ความคิดเห็นที่ 93
อาหารสมอง มาต่อตอนจบครับ ลืมกันหรือยัง
Batter Off ทิ้งรถไถกลับไปหาเจ้าทุย (ตอนจบ)
ภาค 3 ซึ่งผู้เขียนตั้งชื่อว่า "การเก็บเกี่ยว" ประกอบด้วย 7 บท เมื่อเริ่มย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วงพืชผลของเขาที่ปลูกไว้ก็ได้เวลาเก็บเกี่ยว เริ่มด้วยฟักทองแล้วจึงไปถึงข้าวฟ่าง ลูกเจ้าของบ้านมาช่วยเขาเก็บฟักทองในกลางวันซึ่งเก็บได้ราวครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเขาและภรรยาออกไปเก็บในเวลากลางคืนซึ่งมีจันทร์ทอแสงสว่างจ้าทำให้เขารู้สึกว่านั่นเป็นบรรยากาศ ที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว เขาได้ฟักทองกว่าพันลูกซึ่งต่อมาเขาขายได้เงินราว 1,000 ดอลลาร์ ส่วนข้าวฟ่างเขาไปช่วยเจ้าของที่ดินเก็บเกี่ยวพร้อมๆ กับของเขาเองและต่อมาได้หีบมัน เพื่อคั้นเอาน้ำมาเคี่ยวทำเป็นน้ำเชื่อม เขานำน้ำเชื่อมไปวางขายตามข้างถนนบ้าง ขายส่งบ้าง ก็ได้เงินมาเท่าๆ กับการขายฟักทอง รายได้เหล่านั้นผสมกับงานที่เขาทำให้ เจ้าของบ้าน เพื่อแลกกับค่าเช่า บวกกับหมู และไก่ ที่เขาเลี้ยงไว้ซึ่งได้เปลี่ยนเป็นเนื้อกระป๋อง เช่นเดียวกับผักและผลไม้ที่เขาปลูกเอง และได้รับจากการเพื่อนบ้านทำให้เขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในหมู่ชาวอามิชได้อย่างไม่ขาดแคลน
สำหรับฤดูต่อไปเจ้าของบ้านให้เขาเช่าที่ดินใกล้บ้านเข้ามาอีกพร้อมกับให้ยืมม้าไถนาด้วย แต่ยังไม่ทันได้ปลูกอะไร เหตุการณ์ใหญ่ ก็มาถึง นั่นคือ ราว 5 ทุ่มของคืนวันที่ 10 เมษายน อันเป็นวันก่อนวันอีสเตอร์ หรือวันฟื้นคืนชีพขององค์ศาสดาพระเยซู ภรรยาของผู้เขียนเริ่มปวดท้อง การปวดๆ หายๆ เป็นไปจนถึงตีหนึ่งเธอ จึงบอกให้เขาไปตามหมอตำแยประจำหมู่บ้าน แต่เนื่องจาก หมอตำแยอยู่ไกลออกไปหลายกิโลเมตร เขาจึงต้องไปตามผู้ช่วยหมอตำแย ซึ่งอยู่ใกล้กว่ามาอยู่เป็นเพื่อภรรยาก่อน แต่ด้วยความรีบเร่งเขาขับรถยนต์ออกไปอย่างเร็ว ตอนเขา เลี้ยวเข้าไปในเขตบ้านของผู้ช่วยหมอตำแย รถกระโดดลงจากเนินดินด้วยความแรงจนทำให้เครื่องดับ เขาจึงต้องกลับมากับผู้ช่วยหมอตำแยด้วยรถม้า เมื่อเขาพบว่าภรรยาของเขายังไม่คลอด เขาก็รีบวิ่งไปยืมรถยนต์จาก เพื่อนบ้าน ที่อยู่ไม่ไกลนักและไม่ใช่ชาวอามิช เพื่อไปตามหมอตำแย
จนสายวันต่อไป ภรรยาของเขา ก็ยังไม่คลอด หมอตำแยเริ่มวิตกจึงแนะนำว่า น่าจะลองตามหมอมาจากนอกหมู่บ้าน ผู้ช่วยหมอตำแยรับอาสาไปหาเพื่อนบ้านที่ ไม่ใช่อามิสเพื่อใช้โทรศัพท์ อีกไม่นานหมอ ก็มาถึง เมื่อตรวจดูอาการของภรรยาของผู้เขียนแล้วหมอก็กลับไปโดยบอกเขาว่าไม่มีอะไร ผิดปกติ
เวลาผ่านไปจนถึงเย็นวันนั้นความมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้น ผู้เขียนและภรรยา ได้พยานรักเป็นชายซึ่งเขาคำนวณว่าน่าจะหนักพอๆ กับฟักทองลูกเขื่องๆ หลังจากนั้นเป็นเวลานานเพื่อนบ้าน ก็เวียนกันมาเยี่ยมพร้อมกับอาสาทำความสะอาดบ้าน ตัดหญ้า ตัดฟืน ปลูกผักในสวนครัว ย่างขนมปัง ซักผ้าและผ้าอ้อม และทำอะไรก็ตามที่พวกเขาคิดว่าน่าจะทำแต่สองสามีภรรยายังไม่มีเวลาทำ อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นเขาต้องทำงานเพิ่มขึ้นอีกมากเนื่องจากภรรยาจะต้องดูแลลูก แต่เมื่อเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว เขาคิดว่ามันมีค่าต่อเขาอย่างยิ่ง
ต่อมาอีกไม่นานผู้เขียนได้รับคำเตือนจากตำรวจของรัฐเพนซิลวาเนียว่ารถยนต์ของ ภรรยาซึ่งติดป้ายทะเบียนรัฐนิวแฮมป์เชียร์นั้น ผิดกฎหมาย เขาต้องเปลี่ยนทะเบียนและเสียภาษีตามที่อยู่ใหม่ของเขา แต่เขาไม่มีเงินเสียค่าประกันประมาณ 1,000 ดอลลาร์ ซึ่งรัฐเพนซิลวาเนียบังคับให้มีในขณะที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ไม่บังคับ เขาและภรรยา จึงตัดสินใจขายรถยนต์นั้นไปด้วยราคา 2,150 ดอลลาร์แล้วซื้อรถม้าเก่าๆ และม้าตัวหนึ่งมาใช้แทน หลังจากหักค่ารถ ค่าม้าและค่าเครื่อง ประกอบอื่นๆ ที่จำเป็นแล้ว เขายังเหลือเงินอีก 400 ดอลลาร์ซึ่งทำให้สองสามีภรรยาดีใจไม่น้อย
เนื่องจากรถยนต์เป็นเครื่องจักรยุคใหม่ ชิ้นสุดท้ายที่เขามีอยู่ จากวันนั้นมาเขา และภรรยาจึงดำเนินชีวิตแบบชาวอามิชอย่างเต็มรูปแบบ
ฤดูกาลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในฤดูใหม่ ผู้เขียนและภรรยาทำไร่ฟักทองและข้าวฟ่าง เช่นเดียวกับฤดูก่อน ในระหว่างนั้นหากมีใครประกาศขายที่ไร่ในย่านใกล้เคียง สองสามีภรรยาจะพากันไปดู หลังจากได้ดูไร่หลายแห่ง เขาและภรรยาตกลงซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ไว้ทำไร่หากเขาทั้งสองตัดสินจะอยู่ในหมู่ของชาวอามิชต่อไปเมื่อเวลามาถึง
และเวลาก็มาถึง สองสามีภรรยาต้องใช้ เวลานานคิดกันอย่างหนัก จริงอยู่เขาบรรลุจุดมุ่งหมายที่เขาเข้าไปดำเนินชีวิตตามแบบชาวอามิชแล้ว
นั่นคือ เขาแน่ใจว่าทางสายกลางทางด้านเทคโนโลยีอยู่ที่แนวของชาวอามิช แต่ยังสองจิตสองใจว่า จะออกไปเผชิญกับโลกของเทคโนโลยียุคใหม่ หรือจะดำเนินชีวิตต่อไปในหมู่ชาวอามิชซึ่งเขาแน่ใจว่าจะทำให้เขา และภรรยามีความสุข เนื่องจากเขาทำทั้งสองอย่างไม่ได้เขาและภรรยาจึงตัดสินใจกลับไป อยู่บอสตัน
ผู้เขียนกลับไปทำวิทยานิพนธ์ปริญญาโทพร้อมกับรับจ้างขับรถแท็กซี่ ส่วนภรรยากลับไปทำงานการทำบัญชีแบบไม่เต็มเวลา เขาเช่า ส่วนหนึ่งของบ้านของชายชราคนหนึ่งอยู่และจ่ายค่าเช่าด้วยการซักผ้าและทำอาหารให้ชายคนนั้น เขาจึงมีรายได้เหลือเฟือ เมื่อเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งเขาจึงพาผู้ที่สนใจ ออกไปอยู่ในที่ดินของเขาที่หมู่บ้านชาวอามิช เพื่อหวังจะตั้งชุมชนใหม่คล้ายๆ ของชาวอามิชขึ้นมา ทว่าการทดลองนั้นไม่ประสบผลสำเร็จ เขาจึงขายที่ดินนั้นไปในเวลาไม่กี่เดือน เขากลับไปทำงานที่เมืองบอสตันอีกครั้ง และหลังจากนั้นประมาณ 2 ปีเขาก็มีเงิน พอที่จะโยกย้ายออกไปซื้อบ้านตามที่เขาตั้งใจไว้ นั่นคือ ในเมืองเล็กๆ ในตอนกลางของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสถาบันอุดมศึกษาอยู่ไม่ไกลนัก
ผู้เขียนและภรรยาหารายได้จากหลายด้าน เขาช่วยภรรยาทำสบู่เพื่อทั้งขายและใช้แลกสิ่งของ เขาถีบสามล้อรับจ้างสำหรับผู้ที่ ต้องการสัมผัสสิ่งแปลกๆ เขาเล่นดนตรี ตามงานแต่งงานและงานบันเทิง เขาดัดแปลงชั้นล่างของบ้านให้เป็นห้องเช่า 2 ห้อง เขาปลูกผักต่างๆ ไว้ ทั้งกินสดและอัดกระป๋อง เขามีค่าใช้จ่ายไม่มาก ในบ้านของเขาไม่มีโทรทัศน์ ลูกของเขาสามคนเรียนหนังสือที่บ้าน เขามีรถยนต์เก่าๆ คันหนึ่งซึ่งพ่อยกให้เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ เวลาไปไหนเขามักใช้จักรยานหรือไม่ก็เดิน
เขามีเครื่องจักรสมัยใหม่อยู่อย่างเดียว คือ เครื่องประมวลคำ (word processor) ซึ่งเขา ใช้เขียนหนังสือเล่มนี้ เขามีเพื่อนฝูงจำนวนหนึ่งซึ่งพยายามจำกัดการใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยเช่นกัน เขาเห็นว่าเขามีพร้อมทุกอย่าง แม้บางครั้งจะถูกมองแบบหยามๆ จากบางคนในชุมชนที่เขาอาศัยอยู่ก็ตาม ในตอนจบ ผู้เขียนมีคำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการดำเนินชีวิตแบบชาวอามิชซึ่งไม่ต้องการเป็นทาสของเทคโนโลยี
ข้อสังเกต : หนังสือเล่มนี้อาจอ่านยากสักหน่อยสำหรับผู้ที่ไม่มีภูมิหลังทางการดำเนินชีวิตในชนบทและภาษาอังกฤษไม่แตกฉาน ทั้งที่การนำเสนอเป็นแบบสนุกสนานเป็น ส่วนใหญ่ก็ตาม ผู้ที่ต้องการจะอ่านจริงๆ อาจอ่านได้จากหลายแนว เช่น ในแนวการบันเทิง ซึ่งก็ได้หลากหลายรส ในแนวชีวิตของผู้ที่เลือกดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย ท่ามกลางความเย้ายวนของโลกยุคใหม่ ในแนวแสวงหา คำแนะนำสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน และในแนวปรัชญาของการแสวงหาความสมดุลระหว่างสิ่งต่างๆ รอบด้านโดยเฉพาะในการเลือกใช้เทคโนโลยี และผลกระทบของมัน
ชุมชนอามิชกระจัดกระจายกันอยู่ในทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกาและแคนาดา พวกเขาแบ่งเป็นหลากหลายกลุ่ม และแต่ละกลุ่มมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง บางกลุ่ม ยังเคร่งครัดกับการปฏิบัติเบื้องต้น แต่บางกลุ่มอนุโลมให้ใช้เครื่องจักรกลได้เป็นบางอย่าง สำหรับผู้ต้องการอ่านเรื่องราวเป็นภาษาไทย อาจไปอ่านหนังสือชื่อ "อเมริกาที่ยังใช้ ม้าเทียมไถ" ซึ่งมีรายละเอียดอีกหลายด้าน เช่น วิธีจัดการศึกษาและการ จ่ายภาษีของชาวอามิช เมื่อพิจารณาทุกด้านแล้วอาจจะเห็นว่า ถ้าการดำเนินชีวิตของชาวอามิชไม่ตกขอบในบางแง่ พวกเขาจะเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงได้เป็นอย่างดี
ชื่อของหนังสือ Better Off มีความหมาย ในทำนอง "ดีกว่ากัน" มันคงเป็นนัยที่ผู้เขียนท้าทายให้ผู้อ่านตัดสินเองว่า อะไรดีกว่ากันระหว่างการดำเนินชีวิตในแนวของชาวอามิชกับแนวร่วมสมัยที่พวกเราส่วนใหญ่กำลังทำอยู่ แบบไม่ลืมหูลืมตา
โดย ดร. ไสว บุญมา
จากคุณ :
BongKoch
- [
22 ก.พ. 51 19:57:47
]
|
|
|