ความคิดเห็นที่ 1 .....................พอดีไปหาข้อมูลมาเพิ่มนะครับว่า  ทำไม  เกษตรกรโดยทั่วๆไป  ปลูกมันสำปะหลัง  ได้ผลผลิตดีเต็มที่ก็แค่ 4 ตันต่อไร่    แต่ถ้าหันมาช่วยกันพัฒนาคุณภาพดิน  ประกอบกับ สายพันธุ์ที่ดีแล้ว   ความเป็นไปได้ที่จะมีผลผลิต 30 ตันต่อไร่  ก็เป็นจริงนะครับ                         เดี๋ยวเย็นๆ  จะเอาขั้นตอนต่างๆ  มาฝากนะครับ จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 11:11:28 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ยกระดับผลผลิตมันสำปะหลัง   จาก 4 ตันต่อไร่ เป็น 30 ตัน ต่อ ไร่ ................การปฏิบัติงานครั้งนี้มีเป้าหมายด้วยกัน 4 ประการ คือ        1) การปลูกมันสำปะหลังมุ่งเน้น  ฤดูกาลเกษตรทั่วไปสามารถปฏิบัติได้        2) ต้องการหัวมันสดจำนวนหนึ่ง เพื่อการวิเคราะห์วิจัย        3) ปุ๋ยจุลินทรีย์ 12 ตระกูล เป็นตัวไขปัญหาในการปรับปรุงดิน จริงหรือไม่?        4) ทดลองทฤษฎีการไม่ไถพรวน การไม่ใช้สารเคมี เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ ใช้เครื่องมือและการเตรียมงาน 4 ประการคือ 1) เครื่องมือชาวไร่ เช่น จอบ – เสียม –มีด –ขวาน 2) ปุ๋ยจุลินทรีอัดเม็ด 12 ตระกูล 1 ตัน 3) การตรวจสภาพ ดิน ที่ยังมีธาตุอาหารพืชเหลืออยู่ 4) การศึกษาลักษณะสัมพันธ์ของมันสำปะหลัง โดยใช้สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในพื้นที่ เช่นพันธุ์เกษตร 50                 พันธุ์ระยอง 5 พันธุ์ระยอง 72 และพันธุ์สะพานยาว 60 (พันธุ์ลูกผสมท้องถิ่น บ้านสะพานยาว จ. ชัยภูมิ)   เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การปฏิบัติงานก็เริ่มต้นในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2548 วันที่เริ่มต้นขุดดินเป็นหลุมด้วยจอบเอาปุ๋ยจุลินทรี 12 ตระกูล ประมาณ หลุมละ 700กรัมโรยลงก้นหลุม ใช้ท่อนมันที่หั่นจัดเตรียมปลูกปักลงไปในระยะที่ห่างกัน 1.00 เมตร และบางส่วนก็มีถี่กว่านั้น เช่น.80 เมตรหรือ .50 เมตรแต่เป็นส่วนน้อย ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.00 เมตรเป็นส่วนมากการทดลองครั้งนี้ใช้พื้นที่รวม 1 ไร่ ปลูกปักเสร็จสรรพในวันที่ 15 สิงหาคม 2548                      ในเดือนพฤศจิกายน 2548 ทีมงานได้พันธุ์มันสำปะหลังมาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งสามารถปลูกได้ในพื้นที่ 5 ไร่ พันธุ์มันนี้ เราได้เคยทดสอบปลูกมาแล้วในปี พ.ศ. 2547 เราปลูกในลักษณะของการขยายพันธุ์หรือทดสอบพันธุ์ในพื้นที่ประมาณ 1 งาน ซึ่งเราได้ค่าเฉลี่ยน้ำหนักต่อต้นถึง 30 กิโลกรัม ในระยะเวลาการปลูก 12 เดือน ลักษณะหัวจะมีความยาว 1.00 เมตร ออกรอบรอยตัด หัวสม่ำเสมอดี เราจึงขยายพันธุ์ไว้ แล้วนำมาปลูกในแปลงขนาด 5 ไร่ ปลูกเสร็จเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2548 ซึ่งเป็นปลายฝน เมื่อปลูกเสร็จมีฝนตกลงมาครั้งเดียว มันสำปะหลังพันธุ์ นี้ จึงให้ชื่อเป็นเกียรติแก่หมู่บ้านที่เรามาอาศัยเป็นแปลงปฏิบัติงานการทดลองว่า “สะพานยาว : SaParnYao” เราเอาตัวนำหน้าคำมาเป็นตัวย่อได้ว่า“SPY - 60” ตัวเลข 60 ที่ต่อท้ายมาจากการครองสิริราชสมบัติของพระมหากษัตริย์ไทยครบ 60 พรรษา                     ในวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2548 การปลูกมันเสร็จเรียบร้อย ฝนได้ตกลงมารองรับการปลูกและฝนตกอย่างสม่ำเสมอตามฤดูกาลมาจนถึงเดือน พฤศจิกายน 2548 นับเป็นเวลา 4 เดือนเต็ม ต้นมันจึงเติบโตตามกาลเวลา ในเดือนที่ 6 นับแต่การปลูก คือประมาณเดือน มกราคม 2549 ได้มีคณะครูการศึกษานอกโรงเรียนของ อำเภอเทพสถิต จ.ชัยภูมิ ขอให้คณะวิจัยไปสอนในหลักสูตรปุ๋ยจุลินทรีและการปลูกมันสำปะหลังในระดับชาวบ้าน ตามหลักสูตรที่ร่วมกำหนด จึงทำการขุดดูหัวมันที่ปลูกในวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ซึ่งนับเวลาได้ 6 เดือน ในสายพันธุ์เกษตร 50 ได้น้ำหนักหัวมันที่ 12 กิโลกรัม และในสายพันธุ์ห้วยบง ได้น้ำหนักหัวมันที่ 15 กิโลกรัม การขุดหัวมันดูกันในหมู่คณะครู โดยมีกำนันและลูกบ้านบางส่วนมาร่วมด้วย ทำให้ข่าวแพร่กระจายออกไป มีเกษตรผู้สนใจเข้ามาดูแปลงวิจัยบ่อยครั้งขึ้น และมีบริษัทปุ๋ยบางบริษัท มาขอซื้อเพื่อขุด ต้นละ 100 บาท ขุดออกไปโชว์โดยวัตถุประสงค์ของเขา คณะวิจัยก็อยากรู้ว่าหัวมันที่ปลูกมีขนาดและน้ำหนักเท่าใดจึงยอมขายให้ มีการขุดระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ – เดือนเมษายน2549 กว่า 100 ต้น บางต้นได้ 24 กิโลกรัม บางต้นได้ 18 กิโลกรัม และใน 100 ต้นเป็นไปในขนาดและน้ำหนักนี้ จึงประเมินผลเฉลี่ยว่าทุกต้นมีน้ำหนัก 18.5 กิโลกรัม เป็นที่มาของมันสำปะหลังไร่ละ 30 ตัน                      ข่าวของมันสำปะหลัง 30 ตัน / ไร่ ดังไปไกลในระดับกระทรวง กระทรวงแรกที่ให้ความสนใจคือ กระทรวงพลังงาน ได้ส่งบุคคลในระดับที่ปรึกษาเจ้ากระทรวงมาดูงาน ได้มีการขุดหัวมันขึ้นมาอีก ซึ่งในวันที่ขุด มันสำปะหลังมีอายุ 10 เดือนแล้ว ได้ค่าเฉลี่ยหัวมันที่ต้นละ 21 กิโลกรัม จะเห็นได้ว่า ในสองเดือนหลังของการเจริญเติบโต จะมีค่าเฉลี่ยการเพิ่มน้ำหนักหัวมันเพียง 2.5 กิโลกรัม เท่านั้น นั่นคือความเต็มที่ของการเจริญเติบโตในด้านน้ำหนักและรูปทรงของต้น                    จึงสรุปได้ว่า ตั้งแต่ช่วงเจริญวัยที่ 6 เดือน จนถึงเดือนที่ 10 มันสำปะหลังจะสร้างแป้งมากขึ้นสร้างน้ำหนักหัวน้อยลง ความคิดของคณะวิจัยจึงออกมาว่า มันสำปะหลังมีอายุตั้งแต่ปลูกจนถึงวันเก็บเกี่ยวที่ 8 เดือนเป็นระยะที่เพียงพอ ซึ่งความคิดนี้ ได้สอบถามไปยังสถาบันพัฒนามันสำปะหลังแห่งประเทศไทย ก็ได้คำตอบว่าเพียงพอต่อการสร้างหัวและสร้างแป้งแล้ว จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 16:42:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ...ขอบคุณคับที่หามาบอกกัน สำหรับข้อมูลดีๆ    .... จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 มี.ค. 51 16:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คณะนักวิชาการสายปฏิบัติของสมาพันธ์ฯ จึงสรุปแบบเห็นพ้องต้องกันว่า            1. เกษตรกรทั่วไปสามารถที่จะปลูกได้ 30 ตัน / ไร่ ถ้ามีฝนตกอย่างสม่ำเสมอถึง 4 เดือน นั่นคือ  การปลูกมันต้นฤดูฝน            2. ปริมาณแป้งจะเต็มที่ระหว่างต้นมันมีอายุที่เดือนที่ 8 – 10 ตารางเปรียบเทียบผลการปลูกมันแบบเดิม กับการปลูกมันของแปลงวิจัยของ สมาพันธ์ฯ สกช. รายการค่าใช้จ่ายในการปลูกมัน และรายได้ ต่อไร่ ต่อปี    ผลการปลูกมันแบบเดิมๆของเกษตรกร     1. การปลูก ต่อไร่                                                    6,400 ต้น / ไร่       2. ค่าไถพรวนและค่าขึ้นร่อง ต่อไร่                              640.- บาท / ไร่ 3. ค่าจ้างปลูก ต่อไร่                                                300.- บาท / ไร่ 4. ค่าปุ๋ยเคมี 100 กก. ต่อไร่                                     1,160.- บาท / ไร่ 5. ค่าปุ๋ยจุลินทรี 1 ตัน ต่อไร่                                        - 6. ค่าจ้างแรงงานขุดหลุมละ 50 บาท ต่อไร่                      - 7. ค่าเคมีฆ่าหญ้า และค่าจ้างฉีด ต่อไร่                          500.- บาท / ไร่ 8. ผลผลิต ต่อไร่                                                     4 ตัน / ไร่ 9. ค่าจ้างขุด และขนส่งสู่ลานมัน(300.-บาท/ตัน) ต่อไร่    1,200.- บาท / ไร่ 10. รายรับ ต่อไร่ ต่อปี                                              6,000.- บาท / ไร่ 11. รายได้สุทธิ ต่อไร่ ต่อปี                                        2,200.- บาท / ไร่ ตารางเปรียบเทียบผลการปลูกมันแบบเดิม กับการปลูกมันของแปลงวิจัยของ สมาพันธ์ฯ สกช. รายการค่าใช้จ่ายในการปลูกมัน และรายได้ ต่อไร่ ต่อปี              ผลการปลูกมันของแปลงวิจัย 1. การปลูก ต่อไร่                                                              1,600 ต้น / ไร่ 2. ค่าไถพรวนและค่าขึ้นร่อง ต่อไร่                                         640.- บาท / ไร่ 3. ค่าจ้างปลูก ต่อไร่                                                           300.- บาท / ไร่ 4. ค่าปุ๋ยเคมี 100 กก. ต่อไร่                                                 - 5. ค่าปุ๋ยจุลินทรี 1 ตัน ต่อไร่                                                 8,000.- บาท / ไร่ 6. ค่าจ้างแรงงานขุดหลุมละ 50 บาท ต่อไร่                               800.- บาท / ไร่ 7. ค่าเคมีฆ่าหญ้า และค่าจ้างฉีด ต่อไร่                                      - 8. ผลผลิต ต่อไร่                                                                30 ตัน / ไร่ 9. ค่าจ้างขุด และขนส่งสู่ลานมัน(300.-บาท/ตัน) ต่อไร่               9,000.- บาท / ไร่ 10. รายรับ ต่อไร่ ต่อปี                                                       45,000.-บาท/ ไร่ 11. รายได้สุทธิ ต่อไร่ ต่อปี                                                 26,260.-บาท/ ไร่                      ผลเปรียบเทียบในการปลูกมันจากตารางข้างต้นนี้ จะนำไปสู่ทฤษฎีวงกลม ของการปลูกมันและทฤษฎีครึ่งวงกลม ซึ่งมีความเป็นไปได้ของครอบครัวเกษตรกรขนาด 2 คน สามี-ภรรยา สามารถทำได้ จะผลิตได้ไร่ละ 30 ตัน -ในการปลูกมันได้ไร่ละ 30 ตัน ราคาประกันที่ กก.ละ 1.50 บาท ได้           45,000.00 บาท -หักค่าใช้จ่ายแล้ว 18,740 .00 บาท จะมีรายได้สุทธิที่                             26,260.00 บาท จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 17:04:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในการปลูกตามทฤษฎีนี้มีรายรับรายจ่ายที่เราประเมินไว้ดังนี้                รายรับ การขายหัวมันสด 12 ไร่ / 30 ตัน  เป็นหัวมัน 360 ตัน ขายในราคาประกันของรัฐ ตันละ 1,500 บาท รวมมีรายได้          540,000 บาท รวมรายได้            540,000 บาท                รายจ่าย 1. ไถไร่กลบฝั่งวัชพืชไร่ละ 330 บาท / 12 ไร่    3,960 บาท 2. ไถยกร่องลึก 50 ซ.ม. ไร่ละ 330 บาท          3,960 บาท 3. เกลี่ยดินกลบร่องที่วางปุ๋ยแล้ว 350 บาท/ไร่   3,960 บาท 4. ค่าจ้างปลูกไร่ละ 300 บาท 12 ไร่                3,600 บาท 5. ค่าจ้างทำรุ่นไร่ละ 500 บาท 12ไร่                6,000 บาท 6. ค่าปุ๋ยตันละ 8,000 บาท 12 ไร่                  96,000 บาท 7. ค่าจ้างขุด, ขนส่งสู่ลานมัน ตันละ                   300 บาท มันสด 12 ไร่ จำนวน 360 ตันเป็นเงิน             108,000 บาท                           รวมรายจ่าย                  225,480 บาท รายได้สุทธิ / มัน 12 ไร่           314,520 บาท จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 17:12:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การเตรียมงานครั้งแรก           คณะวิจัยได้ตั้งความคิดของการปฏิบัติการ ดังนี้           1) ต้นพันธุ์ 3 สายพันธุ์ คือเกษตรศาสตร์ 50, ห้วยบง 60 , ระยอง 5,           2) ต้นพันธุ์หรือท่อนพันธุ์ทุกท่อนตัดเรียบขนานพื้นโลก           3) การขุดหลุมใช้จอบขุดลึกประมาณ 20 ซ.ม.           4) ปุ๋ยจุลินทรีสูตรมันสำปะหลังหลุมละ 700 กรัม เกลี่ยกลบด้วยจอบ           5) การปลูกใช้ปักบนส่วนยอดของหลุมที่เรากลบปุ๋ย           6) การปักท่อนพันธุ์ปลูกเสร็จในวันที่ 15 สิงหาคม 2548 อยู่ในระยะมีฝนตก           7) ฝนตกจนถึงปลายเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 เป็นเวลา 4 เดือน การเตรียมงานครั้งใหม่             คณะวิจัยได้ตั้งความคิดที่จะปฏิบัติการ ดังต่อไปนี้             1) ต้นพันธุ์ คณะวิจัยใช้ต้นพันธุ์เดิม คือห้วยบง 60 เป็นส่วนใหญ่ เกษตรศาสตร์ 50 , และระยอง 5 ใช้ส่วนน้อย             2) ต้นพันธุ์ ใช้พันธุ์สะพานยาวเป็นหลักในพื้นที่ มากกว่าพันธุ์ในข้อที่ 1โดยแตกแปลงปลูกต่างหากในพื้นที่ 7 ไร่             3) การไถสาด การขุดหลุมเป็นร่องลึก เฉลี่ย 50 ซ.ม. และไถกลบโดยรถไถไร่             4) ท่อนพันธุ์ เปลี่ยนรูปการตัดเป็นแบบโคนแหลม คือ แทนที่จะตัดตรง กับตัดเฉียงเป็นมุม 45 องศา สับตาท่อนมันออกในระหว่าง 4 ตา ถึง 9 ตา             5) ใช้ปุ๋ยจุลินทรี สูตรมันสำปะหลัง 700 กรัม / หลุม             6) การปลูกใช้เสียบให้มิดตาที่สับออกและใช้จอบดึงดินโปะโคน             7) แปลงที่ใช้ท่อนพันธุ์ห้วยบง 60 , เกษตรศาสตร์ 50 , ระยอง 5 ปลูกเสร็จในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2549             8) แปลงที่ใช้ท่อนพันธุ์ สะพานยาว 60 ปลูกเสร็จในวันที่ 24 มิถุนายนพ.ศ. 2549             9) อยู่ในระหว่างฤดูฝน ต้นพันธุ์ก็เจริญงอกงาม มีความอวบใหญ่ และสูงถึง 2.00 เมตร (12.ส.ค. 49) การวิเคราะห์ ....................การวิเคราะห์นี้จะกล่าวถึงการปฏิบัติที่สมมุติฐานในการทำงานของเกษตรกรตัวจริง มิใช่เกษตรเสื้อนอกอย่างคณะนักวิชาการจากสมาพันธ์ฯ ในการเตรียมแปลงปลูกมันด้วย ทฤษฏีครึ่งวงกลมอย่างไรนั่น ในการเตรียมต้นพันธุ์ ส่วนหนึ่ง ใช้กระบวนการตามทฤษฎีครึ่งวงกลม แต่อีกส่วนหนึ่งในแปลงคณะวิจัยได้ปลูก โดยใช้พันธุ์สปาย 60 เรา ใช้สับตาออก 9 ตา โดยความคิดที่ว่า เมื่อเอาส่วนที่สร้างหน่อ ออกและฝังกลบดิน เราจะได้หัวมันเพิ่มอีก 9 หัว ตามตาที่เราสับทิ้งไป และปรากฏ ผลว่าเป็นจริงตามข้อสมมติฐาน เมื่อถึงวันนี้ (ที่ 12 สิงหาคม 2549) จากการขุดคุ้ยดู พบหัวมัน 9 หัวในต้นมัน และได้พบอีกส่วนหนึ่งที่ ออกจากรากที่ตัดเป็นมุม 45 องศา นับเวลาจากที่ปลูกมันสายพันธุ์สปาย 60 คือวันที่ 24 มิถุนายน 2549 มาจนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2549 ได้ 48 วัน ต้นมันพันธุ์สปาย 60 มีส่วนเฉลี่ยในความสูงที่ 1.40 เมตร ต้นอวบใหญ่ และจากการขุดคุ้ย ได้หัวมันเป็นชั้นๆ รวมทั้งหัวฐานล่างสุด เป็น 10 ชั้น จึงได้ตั้งชื่อเรียกวิธีการนี้ว่าเป็นการปลูกแบบ สปายคอนโด ตามลักษณะที่มันเป็น                       สายพันธุ์สปาย 60 นี้ ได้มีการปลูกเพื่อการขยายพันธุ์ เมื่อมีอายุครบ 12 เดือน ได้ทำการขุดขึ้นทดสอบได้น้ำหนักเฉลี่ยที่ 30 กิโลกรัม/ต้น ในการตัดขนาน คือตัดเรียบตรง หัวมันสดจึงออกรอบทิศ มีความยาวหัวมากถึง 1.00 เมตร โดยส่วนเฉลี่ยของความยาวหัวจะอยู่ที่ 70 ซ.ม. ซึ่งการใช้สายพันธุ์นี้ และทำเป็นมันคอนโด ทำให้ประเมินต่อไปว่า ในแปลงทดลอง 7 ไร่นี้ จะได้มันเฉลี่ยที่น้ำหนักไร่ละ 40 ตันเป็นอย่างน้อย จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 17:21:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คณะวิจัยได้ประเมินถึงการได้ผลผลิตเพิ่ม                    จากผลดำเนินการ ดังต่อไปนี้ ความท้าทายว่า เมื่อทำอย่างนี้แล้ว จะได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมา                    1. การปลูกคอนโดสามเหลี่ยม ได้อธิบายเรื่องมันคอนโดมาแล้ว จึงขอเติมคำว่า “ สามเหลี่ยม”ลงไปอีก ในส่วนที่เรียกว่า สามเหลี่ยมก็คือส่วนบนต่อจากลำต้นมันที่ตั้งตรงไป ถึงจุดหนึ่งประมาณ 1.50เมตร มันก็จะแตกตัวขยายกิ่งก้านออกเป็น 3ก้าน ถึง 4 ก้าน แต่ส่วนใหญ่เป็น 3 ก้าน ส่วนนี้แหละจะแข่งกันชูยอดสู่ท้องฟ้าในลักษณะตอบสนองต่อสิ่งเร้าคือแสงแดด เมื่อเราขุดมันเราจะตัดเอาแต่ลำต้นมาสับเป็นท่อนมันเพื่อปลูกต่อไป ส่วนที่เป็นสามเปลี่ยมจะถูกทิ้งอย่างไร้ค่า คณะวิจัยได้มองเห็นว่า ถ้าเอาตรง 3เหลี่ยมนี้มาปลูก โดยตัดให้ติดส่วนลำต้นด้วย แล้วสับตาออก ทั้งตาจากลำต้นและตาจากก้านสามเหลี่ยม ก็จะได้หัวเพิ่มขึ้นอีก เช่นลำต้นได้ 9 ชั้น จากสามเหลี่ยมได้อีก 6 ชั้น ส่วนเป็นฐานได้อีก 7 หัว ตัวเลขน้ำหนักของหัวมันสดนั้นประเมินว่าน่าจะเพิ่มขึ้น                     2. การปลูกมันพวงร้อย คณะวิจัยตั้งความคิดว่า กิ่งอ่อนของต้นไม้จะให้การเจริญเติบโตที่ดีกว่ากิ่งแก่ ทั้งในแง่การให้ผลผลิตหัวมันสด และการเจริญเติบโตของลำต้น การให้ลำต้นในการเติบโตถึง 3 ต้นจะให้สาขา กิ่งก้านที่มากขึ้น นั่นคือการเพิ่มโครงสร้างของโรงครัว เพื่อให้ได้ถึงผลที่หัวมันสด จากความคิดนี้ จึงเกิดแปลงวิจัยมันปลูกแบบพวงร้อยขึ้นมา โดยเอาส่วนที่เป็นสามเหลี่ยมที่ 2 ที่ต่อจากสามเหลี่ยมแรก ส่วนสามเหลี่ยมที่ 2 นี้เป็นสามเหลี่ยมกิ่งอ่อน จึงตัดตรงโคน แล้วนำไปปลูกได้เลย สิ่งที่ต่อจากสามเหลี่ยมคือยอดมัน 3 ยอด ลิดใบทิ้งบ้าง เพื่อช่วยลดการคายน้ำ ก่อนจะเริ่มต้นในการออกรากและเจริญพันธุ์                    3. การปลูกมันคอนโดพวงร้อย คณะวิจัยได้ตัดลำต้น ส่วนที่ติดกับสามเหลี่ยมที่ 1 มาทำเป็นคอนโดสามเหลี่ยม (ตามข้อ 1) ตัดสามเหลี่ยมที่ 2 มาทำเป็นมันพวงร้อย (ตามข้อที่ 2 ) ภาพที่มองเห็นจากแปลงมันคือมีแต่ต้นโด่เด่ เมื่อปล่อยให้ต้นโด่เด่แตกยอดใหม่ มันเป็นพืชที่เจริญได้ไว กว่าพืชแทบทุกชนิดส่วนปลายยอด จะแตกกิ่งอ่อน 3 – 4 กิ่ง จึงปล่อยไว้ให้ยาวสัก 2 ฟุต จึงทำการตัดตรงลำต้น แล้วลิดใบจากกิ่งอ่อนทิ้งให้เหลือแต่ยอดไว้ ส่วนลำต้นซึ่งเป็นกิ่งแก่ ให้สับตาทิ้ง 9 ตา แล้วนำไปปลูกบนแปลงที่จัดเตรียมไว้ โดยฝัง ส่วนที่สับตาออก พร้อมบางส่วนที่เป็นกิ่งอ่อนต่อเนื่องจากกิ่งแก่ นั่นคือฝังกิ่งอ่อนลงไปด้วย จากภาพของคอนโดบวกกับพวงร้อย คณะวิจัยจึงใช้บัญญัติไตรยางศ์ชั้นเดียวในการตั้งชื่อออกมาเป็น “คอนโดพวงร้อย” จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 17:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ................ปัญหาและข้อแย้ง ที่คณะวิจัยได้ค้นพบ เชิงปฏิเสธได้ ดังนี้         1. ไม่ เป็นความจริงหรอก ทำยังไงถึงได้ 30 ตัน /ไร่         2. การไม่ใช้ยาฆ่าวัชพืช ก็ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ถ้าหลายๆไร่ จะทำไหวหรือ         3. การทำปุ๋ยจุลินทรี 12 ตระกูลจะทำได้ยังไง         4. ถ้าปลูกมากกว่า 100 ไร่ จะทำได้ยังไง         5. มันหัวใหญ่ๆจะขุดไหวหรือ มันหัวใหญ่ไม่ค่อยมีแป้ง         6. ปลูกโดยไม่ไถพรวนจะขุดไหวหรือ         7. วิธีปลูกแบบนี้มีต้นทุนสูง จะเอาเงินที่ไหนมาลงทุน         8. ดินที่ไร่ผมไม่ดีเท่ากับแปลงทดลอง ผมทำยังไงก็ไม่ได้ 30 ตันได้สัก 10 ตันก็ดีแล้ว         9. ผมทำตั้ง 100 ไร่ ทำแบบนี้จะไม่ทันฤดูกาล ......................วิธีการ ในการดำเนินการแก้ปัญหา               คณะวิจัยของสมาพันธ์ฯ ได้ตระเตรียมพื้นที่ดินอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อปฏิบัติการในโครงการ โดยจะทำตามหลักการของ “ทฤษฎีครึ่งวงกลม ในพื้นที่ตั้งแต่ 1,000 ไร่ ขึ้นไป การปลูกถึงการเก็บเกี่ยว ต้องใช้เครื่องจักรกลการเกษตรดังต่อไปนี้ ในโครงการวิจัยการเพิ่มผลผลิตมันสำปะหลังในพื้นที่อื่นๆ อย่างมีความแตกต่าง และหลากหลาย            1. รถไถไร่ขนาดใหญ่            2. รถเกลี่ยกลบร่องเมื่อโรยปุ๋ยเรียบร้อยแล้ว            3. รถทำรุ่นฆ่าวัชพืชทุกตารางฟุต            4. รถขุดหรือรถเกี่ยวหัวมันขึ้น ในการเก็บเกี่ยว            5. อุปกรณ์ต่อพวงรถ ประเภทสูบฉีดน้ำในกรณีขุดมันหน้าแล้ง ดินแข็ง            6. รถบรรทุกหัวมันสดเพื่อรวมกอง หรือเพื่อจัดส่งโรงงาน            7. อุปกรณ์ติดรถไถไร่ เพื่อปฏิบัติการในรูปแบบต่างๆ เช่น หัวมันชักร่อง, อุปกรณ์เกลี่ยกลบร่อง,อุปกรณ์ใส่ปุ๋ยอุปกรณ์การปลูกปักท่อนมัน ฯลฯ ......................สิ่งที่ต้องส่งเสริม และที่ต้องจัดเตรียม                     การลงแปลงในระดับตั้งแต่ 1,000 ไร่ขึ้นไป ต้องคิดคำนึงถึงการจัดการดินเป็นอันดับต้นๆ จะยกตัวอย่าง เช่น ในทุกๆ 50 ไร่ ต้องมีถนนขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 4 เมตร และในทุกๆ 10 ไร่ ต้องมีถนนขนาดกว้าง 2 เมตรเป็นยาดำซ่อนอยู่ เพื่อการตรวจแปลงและซ่อม ต้นที่มีขนาดเล็กกว่า ฤดูกาลเป็นสิ่งจำเป็นในการปลูกมัน ในกรณีที่ไม่ทันฤดูกาล ต้องมีสิ่งเสริมช่วย เพื่อให้ต้นมันได้น้ำอย่างพอเพียงตลอด 4 เดือน สิ่งเสริมเหล่านี้จำเป็นต้องมี เช่นแหล่งน้ำตามธรรมชาติ อาจต้องพิจารณาแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ห่างไกลแปลงปลูก ถึง 10 - 20 กิโลเมตร เพื่อตั้งโรงสูบ หรืออาจพิจารณาขุด เจาะน้ำบาดาลขึ้นใช้ แล้วแต่ว่าตรงไหนจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่ากัน จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 17:41:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สูตรปุ๋ยจุลินทรี 12 ตระกูล ของสมาพันธ์ฯ สำหรับมันสำปะหลัง                   เนื้อวัสดุ 8 ชนิดที่ใช้ทำปุ๋ยนี้ มีมูลค่ารวมกันแล้วมาเกลี่ยเป็นราคา จะมีราคากิโลกรัมละ 2บาท (สองบาท) เป็นค่าแรงงานเสีย 1.00 บาท ปุ๋ยตัวนี้จะมีราคาที่ไม่เกิน 3 บาท ถ้ามีเครื่องจักรบางส่วนเข้าช่วยราคาจะถูกบีบให้ต่ำลงอีก                    ในเรื่องของราคาค่าวัสดุที่ใช้ทำปุ๋ยมีคนท้วงติงมาว่า ปุ๋ยจุลินทรีจะทำในราคานี้ไม่ได้ โยงตัวโน้มตัวนี้มาบวกอีกมาก เช่นค่าการบริหาร และอื่นๆที่จะยกขึ้นมาเสนอในเวลานั้น กลุ่มทีมผู้ผลิตปุ๋ยจุลินทรียืนยันได้ว่า ราคาไม่เกิน 3.00 บาท / กิโลกรัมแน่นอน ถ้ามีการรวมกลุ่มกันทำปุ๋ยตัวนี้ ความสำคัญมีอยู่ประการเดียว คือต้องมีฐานทุนทางปัญญาเสียก่อน จุลินทรี 5 ตระกูล ของศาสนาจารย์ โอกาดะ                     ศาสนาจารย์ โอกาดะ ได้นำจุลินทรี E.M. ออกเผยแพร่ นำมาทำปุ๋ยมูลสัตว์ผสมสูตร ก็ได้ผลดี มีการอบรมผู้ที่สนใจไปหลายพันรุ่น ได้ผู้ที่มีความรู้ขั้นพื้นฐานหลายแสนคน กลุ่ม “โยเร” นี้ เป็นแม่บทของการเผยแพร่คำว่า จุลินทรีให้เป็นที่แพร่หลายรู้จักกันทั่วประเทศไทย กลุ่ม “โยเร” ได้นำจุลินทรี5 ตระกูลมาเป็นหลักในการเผยแพร่ ส่วนนักวิจัยของสมาพันธ์ฯ นำมาต่อยอดอีก 7 ตระกูล รวมเป็น 12 ตระกูลเพื่อร่วมด้วยช่วยกันในการพัฒนาผืนดินแม่                    จุลินทรีกลุ่มนี้ช่วยให้ดินร่วนซุย หัวมันสำปะหลังสามารถขยายตัวแทรกดินคุณค่าของธาตุอาหารหลัก 3 ตัว คือ N- P-K และธาตุอาหารรองอีก 16 ตัว ทั้งที่มีอยู่ในดินและจากการผสมในสูตรปุ๋ยได้รับการปลดปล่อย เมื่อมันสำปะหลังนำไปใช้ได้อย่างเต็มที่ เราจึงได้หัวมันที่ 20 กก.ต่อต้น                      และหลักการสำคัญ(สูตร)ที่นำมาใช้ในการปลูกมันสำปะหลังคือ หลัก 3 ร. คือ          1) รู้ดิน คือรู้ในการจัดการแปลงปลูก          2) รู้ปุ๋ยคือการใช้ปุ๋ยอย่างถูกต้อง ตรงตามความต้องการของพืช          3) รู้พันธุ์ คือการใช้พันธุ์มันที่มีพัฒนาการให้น้ำหนักหัวและแป้งสูง .............จุลินทรีย์ 12 ตระกูล       1. Photosysnthetic Bacteria       2. Yeasts       3. Actinomysys       4. Streptococcus       5. Bacillus       6. Lactobacillus       7. Asperjillus       8. Clorstidium       9. Pecdiococcus      10.Asomonus      11.Sacaromicroosys      12. streptomysys ..........การเตรียมปุ๋ยจุลินทรี 5.5 ตัน      1. มูลไก่แกลบ 1 ตัน      2. มูลวัว / หมู 1 ตัน      3. รำละเอียด 10 % 300 ก.ก.      4. กากน้ำตาล 100 ลิตร      5. จุลินทรี 12 ตระกูล 100 ก.ก.      6. โปตัสเซียมคลอไรด์ 1 ตัน      7. โดโลไมค์ 1 ตัน      8. ฟูไมค์ 1 ตัน ขบวนการของจุลินทรีที่จะมาเป็นปุ๋ย                     นอกจากจะคำนึงถึงธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรองแล้ว การหมักจะต้องให้มีการเจริญพันธุ์ของจุลินทรีและอยู่ครบถ้วนทุกตัวทุกตระกูล และในการออกเม็ดก็เช่นเดียวกัน จุลินทรีทุกตัวต้องอยู่ครบมีโรงงานปุ๋ยหลายๆโรงงานพยายามที่จะทำให้ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังบกพร่องอยู่ เช่น การหมักจะมีความร้อนเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นไม่นาน เช่นความร้อนแค่ 3 วัน ก็เย็นเสียแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาของการหมักจะต้องอยู่อย่างน้อย 15 วันเป็นดี การมีเครื่องจักรเกลี่ยกลับกอง ก่อนที่กองปุ๋ยจะร้อนเกินกว่า 70 องศาเซลเซียส เครื่องจักรควรทำงานโดยอัตโนมัติ โดยใช้เทอร์โมสตาร์ทเป็นตัวเชื่อมสัญญาณ เมื่อเป็นดั่งนี้ กองปุ๋ยกองนั้นจะเต็มไปด้วยคุณภาพ                      การที่หมักโดยมีความร้อนเพียง 3 - 5 วัน แล้วนำมาอัดเม็ดโดยมีความร้อนเป็นตัวช่วยอัดเม็ดอีก90 องศาเซลเซียส จุลินทรีจะตายหมด นั่นก็คือเราจะได้เพียงปุ๋ยหมักธรรมดานั่นเอง แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 51 18:42:25 จากคุณ : ญี่ปุ่น35 - [ 4 มี.ค. 51 18:40:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ...โอ้ว  ข้อมูลแน่นมากคับท่าน ญี่ปุ่น35 ..สุดยอดๆๆๆๆๆๆ..... จากคุณ : คนดง คนเดิม - [ 4 มี.ค. 51 21:22:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มาอ่านครับ จากคุณ : ผมชื่อ... (โจ-หลังสวน) - [ 5 มี.ค. 51 13:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ข้อมูลแน่นจริงๆ นับถือๆ จากคุณ : seto16 - [ 7 มี.ค. 51 19:09:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณมากค่ะ ชัดเจนมากสำหรับการปลูกมันคอนโด วันหลังรบกวนอีกนะคะ จากคุณ : เกษตรกรมือใหม่ (เกษตรกรมือใหม่) - [ 10 มี.ค. 51 10:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กระบวนการของจุลินทรีย์ที่จะมาเป็นปุ๋ย ตามที่เขียนมาข้างต้นกล่าวว่าควรมีเครื่องจักรทำงานอัตโนมัติเกลี่ยกลับกองก่อนที่กองปุ๋ยจะร้อนเกินกว่า 70 องศาเซลเซียส เครื่องจักรควรทำงานโดยอัตโนมัติ โดยใช้เทอร์โมสตาร์ทเป็นตัวเชื่อมสัญญาณ อยากทราบว่าเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่าอะไร หาซื้อได้ที่ไหน ราคาเท่าไหร่ เพราะทำใช้เองอยู่ สนใจมาก pat_son@windowslive.com จากคุณ : ประนอม - [ 29 มี.ค. 51 16:21:00 A:117.47.51.189 X: ]

ความคิดเห็นที่ 15 รบกวนช่วยลงภาพการเฉือนตาทำมันคอนโดให้ดูหน่อย จะขอบพระคุณอย่างสูง หรือส่งรูปมาที่ wacharin_rin@yahoo.com,osatanont_aea@yahoo.co.th จากคุณ : วัชรินทร์ - [ 1 เม.ย. 51 14:39:45 A:61.90.219.206 X: ]