ความคิดเห็นที่ 1 เอาล่ะ ... ลองสำรวจกล้องของพวกเรากันอีกนี้ดนึง... อย่างที่บอกไปในคราวก่อนแล้วค่ะว่า กล้องที่มีอยู่ในท้องตลาดก็แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ คอมแพค และ DSLR แล้วในแต่ละกลุ่มก็แยกย่อยไปอีก แล้วแต่ว่าจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน (และแพงกว่ากันเท่าไร) อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปแล้ว หลักการในการทำงานของกล้องแต่ละประเภทไม่ได้ต่างกันเท่าใดนัก เว้นแต่ว่า ... กล้องเล็กๆอย่างกล้องคอมแพค อาจจะไม่สามารถปรับตั้งค่าอะไรได้มากนัก สะดวกต่อการหยิบมากด แชะ แชะ แชะ ถ้าหากถ่ายภาพทั่วไปสนุกๆ ก็ให้ผลดีค่ะ แต่ถ้าต้องถ่ายภาพอะไรที่ซับซ้อนขึ้นมา ความสะดวกก็อาจจะสร้างความไม่สะดวกใจขึ้นมาได้ ทามมายกล้องช้านนนนนนนนนนนน ปรับไม่ได้(ฟระ) กระทู้นี้ จะเน้นที่กล้องที่สามารถปรับค่าต่างๆได้เป็นหลักค่ะ แม้ว่ากล้องคอมแพคบางรุ่นจะไม่มีโหมดอะไรให้เราปรับค่าได้มากนัก เจ้าของกล้องก็อย่าเพิ่งหลับหรือปิดกระทู้ทิ้งเน้อ  เพราะในบางเรื่องเราสามารถประยุกต์ใช้กับกล้องของเราได้ค่ะ สำหรับกล้องใครที่มีแป้นกลมๆ มีตัวอักษรกำกับโหมดต่างๆแบบนี้ ... มาลองดูกันว่า เราใช้กันไปแล้วกี่โหมด? จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 18:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จากภาพข้างบน เราจะเห็น คำว่า AUTO ตรงสีเขียวๆ เราจะใช้เจ้า auto ตัวนี้เป็นการแบ่งโซนโหมดการทำงานของกล้องค่ะ ......ช่วงนี้เอาใจชาวกล้องคอมแพคก่อนเน้อ ^^ เดี๋ยวหลับ...... ใต้คำว่า auto ลงมา เราจะเห็นสัญลักษณ์เป็น รูปบุคคล (ผู้หญิงซะด้วย ... แปลว่า ผู้หญิงชอบถูกถ่ายรูป) รูปภูเขา รูปดอกไม้ ... สัญลักษณ์เหล่านี้ มีอยู่ในกล้องเกือบทุกรุ่นทุกแบบค่ะ เป็นโหมดการถ่ายภาพแบบสำเร็จรูป คือ เขา (วิศกรที่สร้าง)คิดมาแทนเราแล้ว ถ้าเราจะถ่ายคน ถ่ายวิว ถ่ายดอกไม้ ... กล้องควรจะตั้งค่าอะไรยังไง โดยที่เจ้าของกล้องไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวอะไรมากไปกว่า หมุนแป้นหรือกดปุ่มเซ็ทค่าให้เป็นไปตามประเภทของภาพที่เราจะถ่ายเท่านั้น สะดวกมากๆค่ะ ... สมัยก่อนก็ถ่ายแต่โซนอัตโนมัติอย่างเดียวเลย กล้องคอมแพครุ่นเล็กๆ บางๆ มีโหมดเหล่านี้อยู่แล้วค่ะ กล้องใหญ่ยังมีเลย บางวันขี้เกียจคิดมาก ปรับมาให้กล้องคิดแทนถ่ายออกมาแล้วสวยดีเหมือนกัน (สวยกว่าตั้งค่าเองก็มี ) โหมดที่จะใช้สำหรับถ่ายภาพดอกไม้ ก็คือ โหมดมาโคร ค่ะ สัญลักษณ์เป็นรูปดอกไม้ โหมดนี้เขาตั้งค่าต่างๆเอาไว้ให้สำหรับการถ่ายภาพที่อยู่ในระยะใกล้มากๆ เช่น 1- 10 cm บางรุ่น 0 cm ด้วยซ้ำ <<< (ยังจำได้ใช่มั้ยเอ่ย ว่าระบบมาโครของกล้องคอมแพค คือ การเอากล้องไปจ่อใกล้ๆวัตถุ) เมื่อเราปรับตั้งค่ามาที่โหมดมาโคร กล้องจะเลือกค่าอะไรให้เราบ้าง ... กล้องจะเลือกค่าความไวแสง (ISO) ค่ารูรับแสง (AV) ค่าความไวชัตเตอร์ (S หรือ TV) ปรับระบบสมดุลย์แสงให้ (WB) .... แถมตั้งโหมดวัดแสงให้ด้วยนา ยิงแฟลชให้ด้วย.... อะไรจะใจดีขนาดนั้นนนนน เรียกว่า ก่อนที่เราจะรู้ว่า ไอ้เจ้าตัวอักษรเหล่านั้นมันคืออะไร เราก็ถ่ายภาพออกมาได้สวยงามอย่างนี้แล้ว แชะ แชะ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:02:06 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ลองสังเกตตัวเลขในภาพนะคะ ภาพนี้ถ่ายหลังจากภาพบนแวบเดียว แต่พอดีเมฆลอยเฉียดมา แสงตกไปนี้ดดดดด แต่...ไม่เป็นไร กล้องปรับให้ สบายๆ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:03:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ส่วนภาพนี้ ... ค่ารูรับแสง จาก F5.6 ทำไมกล้องเขาเปลี่ยนให้เราเป็น F8 ไปแย้วล่ะ .... เก็บไว้ก่อน รู้แต่ว่าภาพดูดี ^^ โหมดมาโครจึงเป็นอาวุธสำคัญของสมาชิกชาวคอมแพคที่จะใช้ถ่ายดอกไม้ค่ะ ^^ ข้อดี :: ไม่ต้องคิดอะไรมาก ถ่ายได้ไม่ต้องยั้ง ไม่เสียเวลา ไม่พลาดช็อตสำคัญ ข้อเสีย :: ที่เห็นมากสุด คือ การยิงแฟลชไปแบบ auto ค่ะ เพราะในสภาพที่แสงน้อยๆ มันจะทำให้ฉากหลังดำมืด ส่วนดอกไม้ของเราสว่างโร่  ส่วนเรื่องอื่นๆก็คือ มันปรับอะไรไม่ได้เลย กล้องว่าไงก็ต้องว่าตามนั้น จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:07:51 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ในโซนของออโต้ อีกโหมดนึงที่ใช้ได้ ก็คือ โหมดถ่ายภาพวิวค่ะ ที่เห็นเป็นรูปภูเขานั่นแหละ ^^ แต่โหมดถ่ายภาพวิวทิวทัศน์นี้ จะเน้นในการถ่ายภาพไกลๆ ดังนั้นจะเหมาะต่อการถ่ายภาพแบบมุมกว้าง เช่น เพื่อนเรากำลังวิ่งลงมาจากเนินเขาที่เต็มไปด้วยทุ่งดอกไม้ป่า หรือ สาวน้อยแสนสวยถ่ายคู่กับทุ่งดอกกระเจียวที่ป่าหินงาม ... ถ้าอยู่ในสถานการณ์แบบมีดอกไม้เต็มทุ่งเต็มเขาก็เลือกโหมดนี้โลดดดดด ขออำภัย ไม่มีภาพปลากรอบในโหมดนี้ฮับ เนื่องจากยังไม่เคยไปวิ่งเล่นเอาดอกหญ้าตีก้นหนุ่มในทุ่งดอกไม้เชิงเขาแอลป์ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:11:35 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่นี้ กลับมาดูที่แป้นกลมๆบนกล้องกันต่อ เล็งคำว่า auto ไว้เช่นเดิมเน้อ (ช่วงนี้กล้องใครไม่มีตามนี้ อนุญาตให้หลับได้ฮ้าบบบบ *เอิ๊ก*) จริงๆแล้ว เมื่อเราหมุนแป้นมาที่ออโต้ เราก็ถ่ายภาพได้เหมือนกันค่ะ ก็จะเหมือนกับสัญลักษณ์อื่นๆ เพียงแค่ตรง auto เขาไม่ได้เซ็ทค่าไว้ว่าจะเน้นไปทีการถ่ายภาพแบบใดเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น ถ้าหากเราหมุนมาที่คำว่า auto กล้องก็จะเข้าใกล้วัตถุไม่ได้มากเท่าโหมดมาโคร เหนือขึ้นไปจากคำว่า auto จะมีตัวอักษร เหล่านี้ค่ะ P Av Tv M ... โซนนี้จะมีอยู่ในกล้องที่เขาอนุญาตให้เราปรับตั้งค่าต่างๆได้ เพื่อให้ได้ภาพที่ดีขึ้น ^___^ โหมดที่ใช้ง่ายใช้คล่องสำหรับมือใหม่หัดปรับตั้งค่า ก็คือ P ค่ะ P ก็จะคล้ายกลับ auto คือ กล้องจะตั้งค่ารูรับแสงและความไวชัตเตอร์ให้โดยอัตโนมัติ หมายความว่า ในโหมด P กล้องจะยอมให้เราตั้งค่าการชดเชยแสงได้ ตั้งค่า WB ตั้งระบบวัดแสง ตั้งค่า ISO ได้เอง ... ควบคุมแฟลชได้เอง โดยที่กล้องจะช่วยเราในส่วนของค่ารับแสงและความไวชัตเตอร์เท่านั้น เมื่อตอนเล่นกล้องใหม่ๆ ก็ใช้โหมดนี้ค่ะ แบบว่า ... โหมดอื่นไม่รู้จัก จะใช้โหมดออโต้อย่างเดียวก็ไม่สมฐานะของกล้อง ปัจจุบัน เวลานึกอะไรไม่ออก ก็หมุนมาที่ P เหมือนกัน ถ่ายไปเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวว่าภาพจะออกมาเน่า(เพราะปรับค่าพลาด) จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตัวถัดมา คือ Av <<< คนละอย่างกับหนัง AV เน้อ เมื่อเราปรับมาที่ Av หมายความว่า กล้องจะให้เราเป็นคนตั้งค่าของรูรับแสงเอง แล้วโปรแกรมของกล้องจะเลือกค่าความไวชัตเตอร์ให้เหมาะกับค่ารูรับแสงที่เราเลือก โหมด Av เป็นโหมดหากินของการถ่ายภาพดอกไม้เลยล่ะค่ะ *ขีดเส้นใต้ไว้เลย* หากว่าเราต้องการให้ฉากหลังมีความคมชัด ก็ต้องตั้งค่ารูรับแสงให้เล็กเข้าไว้ ... ค่ารูรับแสงที่"เล็ก" หมายถึงตัวเลขต้องสูง ภาพที่ได้เราจะเรียกว่า มีความชัดลึก หากว่าเราต้องการให้ฉากหลังมีความนุ่มนวล เบลอ (ภาษากล้องเรียกว่า ละลายฉากหลัง) ก็ต้องตั้งค่ารูรับแสงให้กว้างเข้าไว้ ... ค่ารูรับแสงที่ "กว้าง" หมายถึงตัวเลขจะต่ำ ภาพที่ได้เราจะเรียกว่า มีความชัดตื้น เราจะเรียกค่าของรูรับแสงพวกนี้ว่า F กล้องคอมแพคบางตัวมีค่า F ที่กว้างตั้งแต่ 2 - 8 ส่วนกล้อง DSLR ก็ขึ้นอยู่กับเลนส์ที่ใช้ค่ะ ว่าค่า F กว้างสุดเท่าไหร่ ส่วน ค่า F แคบสุดก็อยู่ในราวๆ 32 ลองจินตนาการดูว่า (ถ้าหากเป็นตากล้องสาว) มีหนุ่มๆบอยแบรนด์เกาหลี มายืนเข้าแถวต่อหน้าเรา เป็นแถวตอนแบบเฉียงๆ ... หลังจากกรี๊ดไปหนึ่งยก ก็นึกได้ว่าต้องถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึก ถ้าหากเราต้องการให้ภาพออกมาชัดตั้งแต่พ่อหนุ่มคนหน้าไปจนถึงอาตี๋คนหลัง  เราก็ต้องเลือกโหมด Av ตั้งค่ารับแสงไว้ที่เลขสูงๆ เอาสูงสุดเท่าที่กล้องจะตั้งได้เลยก็ดี เช่น F8 แค่นี้ เราก็ได้หนุ่มๆชัดทุกคน แต่ถ้าสนใจคนหน้าคนเดียว ก็ตั้งค่า F กว้างๆ ไปเลย ชัดคนหน้า คนอื่นเบลอหมด (ช่วยไม่ได้ ไม่หล่อ) แต่ถ้าเป็นดอกไม้ .... ก็ตามผังในภาพเลยค่ะ ^^ แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 22:41:07 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ในภาพเราจะเห็นว่า ถ้าเราตั้งค่า F ไว้ที่ 2.8 มันก็จะชัดแค่ดอกหน้าสุดดอกเดียว แต่ถ้าค่า F เลขสูงๆ ก็จะชัดไปถึงดอกหลังๆ  มาดูตัวอย่างภาพจริงกันดีกว่าค่ะ เนื่องจากเป็นห้องต้นไม้ ก็เลยสาธิตด้วยดอกไม้ ... เก็บภาพหนุ่มๆ ไว้ดูคนเดียว ในภาพใช้ค่าเอฟที่ 9 จะเห็นถึงความรกของฉากหลัง มีทั้งบัวดินและต้นหญ้า จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:35:47 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปรับมาที่ค่าเอฟ 4.5 จะเห็นว่า ฉากหลังเริ่มละลายแย้วววว แต่เป็นการละลายโดยที่ ยังพอเห็นข้างหลังเลือนๆ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:37:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ยัง ... ยังไม่พอ เลนส์เรายังกว้างได้อีก นี่เลย 2.8 ละลายเยิ้มทีเดียว ข้อควรระวัง ค่า F กว้างๆ เนี่ย ฉากหลังละลายสมใจก็จริง แต่มันจะชัดตื้นมากๆ หมายความว่า แม้แต่ในดอกที่เรากำลังเล็งอยู่ มันก็อาจจะชัดแค่บางจุด เช่นชัดแค่กลีบนอก ชัดแค่เกสร แถมหลุดโฟกัสง่ายมาก ถ่ายมาโครโดยใช้ค่า F กว้างสุดจำเป็นต้องเกร็งร่างกายหลายส่วนค่ะ (ถ้าไม่ใช่ขาตั้งกล้องนะ) กล้ามท้องและแขนต้องแข็งแรงเป็นพิเศษ ภาพจะออกมาชัด ไม่เบลอ หนุ่มคนไหนอยากมีกล้ามท้องหลายๆแพค ก็มาถ่ายมาโคร F กว้างๆกันเถอะ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ถามว่า ถ่ายมาโครดอกไม้ เราควรใช้ค่า F แบบไหนดี? อันนี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเลยค่ะ แล้วก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการนำภาพไปใช้งานด้วย  ถ้าเราอยากถ่ายเก็บไว้ดูเบ่นในอารมณ์ติสต์ๆ เพ้อฝันๆ ก็อาจจะใช้ค่า F กว้างสุด เพื่อให้ภาพดูราวกับอยู่ในเทพนิยาย แต่ถ้าเราจะนำภาพไปใช้เพื่อการศึกษา หรือ โพสต์เพื่อแนะนำดอกไม้ต้นไม้ในเชิงวิชาการ ก็อาจจะต้องใช้ค่า F สูงๆ เพื่อให้เห็นรายละเอียดของดอกไม้ชัดเจน เพราะฉะนั้น ใครจะได้เอฟ เอ้ย ตั้งค่าเอฟแบบไหน ก็เลือกเอาตามใจเลยค่ะ กฎมีไว้เพื่อเรียนรู้ และ เพื่อนำไปสร้างสรรค์ต่อ ส่วนป้ากิม จะชอบอยู่สองค่าค่ะ ถ้าใครตามกระทู้มาเรื่อยๆจะเห็นไว้ ออกแนวดอกไม้ในปาเทพนิยายซะมาก ค่าที่ชอบใช้คือ F2.8 และ 4.5 เวลาอยากจะเน้นเฉพาะจุดก็จะใช้ 2.8 แต่ถ้าให้เห็นฉากหลังพอหอมปากหอมคอ ก็จะใช้ 4.5 แถมอีกนิด การตั้งค่า F กว้างๆ ไม่ได้หมายความว่า ฉากหลังจะละลายเยิ้มเสมอไปเน้อ ถ้าหากเราถ่ายจากที่ไกลๆ เลนส์ห่างจากดอกไม้มาก ถึงจะตั้งค่าเอฟกว้างๆ ฉากหลังก็ยังชัดอยู่ค่ะ เราต้องเข้าใกล้ดอกไม้มากพอ ฉากหลังถึงจะเบลอ (ไว้ไปพูดอีกครั้งในเรื่องของ ฉากหลัง ฉากหน้า) จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:48:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ยัง ... ยังไม่จบ ในเมื่อโหมด Av สำคัญต่อการถ่ายดอกไม้ เราก็ต้องมาลงรายละเอียดกันอีกหน่อย ค่า F ก็คือ ค่าของการเปิดรับแสง ถ้าหากค่า F กว้าง ก็หมายความว่า แสงจะเดินทางเข้าสู่กล้องได้มาก ภาพก็จะได้รับแสงเพียงพอในเวลาที่รวดเร็ว ชัตเตอร์ก็จะปิด ประมาณว่า พอแล้ว แสงพอแล้ว เพราะถ้าชัตเตอร์ปิดช้า ภาพที่ได้มันก็สว่างโร่ (over) ส่วนค่าF แคบ ก็ตรงกันข้ามค่ะ เหมือนกับเราไปบีบช่องทางที่แสงจะผ่านกล้องไว้ให้เล็กกกกกกกกกกกก กว่าแสงจะมาเติมเต็มพอให้ภาพชัดเจน มันก็ต้องอาศัยเวลานานหน่อย เพราะฉะนั้น ชัตเตอร์ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะปิด ขืนปิดเร็ว ภาพก็ดำมืด (under) เพราะฉะนั้นๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ค่า F กว้างๆ จะคู่กับความไวชัตเตอร์ที่สูง ค่า F แคบๆ จะคู่กับความไวชัตเตอร์ที่ต่ำ สำหรับโหมด Av แล้ว เราไม่ต้องคำนึงถึงค่าชัตเตอร์เลยค่ะ เพราะกล้องจะปรับให้เราเองอยู่แล้ว ระวังเพียงแค่ว่า ถ้าหากความไวชัตเตอร์มันต่ำมาก ต่ำกว่า 1/60s ภาพที่ได้อาจจะไหว  ระบบกันสั่นช่วยได้ส่วนหนึ่ง ข้อมือที่แข็งแรงช่วยได้มากขึ้นอีก แต่ขาตั้งกล้อง, สายลั่นชัตเตอร์ หรือการตั้งหน่วงเวลาถ่าย จะช่วยให้ภาพคมชัดจริง จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 19:55:51 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาลงทะเบียนไว้ก่อนค้า แต่หนูขอเรียนปลายปีนะค้า คุณครูป้ากิม ช่วงนี้มะมีเวลาแล้นนน มัวเอ้อระเหยมากไป เดี๋ยวหนูจาเรียนอันอื่นไม่จบ ^__^ จากคุณ : ต้นชบากับคนตาบอด - [ 8 ก.ค. 51 20:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เอิ๊ก มาโหมดอื่นกันต่อ ต่อจาก Av ก็คือ Tv << ที่ไม่ได้หมายถึงโทรทัศน์ โหมด Tv ก็คือเราจะเป็นคนตั้งค่าความไวชัตเตอร์เอง แล้วกล้องจะไปเลือกค่ารูรับแสงที่เหมาะสมให้เอง ...กลับกันกับโหมด Av โหมดนี้จะเหมาะต่อการถ่ายแบบหยุดภาพเคลื่อนไหวให้นิ่งสนิท ถ้าจะเอามาถ่ายดอกไม้ก็อาจจะใช้ในการถ่ายพวกแมลงที่บินมาเกาะ แต่ต้องถ่ายตอนที่แสงแรงๆหน่อยนะคะ จะได้ตั้งค่าความไวชัตเตอร์ได้สูงมากพอจะหยุดสิ่งต่างๆได้ (อาจจะใช้แฟลชกับการปรับค่า ISO ให้สูงช่วย) กับในอีกกรณีที่เราต้องการสร้างเอฟเฟ็คให้ภาพ เช่น ถ่ายภาพดอกไม้โดยใช้ความไวชัตเตอร์ต่ำๆ ให้เห็นการเคลื่อนไหวของดอกไม้ในสายลม ภาพที่ได้จะออกแนวพริ้วๆ เห็นเส้นสายของการเคลื่อนไหว ก็จะควบคุมกล้องด้วยโหมดนี้ได้ค่ะ แต่โดยปกติ จะใช้ค่า Av มากกว่าค่ะ ส่วนค่า Tv ใช้ถ่ายตากล้องตอนกระโดดลอยตัวกลางอากาศจะดีกว่า ^^ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 20:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 15 อ่านจบไปรอบหนึ่งแล้ว ยังไม่ค่อยเข้าหัวอันอับทึบเท่าไหร่เลย เดี๋ยวจะมาอ่านอีกหลายๆรอบ ตอนนี้จัดเก็บเข้าคลังไว้ก่อน กล้องที่มี ก็มีอะไรตั้งมากมาย แต่ช่วงหลังไม่ได้ไปใช้อะไรมาก เล่นออโต้ซะเป็นส่วนใหญ่ ถ่ายใกล้ก็มาโครช่วย ไม่ต่างจากถ่ายแบบปัญญาอ่อน ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 8 ก.ค. 51 20:12:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หวัดดีฮ้าบบ คงต้องเก็บเข้าคลังไว้ก่อนละฮ้าบ ไม่งั้นปลายปีตำราจะหาย ^^ และแล้วก็มาถึงโหมดท้าทาย ประลองวิชาจากการเรียนในโหมดต่างๆที่ผ่านมา .............. โหมด M หรือ แมนวล นั่นเอง เมื่อก่อนจะไม่กล้าหมุนแป้นมาที่ตัว M เลย เพราะรู้สึกว่า ไม่ไหวแน่ตรู อะไรเนี่ยต้องปรับเองหมดเลยวุ้ย ทั้งค่า F ความไวชัตเตอร์ ชดเชยแสง บลาๆๆๆ แต่พอเอาเข้าจริง โหมดนี้จะช่วยให้เราบังคับกล้องถ่ายภาพในแบบที่เราต้องการได้ดีสุดค่ะ อย่างเช่น เจอดอกไม้ดอกหนึ่ง สวยมาก ปัญหาคือ มันย้อนแสง ถ้าใช้ AV ถ้าเราวัดแสงพลาด ตาพร่าดันไปวัดแสงฉากหลัง (ที่สว่างโร่)แทนที่จะวัดที่ตัวดอกไม้(ซึ่งก็ดอกเล็กวัดยาก) ภาพดอกไม้ที่ได้มันก็ดำเป็นภาพเงา  หรือเราอยากได้ค่า F กับความไวชัตเตอร์ที่มันคนละแบบกัยที่กล้องเลือกให้ ในโหมด Av มันก็ไม่ยอมให้เราปรับความไวชัตเตอร์  Tv ก็ไม่ยอมให้เราปรับค่า F .......................... สถานการณ์แบบนี้ต้องโหมด M เท่านั้นค่ะ ประโยชน์ :: ควบคุมการทำงานของกล้องได้ตามใจคนถ่าย อันนี้มีประโยชน์มากๆๆๆๆๆๆ โทษ :: เสียเวลาปรับ (โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่คล่อง) ไม่ทันกินฮับ ยิ่งเวลาจะถ่ายน้องผึ้งน้องตั๊ก กับอีกทีถ่ายเพลิน สภาพแสงเปลี่ยน ลืมดูค่าที่ปรับไว้เดิมว่ามันโอเวอร์หรืออันเดอร์ ตัวอย่าง ภาพนี้ถ่ายด้วยโหมด M ปรับเองหมดทุกขั้นตอน จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 20:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 17 หวัดดีฮับคุณต้นโพธิ์ ... ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้นะฮับ แบบว่า เขียนไปก็ไม่แน่ใจว่า ยากไปหรือเปล่า แหะ แหะ แหะ ส่วนภาพนี้ ใช้โหมดmacro ในโซนออโต้ (ตรงสัญลักษณ์รูปดอกไม้) จะเห็นว่า ตอนใช้โหมด M ตั้งค่า ISO ไว้ที่ 100 ตอนนี้กล้องเปลี่ยนให้เป็น 400 ค่า F ตั้งที่ 2.8 กล้องก็เปลี่ยนมาเป็น 5.6 ความไวชัตเตอร์ จาก 1/400s หรือ 1/200s กล้องก็เปลี่ยนให้เป็น 1/320s โหมด M ไม่ได้ยิงแฟลช พอมาเป็นโหมดออโต้ แฟลชป๊อบอัพดีดตัวดังผึง (ตกใจนะนั่น แบบว่าไม่ค่อยเปิดใช้แฟลช) แต่ภาพออกมา ก็ดูดีใช้ได้ทีเดียว ^^ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 20:28:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีค่ะ  คุณครูป้ากิม หนู(แกร่)มาเข้าห้องเรียนสาย อย่าเพิ่งตีนะคะ   หนูจะตั้งใจเรียนค่ะ  คุณครูสอนสนุกมาก ไม่ง่วงเลยค่ะ  หนูอ่านไปจดไปอ่ะค่ะ แต่พอถ่ายออกมาจริง เดี๋ยวก็รู้ วาหมูหรือจ่า  คุณครูป้ากิมต้องเอาปี๊บคลุมหัวหรือเปล่า  ฮิๆ     ต่อค่ะ ............... จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 20:29:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คราวนี้กลับมาที่พวกค่าพื้นฐานของกล้องกันบ้างดีกว่า ค่าความไวแสง ISO ถ้าใครเคยผ่านกล้องฟิล์มมาก่นอก็คงจะจำเรื่องของความไวแสงของฟิล์มได้ เวลาจะไปซื้อฟิล์มก็ต้องนั่งคิดว่า เราจะไปถ่ายอะไรแสงแบบไหน แล้วก็จะซื้อ ฟิล์ม100 200 400 ........... ตัวเลขเหล่านั้นคือค่าความไวแสงค่ะ ยิ่งเลขแยะๆ ก็จะถ่ายภาพในสภาพแสงน้อยๆได้ดี อย่างเช่น ไปถ่ายงานกลางคืนก็ต้องซื้อฟิล์ม 400 ปัญหาของกล้องฟิล์มคือ พอใส่ฟิล์ม ISO ค่าไหนก็ต้อง (ทน)ใช้ไปจนจบม้วน แต่พอมาถึงยุคดิจิตอล สบายกว่ากันแยะเลย ถ่ายห่างกันสิบนาที อาจจะเปลี่ยนค่า ISO สักสามค่า ตามสภาพแสงและความต้องการของเรา ในกล้องแต่ละตัวจะให้ค่าของ ISO ไม่ต่างกันมากนัก โดยมากจะเริ่มที่ 100 แต่สำหรับคอมแพคบางรุ่นจะได้ลงมาถึง 80 ส่วนสูงสุดก็แล้วแต่ค่ายของกล้องนะคะ อย่างตอนนี้ที่ใช้อยู่ สูงสุดได้ที่ 1600 เลขเหล่านี้ต่างกันอย่างไร เอาง่ายๆก็คือว่า ถ้าค่า ISO ต่ำ ก็จะให้ใช้ค่าความไวชัตเตอร์ได้น้อยกว่าค่า ISO ที่สูงภายในสภาพแสงเดียวกัน เช่น ... ถ่ายภาพดอกไม้ตอนเย็นแสงเริ่มสลัวแล้ว ตอนแรกใช้ ISO 100 ปรากฏว่า ความไวชัตเตอร์ได้แค่ 1/15s ถ่ายด้วยมือเปล่าภาพไหวแน่ จะไปปรับค่า F ให้กว้างขึ้นก็ไม่อยากปรับ ก็จะใช้การปรับ ISO แทนค่ะ ลองเปลี่ยนมาที่ 400 ความไวชัตเตอร์ก็อาจจะขึ้นมาถึง 1/40s  แบบนี้เป็นต้น ประโยชน์ :: ช่วยในการถ่ายภาพในสภาพแสงต่างๆ โทษ :: ในกล้องคอมแพค ถ้าปรับค่าความไวแสงไปที่เลขสูงๆ ภาพที่ได้มันจะแตกเป็นเม็ดๆ ภาพไม่ละเอียด อย่างที่เขาเรียกว่า noise นั่นเอง กล้องใหญ่ๆจะได้เปรียบเรื่อง noise ที่น้อยมาก เรื่อง noise ของคอมแพคขึ้นอยู่กับยี่ห้อด้วยนะคะ ^^ ว่ากันว่า canon noise ต่ำสุดในกระบวนของคอมแพค จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 20:39:03 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณครูป้ากิมขา    มีสอนพิเศษไหมคะ หนู(แกร่)เริ่มมึนละค่ะ จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 20:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 21 อ๋อ   noise เคยเจอละค่ะ ตอนถ่ายแมว   ถ่ายทันมันกระโดดเลยนะ แต่ภาพแตกอ่ะค่ะ  แง้ว กลับมาใช้โหมดออโต้เหมือนเดิม   ฮิๆ  แล้วก็ได้แมวกระโดดในฝันอ่ะค่ะ ครือแมวเบลอ............ จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 20:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 22 เอิ๊ก ... รอดตัวไป นึกว่าจะหลับกัน เพราะคราวนี้ทฤษฎีล้วนๆ ^^" วันก่อนสอนเด็ก เด็กก็หลับ (ใช่สิ วิชาฉันมันน่าเบื่อ) ค่าต่อมา WB การปรับสมดุลย์สีขาวววววววว WB =  White Balance เว้ากันซื่อๆก็คือ แสงที่เราเห็นๆกันอยู่นี้ อันที่จริงมันมีส่วนผสมของสี(แสง) อยู่หลายสีค่ะ แถมในแต่ละช่วงเวลา แสงสีต่างๆยังออกฤทธิ์แรงมากน้อยต่างกันด้วย ถ้าหากเราไม่ปรับตั้งค่ากล้องของเราในการบันทึกภาพให้ถูกต้องตามสภาพแสง ภาพที่ได้สีมันจะเพี้ยน มีตั้งแต่ระดับเพี้ยนนิดหน่อย ไปจนถึงเพี้ยนมากๆ .... หมายถึงภาพนะคะ ไม่เกี่ยวกับคนถ่าย ในสมัยกล้องฟิล์ม ตัวฟิล์มนอกจากมีค่าความไวแสงแล้ว ก็ยังมีแบ่งประเภทด้วยว่าเป็นฟิล์มสำหรับถ่ายในเวลาใด ถ้าเอาฟิล์มสำหรับถ่ายกลางวัน ไปถ่ายภาพไฟกลางคืน สีของแสงก็เปลี่ยนไปอีก ปวดหัวแท้น้อ ทางแก้ของตากล้องสมัยก่อนก็คือ การใช้ฟิลเตอร์แก้สีค่ะ คือจะใช้ฟิลเตอร์สีต่างๆมาช่วยแก้แสงในช่วงเวลานั้นๆ แต่ตากล้องก็ต้องท่องจำให้ได้ด้วยว่า ฟิลเตอร์สีอะไรจะใช้กับฟิล์มอะไร ในช่วงเวลาใด ................. ปวดหัวหนักกว่าเดิม ในปัจจุบัน กล้องดิจิตอลหาทางออกที่ง่ายๆให้กับเรา แทนที่จะพกฟิลเตอร์เป็นตับ ก็จะแทนที่ด้วยฟังก์ชัน WB ถ้าเราดูในกล้อง เมื่อเรากดตรง WB เราจะเห็นสัญลักษณ์สภาพแสง หน้าตาเหมือนกำลังจะพยากรณ์อากาศ ... นั่นแหละค่ะ คล้ายๆกับเป็นฟิลเตอร์แต่ละสีที่ใช้กันในสมัยก่อน วิธีใช้ง่ายมาก แหงนดูท้องฟ้าหรือแหล่งกำเนิดแสงนี้ดนึงว่า ตอนนี้สภาพอากาศ สภาพแสงเป็นแบบไหน สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ :: ใช้เมื่อถ่ายจากแหล่งกำเนิดแสงเป็นแสงจากดวงอาทิตย์ ในเวลากลางวันแสงดี สัญลักษณ์รูปเมฆ หรือบ้านที่มีเงา :: สำหรับถ่ายในสภาพที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก หรืออยู่ในร่มเงา ภาพที่ได้มันจะมีโทนสีอุ่นๆ (ติดเหลืองนิดๆ) สัญลักษณ์รูปหลอดไฟ :: มีสองแบบ แบบหลอดยาวและหลอดกลม อันนี้ใช้ตอนที่เราถ่ายในอาคารที่แหล่งกำเนิดแสงเป็นไฟฟ้าในแบบต่างๆ สัญลักษณ์สายฟ้า :: ใช้สำหรับการถ่ายภาพโดยมีแหล่งกำเนิดแสงร่วมกับแฟลช AWB :: เป็นระบบการปรับค่า WB ให้โดยอัตโนมัติ ให้ความแม่นยำได้ในระดับที่น่าพอใจค่ะ เหมาะสำหรับสภาพแสงที่ผสมปนเป จนเราขี้เกียจเลือก อย่างที่บอกค่ะว่า กฎเกณฑ์มีไว้เพื่อเรียนรู้ แต่ในทางปฏิบัติ เราสร้างสรรค์ใหม่ได้ เรื่องของ WB ก็เช่นกัน ในบางสถานการณ์เราไม่จำเป็นต้องปรับค่าให้ถูกต้องตามสภาพแสงเสมอไปค่ะ WB ในกล้องดิจิตอลมันก็คือฟลเตอร์สี ดังนั้น ในบางสถานการณ์เราอยากเพิ่มสีใดสีหนึ่งให้กับภาพ แทนที่จะใช้ฟิลเตอร์ เราก็ปรับ WB แทน ก็ได้ผลไม่แตกต่างกัน เหมาะสำหรับกล้องที่ไม่สามารถใส่ฟิลเตอร์ได้ ลองเล่นดูนะคะ ว่า WB ตัวไหนให้ค่าแสงสีอะไรออกมา ^^ นอกจากที่เราจะใช้ WB เพื่อผลในการปรับแสง ใช้แทนฟิลเตอร์สีแล้ว ... การปรับค่า WB โดยไม่ตามกฎ ก็จะเป็นการสร้างอารมณ์ของภาพ (โดยเจตนา) อีกทางหนึ่ง  ภาพนี้ปรับ WB เป็นแบบ AWB ถ้าปรับเป็นรูปเมฆ ภาพที่ได้มันก็จะมีสีอมเหลืองๆ อบอุ่นๆ ปล.เพิ่งมาเห็นว่าลืมแปะภาพโทนอุ่น ... ก๊งได้ที่แล้วเรา แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 21:20:06 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:01:54 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มารายงานตัว อีกคนค่ะ จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 21:06:44 ]

ความคิดเห็นที่ 24 มาเช็คชื่อเข้าห้องเรียนค่ะ จากคุณ : บ้านสีขาว - [ 8 ก.ค. 51 21:08:15 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ว่ากันว่า canon noise ต่ำสุดในกระบวนของคอมแพค .................................................................. อือ อือ นู๋ใช้ SONY สงสัย noise เพียบ มาสายขอนั่งหลังห้องน้าคุณครูป้ากิม........... จากคุณ : puipom - [ 8 ก.ค. 51 21:08:54 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ต้องลองเล่นกับกล้องไปเรื่อยๆน่ะพี่ ... ตอนแรกตัวเองก็มึนเหมือนกัน แต่ระบบของกล้องในแต่ละส่วนมันจะสัมพันธ์กันหมด ตั้งแต่ ISO ค่า F ค่าความไวชัตเตอร์  ถ้าจำอะไรได้สักอย่าง ลูกทีมมันจะตามมาด้วย ^^ ไม่ยากหรอก จับเคล็ดได้ ก็จะเข้าใจทั้งหมดยกยวง .... มาต่อที่เรื่องของแสงอีกนิดค่ะ ^^ อันนี้เหมาะสำหรับคนที่ถ่ายดอกไม้สีขาวแล้วทำไมมันไม่ขาว ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่า กล้องดิจิตอล ด้านหนึ่งมันก็แสนจะฉลาดมากกกก แต่อีกด้าน ก็โดนเขาหลอกง่ายมากเช่นกัน ที่บอกว่าโดนหลอกก็คือ กล้องจะโดนแสงหลอกค่ะ เวลาถ่ายภาพหนึ่งภาพ เราก็จะมีวัตถุหลักที่เราต้องการถ่าย แล้วก็ฉากหลัง ทีนี้ ถ้าหากว่าวัตถุกับฉากหลังมันมีสีแสงที่พอๆกัน กล้องมันก็จะอ่านค่าแสงได้ไม่ยาก แล้วก็จะประมวลผลมาบอกเราว่า ใช้ค่า F เท่านี้จิ ความไวแค่นี้นะ บลาๆๆๆ แต่ถ้าหากวัตถุเป้าหมาย กับ ฉากมันไม่พอดีกัน คือ ฉากมีเนื้อที่กว้างขวากว่าวัตถุเป้าหมาย ถ้าหากเราวัดแสงผิด  คือแทนที่เราจะวางจุดการวัดแสงไว้ที่วัตถุเป้าหมาย (ก็คือไอ้จุดที่กระพริบๆเวลาเรากดโฟกัสครึ่งเดียวนั่นแหละค่ะ พยายามไปให้มันกระพริบตรงวัตถุเป้าหมายของเรา มันจะวัดแสงตรงนั้น โฟกสตรงนั้น)  ดันพลาดไปวัดที่ฉากหลัง ผลก็คือ กล้องมันอ่านค่าแสงที่ฉากหลังแทน เอิ๊ก ถ้าหากฉากหลังกับวัตถุสีไม่ต่างกันมาก ก็รอดตัวปายยยยย แต่ถ้าเป็นแบบนี้.............. ในส่วนนี้ เราอาจจะเห็นสเกลหน้าตาแบบนี้ มันคือ สเกลวัดแสงค่ะ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:11:05 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เอ่อ....คุณครูขา    แล้วให้หนู(แกร่)กดหา ไอ่แมงWB ที่ตรงไหนอ่ะคะ แง้ว จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:12:31 ]

ความคิดเห็นที่ 28 หนูน้ำค้าง  เงียบๆ หน่อยอ่ะ หนู..คนอื่นกะลัง มีนส์   ได้ที่ จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 21:15:17 ]

ความคิดเห็นที่ 29 หวัดดีฮ้าบ พี่เหมียว คุณบ้านสีขาว คุณปุ้ย วันนี้เรื่องยากนี้ดนึงเน้อ.... เด็กหญิงน้ำค้างมึนไปแย้ว จากภาพข้างบน ฉากหลังสีเข้ม ส่วนดอกไม้เราสีอ่อน เช่น สีขาว แล้วถ้าเราวัดแสงที่ดอกไม้เป๊ะ ไม่พลาด ภาพก็จะออกมาในลักษณะที่ดอกไม้ยังขาวใส ส่วนฉากหลังจะมืดๆ ดำๆหน่อย ซึ่งไม่เป็นไร เพราะเราจะเน้นดอกไม้ แต่ถ้าหากวัดพลาด ไปวัดฉากหลัง ผลก็คือ กล้องมันก็จะอ่านค่าแสง ซึ่งสเกลการวัดแสงจะอยู่ที่ติดลบ แล้วกล้องก็บอกกับตัวเองว่า "อุ้ย แสงมันต่ำไป อันเดอร์ๆๆๆ ไม่ได้การ เดี๋ยวเจ้าของจะหาว่ากล้องเราระบบไม่เจ๋ง ต้องเพิ่มค่าแสงให้พอดีสักหน่อยแล้ววววว " การเพิ่มค่าแสงให้พอดีที่กล้องมันทำก็คือ ไปทำให้ฉากหลังที่มืด สว่างขึ้นมาสักหน่อย สเกลวัดแสงจะได้ไม่ติดลบ ผลก็คือ ฉากหลังสว่างขึ้น แต่ดอกไม้สีขาวข้างหน้าก็สว่างขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นก็คือ ดอกไม้ ขาวจั๊วะ ราวกับใช้ไฮเตอร์ทั้งขวด ในทางตรงกันข้าม ดอกไม้สีขาว ฉากหลังก็ขาว ถ้าหากให้กล้องคิด มันก็จะคิดว่า "อะฮ้า ... แสงมันจ้าไปหน่อยแล้วเฟ้ยยยยย ไม่ได้การๆๆๆ ต้องลดค่าแสงให้เขาสักหน่อย"  ว่าแล้ว มันก็จัดการลดแสงลงซะงั้นเพื่อให้สเกลที่ไปในทางบวก กลับมาสู่ที่ศูนย์ตามเดิม ผลก็คือ ดอกไม้ที่ขาวๆ ก็เมาหม่นๆไปในทันใด เห็นมั้ยคะว่า มันฉลาดก็จริง แต่ซื่อเหลือเกิน จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:18:36 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณครูขา หนู(แกร่)ฉลาดแต่โง่อ่ะค่ะ จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:25:29 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ค่า WB ... อืมมม กล้องแต่ละตัวมันจะเก็บไว้ต่างที่ต่างทางกันน่ะพี่ ทางที่ดี พี่ลองเปิดคู่มือนะ ว่า WB ต้องกดไปตรงไหน  บางรุ่นมันจะอยู่ตรงแป็นหลังกล้อง เป็นคำว่า WB เลยค่ะ  บางรุ่นต้องเข้าไปที่เมนู หรือไม่ก็ setting ^^" ต่อๆๆๆ ทางแก้สำหรับความซื่อของกล้อง มีกฎง่ายๆของสองค่ะ ถ้าหากว่า ภาพที่เรากำลังจะถ่าย มันหนักไปในทางสีเข้ม (หมายถึงสีรวมของภาพทั้งหมด) ให้เราเลื่อนสเกลชดเชยแสงให้ไปทางลบ วัตถุสีเข้มๆจะเข้มตามจริง ถ้าหากว่า ภาพที่เรากำลังจพถ่าย โทนของภาพมันหนักมาทางสว่าง เราเลื่อนสเกลมาทางบวก ภาพก็จะได้สีที่พอดีๆ ไม่กลายเป็นสีเทา สำหรับการถ่ายดอกไม้ ส่วนมากจะไม่พบดอกไม้สีดำเน้อ เพราะฉะนั้นเราจะหมดปัญหาเรื่องชดเชยแสงทางลบ ส่วนมากจะเป็นการถ่ายดอกไม้สีขาว ให้เราเลื่อนมาทางบวกค่ะ ภาพปลากรอบ ภาพนี้ วัดแสงที่ดอกบัวดินสีขาว สเกลอยู่ที่ศูนย์ ปล. ลืมบอก สเกลนี้ได้มาจากจากปุ่ม หรือ เมนู หรือ ฟังก์ชั่นที่เขียนว่า EV+/-  ลองมองหาดูเน้อ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตามมาเรียนด้วยคนครับ กำลังมึน ๆ เหมือนกัน 555 ถามนิดนึงครับ แล้ววัดแสงยังงัยอ่ะครับ -_-" จากคุณ : PingP - [ 8 ก.ค. 51 21:26:00 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบคำถามคุณ PingP ก่อน วัดแสงยังไง?... อย่างแรกเลยต้องดูว่า กล้องเป็นกล้องแบบไหน ถ้าเป็นคอมแพคตัวเล็กๆบางๆ ระบบวัดแสงเขาจะตั้งอัตโนมัติ เราปรับอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นกล้องที่เขาบอกว่า ปรับตั้งค่าวัดแสงได้ มันจะมี การวัดแสงแบบเฉลี่ย แบบเฉพาะตรงกลาง แบบเฉพาะส่วน บางรุ่นวัดแบบเฉพาะจุด ซึ่งถ้ามีวัดแสงเฉพาะจุดเลือกแบบนี้เลยค่ะ เหมาะต่อการถ่ายดอกไม้มากสุด เสร็จแล้ว วิธีวัดก็คือ เวลาที่เราโฟกัสภาพ ถ้ามองผ่านช่องมอง หรือผ่าน LCD เราจะเห็นจุดแสงแดงๆ ที่มันจะโฟกัสภาพ จุดเหล่านั้นมันจะวัดค่าแสงของวัตถุที่กำลังโฟกัสอยู่ค่ะ ถ้าเป็นระบบออโต้ เราแทบไม่ต้องไปคิดอะไรอีก เพราะมันจะปรับสเกลแสงให้อยู่ที่ศูนย์ ซึ่งหมายความว่า ภาพสีดำก็จะไม่ดำ ออกเทาๆ ส่วนภาพสีขาวๆ ก็ไม่ขาว ออกหม่นๆ แต่ถ้ากล้องเราปรับค่าชดเชยแสงได้ มองหาตัว EV+/- แล้วใช้สูตร วัตถุสีขาว เราเลื่อนสเกลไปทางบวก วัตถุสีดำ เลื่อนสเกลไปทางลบ แค่นี้แสงที่ได้ก็จะถูกต้องค่ะ แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 21:34:58 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มาดูตัวอย่างของการชัดเชยแสง อันนี้ไล่สเกลให้ดูตั้งแต่ชดเชยแสง over 1/3 ไปจนถึง over 2 สตอป (ปรับเลื่อนสเกลไปทางบวก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเราเห็นว่า ดอกไม้สีขาว มันขาวแล้วอย่างที่เราเห็น) จะเห็นว่า +2 ภาพจะขาวเว่อร์เกิน จนขาดรายละเอียด คงต้องใช้ค่าประมาณ +1 1/3  หรือ +1 2/3 ก็จะกำลังพอดีๆ แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 22:11:19 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:33:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณครูขา  หนู(แกร่)หาAWBเจอแล้วค่า เย้................. จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:34:29 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ...ลงชื่อเข้าเรียน  ป.2 ค่ะ 555...ครูน้องปลากิมขา...พี่เข้าใจหมด ทุกโหมด เลยค่ะ... เรียนเก่ง ซ้า... ที่ไม่เข้าใจอย่างเดียว คือ ทำไมยังไม่มีกล้องที่มีโหมดแบบนี้ซักกะที  ... จากคุณ : Ricola ร่าเริง - [ 8 ก.ค. 51 21:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เข้ามาเรียน ค่ะ  ขอบคุณค่ะป้ากิม คะ จากคุณ : ปะการังหอม - [ 8 ก.ค. 51 21:38:31 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ยินดีด้วยฮ้าบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ พี่น้ำค้าง เอิ๊กๆๆๆ สุดท้ายๆๆ วันนี้ยากจริงๆ มึนเหมือนกัน ^^" *ปาดเหงื่อ* เรื่องของการชดเชยแสง ในตามหลักการแล้วก็เพื่อปรับค่าแสงที่กล้องโดนหลอกให้เข้าที่เข้าทาง โดนเขาหลอกว่าแสงน้อย จนกล้องปรับให้สว่างขึ้น เราก็ไปลบค่าแสงมันลงซะ โดนเขาหลอกว่าแสงมาก จนกล้องปรับให้มืดลง เราก็ไปเพิ่มค่าแสงมันให้ขึ้นมาซะ แต่การปรับชดเชยแสงไปทางบวกลบนี้ สามารถเอามาใช้สร้างสรรค์ภาพในแนวต่างๆได้ค่ะ อย่างที่เราอาจจะเคยได้ยินคำว่า .... Low key โลว์ คีย์ เน้อ ไม่ใช่ โลกีย์ หมายถึงภาพที่ออกในโทนขรึมๆ เข้มๆ ไม่มีส่วนสว่างมาโดดเด่นมากนัก กับ High key หมายถึงภาพที่ออกไปในโทนสว่าง ไม่มีเงาดำเลยในภาพ เราก็อาจประยุกต์ใช้ในภาพเราได้ เช่นภาพนี้ปรับมาทางค่าลบค่ะ ให้อารมณ์ภาพมันออกมาดูมีมิติลึกๆ น่าค้นหา แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 21:41:33 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:40:42 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ฮ่าๆๆๆๆๆเอิ๊ก ขำมุขเด็กหญิงพี่เปรม ก๊ากกกกกกกก จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:41:29 ]

ความคิดเห็นที่ 40 หวัดดีค่ะพี่ Ricola คุณปะการังหอม ^^ ตัวอย่างอีกภาพค่ะ อันนี้ให้ออกแนวสว่างเกินค่าที่กล้องอ่านได้ ให้ผลในด้าน โปร่ง เบา ล่องลอย จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:43:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 หนูน้ำค้าง  นอกจากถามตาหลอด ยังหัวเราะเสียงดัง  รบกวน 'มาธิ นร. คนอื่นโด้ยยยยย เด๋วไล่ไปยืนขาเดียวคาบไม้บรรทัดเสียนี่   ฮึ่ม ! จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 21:44:21 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คนถ่ายรุปไม่เอาไหนน่ะ ก็ตั้งใจเรียนจิ อย่าเอาแต่ฟ้องครู จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:47:33 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มะได้ฟ้อง   ขอใช้สิทธิ์ โวยหน่อยย่ะ จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 21:49:10 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คุณครูขา   ถ้าเจอเด็กหญิงปุ้มนะ หนูจะถ่ายเค้าโดยชดเชยแสงทางบวกมากๆเลยค่ะ จะได้เห็นปุ้มตัวเบา...........นุ่ม..........และลอยได้.......... จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 21:51:05 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ขอลงทะเบียนเรียนการใช้กล้องด้วยคนน่ะครับ ป้ากิม" จากคุณ : ตาลเดี่ยว (TON16) - [ 8 ก.ค. 51 21:51:46 ]

ความคิดเห็นที่ 46 คุณครูป้ากิมสุดสวยคร้าบ จากคห. 33 + 34 เรื่องการวัดแสง ถ้าเกิดใช้โหมดวัดแสงเฉพาะจุดแล้ว แต่ภาพออกมามืดหรือสว่างเกินไปให้แก้ปัญหาด้วยการปรับค่าชดเชยแสงใช่มั้ยฮับ แล้วภาพนี้มืดหรือสว่างไปง๊าบ จากคุณ : อิฐมอญ - [ 8 ก.ค. 51 21:57:06 ]

ความคิดเห็นที่ 47 การชดเชยแสงอย่างที่เห็นในสองภาพบน ทำได้โดยวัดแสงปกติ ดูค่าที่ได้ แล้วชดเชยให้มันติดลบ หรือ บวกเพิ่มค่ะ วิธีการ ... 1.ถ้าเป็นคอมแพค ก็คงต้องเป็นคอมแพคที่ปรับตั้งค่าในโหมด P AV  M ได้ ถ้าเป็น P เราก็จะเห็น สเกลไม้บรรทัดมีเลข -2 .. 1 .. 0 .. 1.. 2+ ลองปรับดู (ไม่แน่ใจว่า ในแต่ละรุ่นต้องกดอะไรตรงไหนถึงจะปรับค่าพวกนี้ได้) ถ้าเป็นแคนอน มันจะมีปุ่มหรือฟังก์ชั่นที่เขียนว่า EV 2.ถ้าใช้โหมด AV ปรับตั้งค่ารูรับแสงเอง ให้ไปปรับที่สเกล บวกหรือลบได้ตามใจเราค่ะ 3.ถ้าใช้โหมด M โหมดนี้จะไม่สามารถปรับเฉพาะค่าของ EV หรือที่สเกลนั้นได้ แต่จำเป็นต้องใช้ การเลือกค่าความไวชัตเตอร์ หรือ ปรับค่ารูรับแสง ถ้าหากเราจะไม่เปลี่ยนค่ารูรับแสง เราจะไปปรับความไวชัตเตอร์ ถ้าอยากให้แสงมันออกมาในทางสว่าง ก็ต้องไปลดความไวชัตเตอร์ให้ช้าลง ถ้าต้องการให้ภาพมืด ก็ต้องไปปรับความไวชัตเตอร์ให้สูงขึ้น ถ้าหากเราไม่อยากเปลี่ยนความไว ก็ไปปรับค่ารูรับแสง ให้กว้าง หรือ แคบ แทน . . . . เรื่องในวันนี้ ถ้าไม่ชินก็จะเห็นว่า มันยุ่งยาก จุกจิกค่ะ เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่เพราะมันคือทฤษฎีพื้นฐานของการถ่ายภาพ ไม่ว่าจะเป็นกล้องแบบไหน ก็ต้องใช้กฎพวกนี้แบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นมันก็จำเป็นที่เราอาจจะต้องจำมันนิดหน่อย (ไม่ต้องถึงกับนั่งท่องเดินท่องเน้อ) จากประสบการณ์ที่ผ่านมา วิธีการที่จะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้ดีที่สุด คือ ลองเอากล้องมาปรับไปทีละค่า แล้วถ่ายดู กล้องดิจิตอลมันมีดีตรงที่เราถ่ายได้มากเท่าที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นฝีมือเราจะพัฒนาได้เร็วค่ะ ถ้าใช้กล้องบ่อยๆ บางเรื่องตอนนี้อาจจะยังจำไม่ได้ หรือสับสน แต่ถ้าได้ลองปรับ ถ่าย ด้วยตัวเองแล้ว ^^ เดี๋ยวก็จะจำได้ดีเองค่ะ อีกวิธีหนึ่งก็คือ ลองหาหนังสือกล้องดิจิตอลแบบเบสิคมาดู ค่อยๆลองอ่านลองปรับเทียบไป ^^" ในกระทู้นี้เป็นแบบเร่งรัดค่ะ เอาแบบเท่าที่จำเป็น แต่ในรายละเอียด คงต้องอ่านจากเว็บสอนถ่ายภาพ หรือจากหนังสือจะดีกว่า ทุกอย่างต้องมีจุดนับหนึ่งค่ะ อย่างป้ากิม วันนี้ก็ต้องมานั่งนับหนึ่งกับการใช้แฟลชนอก จะเอาไปออกงานน่ะค่ะ ต้องหัดแบบเร่งด่วน อ่านเองจากกระทู้เป็นสิบแล้ว ยังก๊งๆอยู่เลยว่ามันจะวัดแสงอะไรยังไง ไม่ให้ขาวเว่อร์ ยากกกกกกกกกกกกกกกกกก จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 21:57:42 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เข้าเรียนตั้งแต่เปิดห้องแล้วเจ้า แต่รอให้ อ.หนูป้ากิมจัดการสอนให้เรียบร้อยก่อน จากคุณ : ชาวเหนือ - [ 8 ก.ค. 51 22:02:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 คุณครูป้ากิมสุดสวยคร้าบ จากคห. 33 + 34 เรื่องการวัดแสง ถ้าเกิดใช้โหมดวัดแสงเฉพาะจุดแล้ว แต่ภาพออกมามืดหรือสว่างเกินไปให้แก้ปัญหาด้วยการปรับค่าชดเชยแสงใช่มั้ยฮับ แล้วภาพนี้มืดหรือสว่างไปง๊าบ . . . . . . . . ว่าจะไปเป็นผีตู้เย็นหาไรกินเพิ่มรอบเอว แต่พอเจอประโยคแรก เปลี่ยนใจมาตอบก่อนโดยด่วน ดาวกระจายสีเหลืองถ่ายยากเหมือนกันเน้อ เพราะถ้าวัดแสงไม่ดี ดอกก็จะสว่างโร่ ขาดรายละเอียด ในภาพคิดว่า โอเคแล้วค่ะ เพราะจะดูจากรายละเอียดของดอกกับเกสร ถ้าสีเหลืองมันแจ๋นมาก แปลว่า มันOver ไป ถ้าจะให้ดี ภาพนี้อาจจะเข้าไปปรับ contrast ในโฟโตช็อบอีกนิด ^^ จะใสโดยไม่โอเวอร์ค่ะ (หลักสูตรปรับภาพจะเปิดในภายหลัง) การวัดแสงเฉพาะจุด ถ้าใช้โหมด P หรือ Av ใช้การชดเชยแสงโดยเลื่อนสเกล EV ค่ะ แต่ถ้าใช้โหมด M ชดเชยโดยปรับค่าความไวชัตเตอร์ให้เร็วขึ้นหรือช้าลง สังเกตได้ว่า เมื่อเราปรับค่าความไวชัตเตอร์ สเกล EV มันจะเปลี่ยนตามไปด้วย  หรืออาจจะเลือกปรับค่าF ก็ได้ค่ะ โดยปกติแล้ว เรามักจะเซ็ทค่า F ไว้เป็นหลัก แล้วเลือกปรับความไวชัตเตอร์แทน แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 22:05:27 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 22:02:29 ]

ความคิดเห็นที่ 50 พี่เหมียว :: เหมือนเป็นหัวหน้าห้องเลยพี่ คอยดุเพื่อนแทนครู เอิ๊กๆๆๆๆๆๆ คุณตาลเดี่ยว :: ยินดีต้อนรับฮับ อาจจะก๊งๆหน่อยนะฮับ แบบว่า เขียนไปแปะไป เริ่มงง ป้าน้อย :: สวัสดีค่ะ ^^ ปาดได้จ้า จะได้ไม่เหงา จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 22:08:26 ]

ความคิดเห็นที่ 51 กล้องผมกล้องติงต๊อง ปรับได้นิดๆ หน่อยๆ สงสัยต้องรอหลักสูตร ทุกภาพสวยได้ด้วย Photoshop อิอิ จากคุณ : อิฐมอญ - [ 8 ก.ค. 51 22:13:46 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ครูปลากิมขา.. หนูน้ำค้างหลับไปแล้วค่ะ   เงียบสนิทเลย จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 22:18:52 ]

ความคิดเห็นที่ 53 นั่นสิ .... สงสัยหนูน้ำค้างแบตหมด จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 22:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มะได้หลับวุ้ย คนขี้ฟ้อง    เค้ามาโทสับมาคุยเฟ้ย จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 22:26:23 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ว้าย   ข้างบนน่ะ หนูว่าพี่เหมียวขี้ฟ้องนะคะคุณครูขา จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 22:27:06 ]

ความคิดเห็นที่ 56 อ่ะ  สวมวิญญานหัวหน้าห้องย่ะ หัวหน้าห้องที่ดี  ต้องฟ้องตา-หลอด ฟ้องทุกคน ไม่ชอบใคร ฟ้องดะ  จดชื่อส่งโด้ยยย จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 22:30:05 ]

ความคิดเห็นที่ 57 คุณครูขา     ถ้าหนูส่งการบ้านเมื่อไร หนูจะแถมปี๊บให้คุณครูด้วยอ่ะค่ะ    จะได้ไม่มีใครรู้ว่าคุณครูป้ากิมมีลูกศิษย์อย่างหนู   ฮิๆ ฉงฉานคุณครูอ่ะค่ะ จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 22:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เมาอะ อ่านไม่ไหว รู้แล้ว ทำไมลูกสาวป้าถึงบอกว่า ไอ่หนอนป๊อกแป๊กแบบออโต ดีกับแม่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก มึนตึ้บ จากคุณ : ป้าจายท้ายสวน (-.-) - [ 8 ก.ค. 51 22:36:21 ]

ความคิดเห็นที่ 59 นึกถึงตอนเรียนเลย จดชื่อฟ้องคุณครู ... กลับมาเถิดวันวาน กลับมาเถิดวันวาน .... วันวานยังผอมอยู่ ไปอ่านหนังสือต่อแล้วฮ้าบบบบ พรุ่งนี้ตำข้าวอีกหนึ่งยุ้งฉาง คนละวิชากับกระทู้นี้เลยวุ้ย ... สับสนๆๆๆ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 8 ก.ค. 51 22:37:56 ]

ความคิดเห็นที่ 60 หนูจะแถมปี๊บให้คุณครูด้วยอ่ะค่ะ     จะได้ไม่มีใครรู้ว่าคุณครูป้ากิมมีลูกศิษย์อย่างหนู ต้องเอามาครอบตะเองย่ะ  จะได้มะรู้ว่าหน้าตาศิษย์เป็นไง   จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 8 ก.ค. 51 22:38:14 ]

ความคิดเห็นที่ 61 สวัสดีค่ะคุณครู จากคุณ : น้ำค้างรุ่งอรุณ - [ 8 ก.ค. 51 22:42:12 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณค่ะคุณครู สิ่งที่ต้องการหลังจากเรียบจบบทนี้คือ.....อยากได้กล้องหม่ายยยยย กล้องอิฉัน noise ตึ้มเลย คุณปุ้ยจ๋า Sony มันดีทางเครื่องเสียงอะนะ เลยเสียง (noise) แยะ อิๆๆๆ ใช้โซนีเหมียนกัน อีกตัว KonicaMinolta บอสัดโดนเทคโอเวอร์ไปแล้ว noise หนักกว่าโซนี่อีก แก้ไขเมื่อ 08 ก.ค. 51 23:03:27 จากคุณ : ศูนย์สองหก - [ 8 ก.ค. 51 23:02:38 ]

ความคิดเห็นที่ 63 แอบมาเรียนโด้ยยยจ้า แล้วจะเป็นไหมนะ กะกล้องป๊อกแป๊ก จากคุณ : ttvp - [ 8 ก.ค. 51 23:31:44 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณครับ อาจารย์ป้ากิมกลับไปแล้วเพิ่งมา ขอลอกบนกระดานเก็บไว้ท่องจำทีหลัง หนักหนาสาหัสแต่ยังพอทนสำหรับพวกทฤษฎีจัดปฏิบัติไม่ได้เรื่องอย่างพ่อถุง   จากคุณ : พ่อ@LLถุง - [ 9 ก.ค. 51 00:24:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เป็นนักเรียนหลังชั้นค่ะ สวัสดีค่ะ จากคุณ : fulgurant - [ 9 ก.ค. 51 00:59:25 ]

ความคิดเห็นที่ 66 หวัดดีรอบเช้าฮับ *ฮ้าววว* สำหรับกระทู้นี้เป็นทฤษฎีพื้นฐานของกล้องน่ะค่ะ อาจจะยุ่งยาก แล้วก็กล้องบางรุ่นอาจจะปรับอะไรตามข้างบนไม่ได้มาก เอาแค่ว่า ปรับได้ในส่วนที่พอจะได้แล้วกันค่ะ เช่น ค่า WB หรือ โหมดมาโคร สำหรับการถ่ายภาพให้สวยแล้ว มีสามส่วนด้วยกัน ประการแรกคือภาคทฤษฎี ......... ถ้าเราเข้าใจกลไกการบันทึกภาพ ซึ่งก็คือการเก็บแสงของกล้อง มันก็จะทำให้เราใช้กล้องได้ตามใจเราได้ดีขึ้น ประการที่สองคือการจัดองค์ประกอบภาพ ...... ต่อให้แม่นทฤษฎีแค่ไหน แต่ถ่ายไปเรื่อยๆ ขาดหลักการจัดองค์ประกอบภาพทั้งเรื่องการวางภาพและเรื่องของสีสัน ภาพที่ได้มันก็ไม่มีพลังค่ะ ^^   การจัดองค์ประกอบภาพถือเป็นหัวใจของการสร้างสรรค์ภาพ ไม่ว่าจะใช้กล้องเล็ก หรือ กล้องใหญ่ การจัดองค์ประกอบภาพคือสิ่งสำคัญสุด   คนที่ใช้คอมแพคถ้าจัดองค์ประกอบของภาพ มีเรื่องราวน่าสนใจ ก็อาจจะนับได้ว่า เป็นคนที่ถ่ายรูปได้ดีกว่าพวกที่ใช้กล้องใหญ่ค่ะ (แล้วเราก็จะภูมิใจมากด้วยว่า ถึงกล้องเราจะมีข้อจำกัดมากมาย แต่เราถ่ายออกมาแล้วสวยกว่า เอิ๊กๆๆๆๆ) ประการที่สาม คือ จินตนาการ ความสร้างสรรค์ ^^ อันนี้เป็นของแถมฮ้าบบ เป็นเรื่องที่สอนกันบ่ด้าย เข้าข่ายตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ขอยืนยันจากประสบการณ์การถ่ายภาพดอกไม้ด้วยกล้องตั้งแต่ตัวเล็กมาถึงตัวใหญ่ ..... ถ้าเรารู้ข้อจำกัดของกล้องเราดี รู้จุดเด่นจุดด้อย แล้วใช้สิ่งที่กล้องเราทำได้ให้ถึงขีดสุด ...........  ภาพที่ได้ ไม่มีความแตกต่างกันเลย ครั้งหนึ่ง สมัยยังใช้คอมแพค มีคนมากระซิบถามว่า "ใช้กล้องกับเลนส์ตัวไหนครับ?"     กว่าจะตอบได้ก็คิดอยู่นานว่าจะบอกเขาดีเปล่าน้อ ว่าใช้แค่กล้องตัวเล็ก เปลี่ยนเลนส์ยังบ่ได้เลย ... (คนถามใช้นิคอนรุ่นใหญ่) อุปกรณ์เป็นแค่เครื่องมือที่ช่วยให้เราทำงานง่ายขึ้นค่ะ แต่เหนือสิ่งอื่นใดอยู่ที่ตัวเราเองค่ะ ^^ การได้อยู่กับดอกไม้ ความสวยงามของเขาทำให้เรามีความสุขไปแล้วส่วนหนึ่ง เมื่อเรามีความสุข มุมมองของเราก็จะสวยงาม แค่กล้องเล็กๆ ธรรมดาเราก็อาจจะถ่ายภาพที่ยิ่งใหญ่ได้ แก้ไขเมื่อ 09 ก.ค. 51 04:57:44 จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 9 ก.ค. 51 04:54:38 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สวัสดีตอนเช้าเช่นกันครับ จากคุณ : ต้นโพธิ์ต้นไทร - [ 9 ก.ค. 51 05:00:53 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อรุณสวัสดิ์ค่ะ มาเข้าชั้นเรียนด้วยคนค่า..... ขอบคุณสำหรับความรู้ดีดีค่ะ สงสับอยู่อย่างหนึ่งค่ะ... คือว่า....รู้สึกว่า... ตัวเองถ่ายภาพได้แย่ลง ตั้งแต่หันมาใช้กล้องดิจิตอลนี่ล่ะค่ะ สมัยที่ใช้กล้องฟิล์ม ถ่ายภาพได้ดีกว่านี้เยอะเลยค่ะ แต่ตอนนั้น....ไม่เคยถ่ายภาพดอกไม้นะคะ หนักไปทางถ่ายภาพโบราณสถาน กับหลุมขุดค้นและโบราณวัตถุค่ะ ไม่เข้าใจจริงๆนะคะ...คุณครูป้ากิม ไม่ได้ล้อเล่นนะ... ตอนนั้นน่ะ....ยังใช้กล้องส่วนกลางอยู่เลย เครื่องวัดแสงในกล้องเสีย (และไม่เคยได้ซ่อม...) ก็ยังถ่ายภาพออกมาได้ค่อนข้างดี แต่ตอนนี้...ใช้กล้องดิจิตอล แทนที่จะพัฒนาให้ดีไปกว่าเดิมได้ กลับกลายเป็นว่า... ฝีมือตัวเองไม่เอาไหนขึ้นทุกวัน.... ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ล่ะคะ จากคุณ : สเลเต - [ 9 ก.ค. 51 06:33:05 ]

ความคิดเห็นที่ 69 มาลงชื่อเข้าเรียนรอบเช้าค่ะ   ครูป้ากิมสอนสดไปแล้วเมื่อคืน  อ่ะ ๆ งั้นเรียนกับวีดีโอก็ได้  ฮิ ฮิ   จากคุณ : S-cool - [ 9 ก.ค. 51 07:10:02 ]

ความคิดเห็นที่ 70 สอนสด นักเรียนสลบหมดเลย เอิ๊กๆๆๆ ตอบคุณเลเต ^________________^ ก่อนอื่น ... คาดว่า เราต้องเรียนมาในศาสตร์ที่ใกล้เคียงกันแน่ๆเลย ของป้ากิมจะศึกษาต่อจากสิ่งที่คุณเลเตไปขุดค้นมาน่ะค่ะ ^___^ พวกเราเหล่านักประวัติศาสตร์จะทำงานแบบคุณนายนี้ดดดดนึงงงง นั่งอ่านเอกสารงานเขียน แล้วก็รายงานการขุดค้น อิอิ สมัยเรียนใช้กล้องฟิล์มเหมือนกันค่ะ แล้วก็ไม่ได้ถ่ายรูปดอกไม้เลย (แม้แต่คนก็ไม่ถ่าย เปลืองฟิล์ม เพื่อนมันด่าทุกรอบที่ออกภาคสนาม) ถ่ายแต่โบราณสถานอย่างเดียว ในประสบการณ์ของตัวเอง สมัยใช้กล้องฟิล์มรู้สึกว่าตัวเองถ่ายภาพไม่สวยค่ะ เพราะเป็นการถ่ายทำเพื่อใช้งานเป็นหลัก ซึ่งก็มีแค่ วัด เจดีย์ โบสถ์ ภาพเขียน บลาๆๆๆ ซึ่งการตั้งค่าต่างๆของกล้องมันไม่จำเป็นต้องหลากหลาย ใช้ฟิล์ม daylight ก็ต้องใช้ค่า F ได้แค่นี้ ความไวชัตเตอร์ประมาณนี้ ... แถมจนอีกตะหาก ไม่ค่อยมีตังค์จ่ายค่าฟิล์ม ค่าล้างอัด ดังนั้นมันจึงบังคับตัวเองให้ถ่ายเฉพาะภาพที่จำเป็น (เช่นหนึ่งภาพต้องเอาให้ครบตั้งแต่ฐานถึงยอดเจดีย์) การบังคับให้ถ่ายโดยไม่เจ๊ง ในทางหนึ่งก็ทำให้เราถ่ายรูปได้ดีค่ะ แต่ในอีกทางหนึ่ง เราจะไม่ค่อยกล้าทดลองเทคนิคอะไรแปลกๆ ... เดี๋ยวจน ทีนี้กล้องดิจิตอลถ่ายแล้วไม่สวย ... ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องของการบันทึกแสงค่ะ จะสังเกตได้ว่า ถึงเราจะปรับค่าต่างๆให้เนียนยังไง สุดท้ายก็ต้องมาแต่งภาพในคอมฯอีกรอบนึงอยู่ดี แม้แต่ตากล้องระดับเทพที่ถ่าย RAW File ก็ถ่ายให้เป็นภาพดิบเผื่อเจ๊ง แล้วเอามาปรับในคอมอีกรอบ  ในขณะที่เนื้อฟิล์มจะบันทึกแสงได้ละเอียดนุ่มนวลกว่าเซ็นเซอร์ของดิจิตอลค่ะ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 9 ก.ค. 51 07:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 71 หนุกหนานมากครับ อ่านแล้วมันส์เจงๆครับป้า อ่านไว้ก่อนไว้มีกล้องค่อยลองครับ ผมมะมีกล้อง ๕๕ เดี๋ยวมีกล้อง (อีก 10 ปีสวรรค์) จะถ่ายมาให้ป้ากิมตรวจฮับ อิอิ จากคุณ : Fenrir - [ 9 ก.ค. 51 08:24:54 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ขอเป็นลูกศิษย์ด้วยคนค่า กะลังมึนๆ กะกล้องตัวเอง ใช้งานไม่ค่อยจาเป็นเลย ขอบคุณค่ะ...ได้ความรู้เพียบบบบบบ จากคุณ : หนอนบุ้งที่รัก - [ 9 ก.ค. 51 08:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาคลิก เก็บเข้าคลังกระทู้จ้า :-) จากคุณ : ชิดขวา_>>> - [ 9 ก.ค. 51 08:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 74 "ขออนุญาตเข้าห้องครับ.." จากคุณ : "..ฝันที่หายไป.." - [ 9 ก.ค. 51 09:04:03 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ส่งการบ้านครับอาจารย์ จากคุณ : FaceOff - [ 9 ก.ค. 51 10:23:54 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เข้ามาลงชื่อเรียนด้วยคนครับ จากคุณ : แม่ริม - [ 9 ก.ค. 51 10:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 77 มาอ่านอีกรอบ มีนส์ตึ๊บส์  เหมือนเดิมค่ะ จากคุณ : คนถ่ายรูปมะเอาไหน (parawarm) - [ 9 ก.ค. 51 10:55:34 ]

ความคิดเห็นที่ 78 สมัครเป็นศิษย์ป้ากิม ด้วยคนค่ะ จากคุณ : pit_phangnga - [ 9 ก.ค. 51 11:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 79 เยี่ยมมากค่ะ ได้เทคนิกการถ่ายภาพไปใช้เยอะแยะเลย ขอบคุณมากนะคะ จากคุณ : Mrs Leo - [ 9 ก.ค. 51 11:39:04 ]

ความคิดเห็นที่ 80 อ้าว พี่เหมียว เป็นไรมากเปล่า ยาลมยาดมมีใกล้มือมั้ย ไว้กระทู้หน้านะพี่ จะว่าด้วยเรื่ององค์ประกอบ รับรองง่ายกว่านี้แยะ ขอบคุณทุกคนที่แวะเวียนมาค่ะ ขอบคุณสำหรับการบ้านสวยๆจากคุณ FaceOff ด้วย ภาพนี้เข้าข่ายการจัดฉากหน้า ฉากหลัง หลังละลาย ^____^ สวยทีเดียว ขอบคุณ อ.ชิดขวาด้วยเน้อที่ที่กดเข้าคลัง เพราะขืนให้สอนอีกทีสงสัยจะไม่ได้เหมือนเดิม เอิ๊กๆๆๆ จากคุณ : ป้ากิม (Meliot Baggins) - [ 9 ก.ค. 51 12:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ตามมาลงทะเบียนค่ะ จากคุณ : คนซอย8 - [ 10 ก.ค. 51 18:21:35 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ตามอ่านตั้งแต่ตอนหนึ่งแล้ว ด้วยความขอบคุณอย่างที่สุดค่ะ จากคุณ : anthurium - [ 11 ก.ค. 51 16:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 83 มาเข้าห้องเรียนสายค่ะ.. ขอเก็บไว้เป็นความรู้ค่ะ ขอบพระคุณมากๆค่ะ.. ตอนที่ซื้อกล้องมาใหม่ๆ นั่งอ่านทั้งคู่มือ อ่านตามเวปที่เค้าสอน ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ค่ะ.. ขอบคุณป้ากิมมากๆนะคะ มาตามอ่านแล้วรู้สึกว่าเริ่มเข้าใจดีขึ้นค่ะ จากคุณ : ว่าน - [ 25 ก.ค. 51 21:52:15 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ึความรู้มากมายเลยครับอาจารย์ จากคุณ : khritkid - [ 26 ก.ค. 51 13:45:25 ]