ค่อยมีคนทำเลย ส่วนตัวก็ยิ่งไม่เป็นคนเก่งภาษาอังกฤษอยู่ด้วย ถ้ามีงานแปลเกี่ยวกับกล้วยไม้เยอะๆคงดี วงการกล้วยไม้จะได้ก้าวหน้าไปบ้าง จากคุณ : บุหงากะสุต - [ 8 ม.ค. 51 19:49:31 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ก็คนในห้องนี้แหละครับ ที่พวกฝรั่งหัวแดงให้การยอมรับอยู่.... มีงานเขียนในภาษาต่างประเทศอยู่ แต่คนในวงการของบ้านเราดันไม่รู้จักเค้าแฮะ.....น่าแปลกใจมั้ยล่ะ บางคนได้รับเชิญให้ไปบรรยายถึงอาเมริกาโน่นเลย..... เอ้า....คราย....สอบถามกันดูนะครับ..... ส่วนเรื่องการพัฒนา การปรับปรุงสายพันธุ์นั้น ผมไม่มีความรู้เลยครับ.... ขอถ่ายภาพกล้วยไม้สวยๆอย่างเดียวต่อไปครับ..... จากคุณ : abman - [ 8 ม.ค. 51 23:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นเรื่องที่ดีมากเลยค่ะ ที่มีนักวิชาการเก่งจนต่างประเทศยอมรับ แถมเป็นคนในเรือนอีกต่างหาก เรื่องดีแบบนี้ ก็ควรจะประกาศชื่อ ให้คนในเรือนได้รู้นะคะ คุณ abman แต่ก็น่าแปลกใจว่าทำไมคนไทยไม่รู้จัก ประเด็นนี่น่าพิจารณามากๆว่า นักวิชาการกล้วยไม้เก่งๆ ไม่คิดสนองคุณประเทศบ้างเลย ยกตัวอย่าง ท่านอาจารย์ระพี ท่านเป็นที่ยอมรับของชาวต่างชาติไม่พอ ท่านก็เขียนหนังสือและบทความดีๆ ให้คนไทยได้อ่านจำนวนมาก ให้ข้อคิดเตือนใจ สร้างสิ่งดีงามแก่วงการกล้วยไม้ไทยอย่างยิ่ง คนดีๆ เก่งๆ ควรสร้างคุณูปการให้กับวงการกล้วยไม้ของไทย แปลหนังสือ ออกหนังสือให้คนไทยได้อ่านเยอะๆ ค่ะ จากคุณ : เอื้องศรีทอง - [ 9 ม.ค. 51 14:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 21 กระทู้นี้ ขอนั่งชมเฉยๆดีกว่า เดี๋ยวของเข้าตัว หุหุหุ จากคุณ : Oatz - [ 9 ม.ค. 51 15:26:56 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่รู้ว่าผิด ว่าถูก มันแยกกันตรงไหน ใครเป็นผู้กำหนด แล้วคนกำหนดนั้นน่าเชื่อถือ น่านับถือหรือมีคุณธรรมหรือว่ายุติธรรมกับธรรมชาติมากน้อยแค่ไหน... ส่วนตัวเอง.... 1. ไม่สนับสนุนการซื้อของป่าหรือต้นที่นำออกมาจากป่าในปริมาณที่มากเกินไป แต่ถ้าเพียงต้นหรือสองต้น เขาก็คงน่าจะพอมีสิทธิ์ แต่ก็อย่างว่าแหล่ะ ถ้าคนละต้นสองต้น ทั้งประเทศจะเท่าไร ทั้งโลกจะเท่าไร ..... แต่ถ้าผมเห็นว่าสวยและต้องการหลาย ๆ ต้น ก็จะผสมพันธุ์ ติดฝักในคราวแรกเลย แล้วก็ส่งเข้าแลป นำมาเลี้ยงต่อให้ได้เพิ่มเป็นสิบเป็นร้อยต้น แต่ก็ไม่ได้เพื่อจำหน่ายเป็นหลัก มีแจกมีแบ่งมีแลกบ้างแล้วแต่อารมณ์ขณะนั้นจะพาไป แต่เมื่อมีแล้วก็จะไม่ไปรบกวนจากธรรมชาติอีกเลย หรือว่าถ้ามีของที่ทำกันมาแล้ว ก็จะซื้อ แม้ว่าจะแพงกว่าธรรมชาติบ้าง แต่ก็แค่ต้นสองต้นคงไม่เกินกำลังของเรา แต่อย่างไรก็ตาม การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ จากหนังสือ จากตำรา จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ต้องกระทำก่อนที่จะสรรหามาเลี้ยง ไม่ซื้อก่อนที่จะศึกษาก่อนอย่างเด็ดขาด 2. ไม่พยายามจะเข้าไปยุ่งกับพันธุ์หรือชนิดที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด (เพราะมันจะมีราคาแพง เป็นเรื่องของธุรกิจมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของผู้รักกล้วยไม้เกินไป) โดยเฉพาะของใหม่ ๆ หรือเพิ่งพัฒนาออกมาได้ใหม่ ๆ ราคายังคงสูงหรือแพงโคตร ๆ อยู่ เพราะเหตุว่าเราเลี้ยงเพื่ออดิเรกเป็นหลัก ได้ต้นดี ต้นสวยมาก ๆ มาอยู่กับเราก็ไม่มีประโยชน์เท่าไร เพราะเราไม่ได้นำไปทำผสมพันธุ์ต่อเป็นธุรกิจกล้วยไม้ ปล่อยให้พวกที่ทำธุรกิจกล้วยไม้เขาใช้งานไปก่อน รออีกสักสามปีห้าปี เดี๋ยวราคามันก็ตกลงมาอยู่ในระดับที่โอเคสำหรับเรา 3. ไม่ต่อต้านการทำธุรกิจกล้วยไม้ เพราะก็เป็นอาชีพของเขา แล้วเราก็ใช้บริการของเขาอยู่ด้วย แต่ก็อยากจะบอก ๆ เขาเหมือนกันว่า ให้มีคุณธรรมกับธรรมชาติบ้าง ใช้ประโยชน์จากเขาแต่พองาม ไม่ใช่ซื้อหามาคัดไม้กันมาทีละเป็นร้อยเป็นพันต้น เพื่อจะหาต้นดีเพียงต้นเดียวหรือสองต้นเป็นพ่อแม่พันธุ์ ถ้าจะทำอย่างนั้น แนะนำให้ลงทุนเข้าไปที่แหล่งเขาในช่วงฤดูดอกซะดีกว่า แล้วไปคัดเลือกกันในป่าเลยเหอะ... เมื่อได้แล้วก็แบ่งมาในลักษณะที่เรียกได้ว่า แบ่งมา (เช่นตัดยอด แยกหน่อ แยกกอมา) ไม่ใช่ทึ้งมาทั้งหมด จนหมดทั่วบริเวณใกล้ ๆ นั้นจนเกลี้ยง 4. เมื่อได้มาแล้วก็ขอให้ใช้ประโยชน์จากเขาอย่างคุ้มค่ามากที่สุด 5. เรื่องของคนเก็บของในธรรมชาติก็เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้เขาเปลี่ยนวิธีการเก็บ จากที่แบบทึ้ง ดึงมาทั้งหมด ไม่ว่ากอเล็กกอน้อย กอใหญ่กอโต เรียกว่าเหี้ยนหมดเลย รวมทั้งมีเศษ ๆ ร่วงทิ้งตามโคนต้น ตามทางอีกด้วย... ถ้าเปลี่ยนเป็นวิธีการเก็บแบบแบ่งหน่อ แบ่งกอ ตัดยอด ตัดแยกมา รอให้โตอีกก็เก็บได้อีก (แต่คงจะยาก เพราะคนเก็บไม่ได้มีเพียงคนเดียว คงคิดว่าถ้าไม่เก็บ คนอื่นก็จะมาเก็บอยู่ดี) 6. ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะให้ความรู้คนเก็บมาขายโดยตรง เปลี่ยนวิธีมาเป็นเก็บมาเลี้ยงซะก่อน แล้วขยายพันธุ์ต้นที่เก็บมาเลี้ยงให้ได้ซะก่อน แล้วค่อยนำส่วนที่ขยายพันธุ์ได้มาจำหน่าย แต่คงเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง เพราะต้องเข้าใจว่าคนเก็บมาคงไม่ได้มีเงินมีทองมากมายพอที่จะลงทุนขนาดนั้นได้ คงได้แต่หาเช้ากินค่ำ ต้องการเงินแบบทันทีทันใดมากกว่า ยังไม่หมด... แต่นึกไม่ออกแล้ว..... เพราะความคิดมันยังขัดแย้งกันไป ขัดแย้งกันมา แม้กระทั่งในตัวเอง..... จากคุณ : บ้านค่าย - [ 9 ม.ค. 51 15:28:00 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมว่าคิดในแง่ดี..กระทู้นี้ก็อ่านสนุกดีนะครับ... คนที่ คุณabmanกล่าวถึง นี่ใช่คุณ แดงอุบล ป่าวคับ...เห็นกระทู้ท่าน..แล้วก็อดเลื่อมใสไม่ได้....ว่าแต่จะว่างมาต่อยอดกระทู้นี้ป่าวน้อ.. น้าบ้านค่าย สรุปปัญหาโลกแตกได้เยี่ยมครับ..สรุปว่า มันยังโลกแตกต่อไป..ครับ.. จากคุณ : เสือเจ้าถิ่น - [ 9 ม.ค. 51 20:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 24 หากเราตั้งสติจากการมองแยกส่วน หรือมองภาพรวม ผมว่าเป็นกระทู้....อ่านได้สาระดีครับ....ส่วนเรื่องการตอบโต้กันถือว่าเป็นการมองจากหลายมุมมอง...เชื่อได้ว่าทุกคนที่เข้ามาอ่านกระทู้และแสดงความคิดเห็น มีเจตนาที่ดีจากมุมของตนเอง...แล้วบอกดังๆ บางคนมาอ่านกระทู้แล้วเก็บไว้ในใจ ....ต้องขอตบมือกับผู้แสดงความคิดเห็น และชื่มชมกับผู้ที่เข้ามาอ่านเฉยๆ จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 21:28:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เดาเอานะครับว่าประเด็นอยู่ที่ต้องเชื่อมโยงในคห.3 ให้ต่อเนื่องจากกลุ่มแรกๆ ที่เข้าสู่ขบวนการเกี่ยวข้อง (นัก Taxonomist) หรือพูดง่ายๆ ว่านำมาซึ่งการใช้ทรัพยากรธรรมชาตินั้นเอง ผมอยากให้มอง "กล้วยไม้" เป็นแค่ทรัพยากรธรรมชาติประเภทหนึ่งเอาไว้ก่อน ให้เป็น "X" เหมือนกับ มะเขือเทศ มันฝรั่ง พริก เฟื้องฟ้า ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน ปลากัด ปลาตะเพียน หญ้าแพรก ข้าวป่า อะมีบา จุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง เป็นต้น จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 21:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 หากมนุษย์มองว่า "X" เป็นทรัพยากรที่มีอยู่ในธรรมชาติและต้องถูกนำมาใช้ซึ่งปัจจัย 4 หรือเอามาใช้ด้วยประโยชน์อื่นๆ เช่น อยากเลี้ยงดู "X" อยากให้ "X" มีลูกหลานได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า "X" ต้องถูกนำมาจากธรรมชาติแน่นอน จากการคุ้นเคยที่เห็น "X" อยู่ในธรรมชาติ จะถูกคัดเลือกจากการดูด้วยสายตาในเบื้องต้น เช่น อยู่ใกล้กับถิ่นอาศัยพอดี (เอามาง่าย) ปลูกเลี้ยงง่าย ไม่เป็นโรคเลยถ้าเทียบกับเจ้าไรไม่รู้ที่เหมือนกับ "X" แต่ไม่ใช่ "X" แต่ไม่เลือกมาปลูกเลี้ยง เพราะเลี้ยงยาก ไม่สวย ไม่คุ้นเคย ไม่รู้นิสัย จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 21:51:14 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มนุษย์จึงนำทรัพยากรธรรมชาติมาไว้ใกล้ตัว ใกล้ถิ่นฐาน (มีหลายชนิดทีทรัพยากรไม่ได้ถูกนำมาใช้) แล้วพยายามใช้ทรัพยากรธรรมชาติชนิดนั้นๆ เท่าที่กระทำได้ พอมีองค์ความรู้จากการจำแนกสกุล ชนิด และอื่นๆ ของสิ่งมีชีวิต จากนัก Taxonomist (นักอนุกรมวิธาน) จะมีประโยชน์ในแง่การรวม การแยก สายสัมพันธ์ทางสายเลือด จากลักษณะภายนอกเอาไว้เป็นระบบ ไม่ว่าการให้ชื่อวิทยาศาสตร์ตามหลักสากล และมีแบบแผนในการบ่งชี้เฉพาะว่าเป็น "X" อย่างไรด้วย หรือในปัจจุบันที่ใช้หลักฐานทางด้านดีเอ็นเอบาร์โคคในการจัดจำแนกให้แม่นยำขึ้น นักอนุกรมวิธานจึงเข้าไปยังแหล่งธรรมชาติเพื่อจะได้แยก "X" ออกจาก "Y" หรือค้นหาว่า "X" มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอะไรบ้าง หรืออาจค้นพบ "X" หลายๆ ชนิด ตามมา อันนี้ผมถือได้ว่า นัก Taxonomist ได้ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมแล้ว และเป็นผู้เริ่มใช้ทรัพยากรธรรมชาติแล้ว จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 22:08:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 จึงได้เกิดหน่วยงาน germplasm conservation unit ซึ่งนำมาด้วยคำว่าอนุรักษ์ "X" นั้นเอง ไม่ว่าจะเก็บแบบธรรมชาติ ไม่แตะต้องเลย หรือนำมารวบรวมไว้ในแปลงปลูก (มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง) หรือเก็บในรูปเมล็ด ท่อนพันธุ์ ตัวอย่างดอง  plant tissue culture, DNA หรืออื่นๆ เพื่อประโยชน์ในการเก็บรักษา หรือเพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรในประเทศหรือระหว่างประเทศ จึงมี "X1, X2, X3, X4 และ X อื่นๆ" อยู่ใน unit นี้นั้นเอง จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 22:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 29 นักปรับปรุงพันธุ์ หรือนักพัฒนาสายพันธุ์ มักจะเป็นไม้เบื่อไม่เมากันมากับนักอนุกรมวิธาน (จริงๆ จับสองพวกนี้มาดื่มด้วยกัน จะได้เมาเหมือนกันก็ดี...นะครับ) นักอนุกรมวิธานบอกว่าให้คงอยู่แบบนั้น ให้เป็นเฉพาะ "X1, X2, X3, X4 และ X อื่นๆ แบบนี้แหละ) แต่นักปรับปรุงพันธุ์กลับมองว่าหากเอา X1 เข้ากับ X2 หรือ X4 น่าจะได้ทรัพยากรที่ดีกว่าเดิม บางคนก็คิดไปถึงเอา X1 เข้ากับ Y หรือ อื่นๆ เสียด้วย โดยนักปรับปรุงพันธุ์ใช้ประโยชน์จากนักอนุกรมวิธาน และจากการรวบรวมแหล่งพันธุ์กรรมไว้แล้ว จึงมีทรัพยากรชนิดใหม่เกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ของปัญหาไม่ว่าเรื่องหนึ่งเรื่องใดที่นักปรับปรุงพันธ์จะมองเห็น ให้ตัดประเด็นว่าเป็นนักปรับปรุงพันธุ์ที่มีจริยธรรมหรือไม่มีออกไปก่อน จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 22:43:41 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ได้ทรัพยากรชนิดใหม่แล้ว สมมุติให้เป็น "X2yB" ที่ดี ที่ไม่เหมือนเดิม ปลูกเลี้ยงง่าย ต้านทานโรคใบไหม้ มีกลิ่นหอม มีแร่เหล็กเพิ่มขึ้น เอาไว้ต้านไวรัสโรค AIDS  ได้ กินอร่อย ดอกบานทน ทนหิมะตกได้ ปลูกในทีร้อนได้ และอื่นๆ นักปรับปรุงพันธุ์คงต้องส่งต่อให้ส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ (ขี้เหม็น ที่บ้างคนบอกว่ามีทั้งโลภ หลง หรืออื่นๆ) ส่งไปเลยที่นี้..... agricultural extention unit ต่อด้วย... ผู้ปลูกเลี้ยง ไม่ว่า propagater, grower ต่อด้วย.....whole saler, retailer และ consumer (โปรดอ่านอีกสักครั้งที่ คห.3...... ผมหมดมุขแล้วครับ..... มึนกับ "X2yB" จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 22:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ทิ้งประเด็นว่า "X2yB" เป็นทรัพยากรที่แปลกปลอมจากธรรมชาติดั้งเดิมหรือไม่ อย่างไร? แล้วเราจะยังคงอนุรักษ์ "X1, X2, X3, X4 หรือ X อื่นๆ ได้อย่างไร ในรูปแบบใด? จากคุณ : appendiculata191 - [ 9 ม.ค. 51 23:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 32 นึกถึงต้นไม้หลายชนิด ที่เป็นพืชต่างถิ่นไม่ใช่พืชใน เอเชียอาคเนย์ ผมขอใช้ตัวย่อว่า SE ประเด็น จานแอพเพน ใน คห 31 คงต้องแบ่งเป็นสองประเด็น สำหรับผม คือ พืชสายพันธุแท้ และลูกผสม สายพันธุ์แท้ ที่ถูกนำเข้ามา ไม่ใช่ว่ามีเฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น พริก เป็นพืชในอเมริกากลาง มีหลักฐานพบว่า ผู้คนที่นั่นกินพริกมานานกว่า 9,000 ปี ปีเตอร์ มาร์ทิล นำพริกมาปลูกในสเปนในปี พ.ศ. 2096 จากนั้นพริกได้เข้าสู่อินเดีย ราว ปี 2143 พริก ได้เข้าไปในจีนและ SE มะละกอ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลางเช่นกัน  โปรตุเกสนำเข้ามาปลูกที่มะละกา ในสมัยกรุงธนบุรี และเข้ามาในไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ;ส้มตำ ท่านว่า เกิดขึ้นในวัฒนธรรมลาวพวน ในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น กลุ่มลาวพวนจากเชียงขวาง ได้ถูกกวาดต้อนเข้าในอาศัยอยู่ในรอบพระนคร เมื่อมะละกอเข้ามา ลาวพวนได้นำมะละกอมาปรุงรส เรียกว่า ส้มตำ บ้างว่ากำเนิดส้มตำอยู่แถวกรอกข้าวสาร หรือ บ้างว่าอยู่แถวราชวัตร... เห็นได้ว่าพืชหลายชนิดได้เข้ามาในไทยบางชนิดนานแล้ว บางชนิดเดี่ยวนี้ถูกดัดแปลงแต่งเติม ในนาม gmo หรือแม้แต่ข้าวเอง ก็มีสายพันธุ์มากมาย กล้วยไม้? ตัวอย่างชอมโบเกียที่ได้ยินมาว่าแพร่เข้าไปในป่า หวายตัดดอก การเคลื่อนย้ายของไม้เดี่ยวนี้ง่ายขึ้นทั้งพันธุ์แท้ และลูกผสม การส่งเสริมปลูกไม้ เช่นยูคาลิปตัส ทำไงดีล่ะครับ? จากคุณ : buaravong - [ 10 ม.ค. 51 13:36:16 ]